ภาคที่ 2 บทที่ 46 ปีศาจหุบเขา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 46 ปีศาจหุบเขา

แต่อย่างไรก็ตั้งกลุ่มขึ้นมาแล้ว เจิ้งเซี่ยจึงทำได้เพียงนวดหน้าผากแล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อไป

เขานั้นไม่หวังให้ทำคะแนนได้มาก ตราบเท่าที่ไร้ปัญหาใหญ่ใดเขาก็พึงพอใจจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้แล้ว

เขาอินทรีโรยนั้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีทางลาดชันซับซ้อน เต็มไปด้วยผืนป่ากว้างขวาง

กลุ่มพิสุทธิ์ค่อย ๆ มุ่งหน้าเข้าป่าไปเรื่อย ค้นหาอสูรร้ายที่อาจซุ่มซ่อนอยู่ภายใน ในเวลาเดียวกันก็คอยระแวดระวังอสูรร้ายที่ไม่อาจเอาชนะได้ไปด้วย เพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกเพียงเท่านั้น เจ้าออกล่าอสูรร้าย แต่มันก็ออกล่าเจ้าได้เช่นกัน

ซุนจี้จู่รับผิดชอบเรื่องการยืนเวรยาม

เขาฝึกวิชาเนตรที่มีชื่อว่าเนตรไร้เขต ที่นี่มีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นรกชัฏ ใบไม้หนาทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน และการใช้วิชาเนตรไร้เขตจะสามารถเพิ่มพลังในการมองเห็น สามารถมองผ่านสิ่งของที่ไม่หนาเกินไปได้ ดังนั้นกลุ่มของเขาจึงสามารถพบอสูรร้ายก่อนที่มันจะมองเห็นพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ ซุนจี้จู่จึงมักยืนอยู่บนที่สูง คอยมองลงมายังพื้นที่เบื้องล่างอยู่ตลอด

“จี้จู่ ด้านบนเป็นอย่างไรบ้าง ?” เหยียนฟู่ซิงตะโกนถาม

“ไร้วี่แววสัตว์อสูรในระยะ 10 ลี้ อสูรร้ายไปไหนกันหมดแล้ว ? คงไม่ใช่ว่าหนีไปเพราะพวกเราหรอกกระมัง ?” ซุนจี้จู่ตอบ ยังคงสอดสายตาส่องดูรอบทิศ

เขาเพียงพูดโอ้อวดขึ้นมาไม่จริงจัง หากแต่ใครบางคนที่จริงจังกับเรื่องทุกอย่างกลับฟังได้ความหมายแตกต่าง

“ไม่ใช่ว่าอสูรร้ายทุกตัวจะเดินย่างกรายอย่างเปิดเผยไม่สนใจรอบด้าน พวกมันหลาย ๆ ตัวรู้วิธีเข้าใกล้เหยื่อโดยไร้สุ้มเสียง” อวิ๋นเป้ากล่าวขึ้น

เมื่อเป็นเรื่องการออกล่า เขาจะเคร่งเครียดกับทุกสิ่งอย่าง

“เจ้าจะบอกว่ายังมีพวกมันที่หลุดรอดสายตาข้าไปได้งั้นหรือ ?” ซุนจี้จู่ไม่พอใจเล็กน้อย

หากแต่ไม่มีทางที่คำตอบจากอวิ๋นเป้าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เขาเอ่ยเพียง “ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”

ซุนจี้จู่ตวัดสายตาโกรธเคืองมองเขา จากนั้นเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าจะบอกว่ามั่นใจว่าข้ามองไม่เห็นอสูรร้ายเหล่านั้นหรือ ?”

หากเป็นซูเฉิน ก็คงตอบไปแล้วว่าตนไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่อวิ๋นเป้ากลับตอบไปตามตรง “ถูกต้อง !”

บัดซบ !

หากไม่ใช่เพราะเจิ้งเซี่ยยั้งเขาไว้ ซุนจี้จู่คงส่งหมัดใส่หน้าอวิ๋นเป้าไปแล้ว

“ข้าเกลียดเจ้าเด็กนัก มันพูดเหมือนไม่พอใจคนอยู่ตลอด ไม่ว่ามองอย่างไรก็รำคาญลูกตายิ่ง” ซุนจี้จู่พึมพำ

ตู้ฉิงและเหยียนฟู่ซิงเดินมาด้วยกัน ทั้งสองคนไม่มีใครมองอวิ๋นเป้าในแง่ดีสักคน

พวกเขาคุยกันไม่คิดเบาเสียง กระทั่งหวังโต้วซานและซูเฉินยังได้ยิน

เมื่อซูเฉินหันไปมองอวิ๋นเป้า เขาก็ต้องพยายามเก็บเสียงหัวเราะตนเองไว้ แต่อวิ๋นเป้ากลับทำท่าทางมองไปยังที่ไกลออกไปไม่ไหวติง ไอสังหารเริ่มแผ่กำจายออกจากร่าง

ซูเฉินชะงักไป รีบโน้มตัวไปหาอวิ๋นเป้า “อวิ๋นเป้า อย่าใส่ใจคำพูดพวกเขามากเลย แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย……”

อวิ๋นเป้าพูดขัดขึ้น “มีอสูรร้าย 2 ตัวห่างออกไป 12 ลี้”

หือ ?

ซูเฉินชะงักค้างไป ไม่นานก็กระโดดขึ้นต้นไม้ที่อยู่ข้าง ๆ

แม้เขาจะไร้วิชาเนตร แต่นัยน์ตาที่สามารถเห็นพลังต้นกำเนิดได้ของเขาสามารถมองผ่านวัตถุได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถมองผ่านพุ่มไม้ทึบและต้นไม้หนาได้

ทางทิศตะวันออก มีปีศาจหุบเขา 2 ตัวกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาอยู่จริง

ซูเฉินหันไปพูดกับซุนจี้จู่ “เจ้ามาดูนี่เถอะ”

ซุนจี้จู่เหินขึ้นต้นไม่ไป จากนั้นมองไปยังทิศที่ซูเฉินชี้นิ้ว เห็นสิ่งที่ซูเฉินชี้อยู่แล้วเขาก็ร้องขึ้น “ไกลออกไป 12 ลี้ด้านทิศตะวันออก มีอสูรร้ายอยู่จริง……. เป็นปีศาจหุบเขา ! เจ้าหามันพบได้อย่างไร ?”

เขาถามซูเฉิน

“ข้าไม่ได้เป็นคนพบพวกมัน เป็นอวิ๋นเป้าต่างหาก” ซูเฉินตอบ

ซุนจี้จู่ชะงักไป

อวิ๋นเป้า ?

เขาไม่ได้กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แท้ ๆ แต่กลับรู้ว่ามีอสูรร้ายอยู่ในที่ไกลเช่นนั้นเลยหรือ ?

ไม่ว่าทุกคนจะกังขาอย่างไร แต่พวกเขาก็ตัดสินใจรุดหน้าเข้าหาปีศาจหุบเขาทั้ง 2 นั่น

ใช่เวลาไม่นาน ปีศาจหุบเขา 2 ตัวนั้นก็พลันปรากฏให้เห็น

พวกมันหน้าตาเหมือนคางถูกเตะอัด ใบหน้ามันเรียบนัก และบนร่างก็ไร้ขนสักเส้น ส่วนแขนขาของมันก็คล้ายขอนไม้แก่ใกล้ตาย

ปีศาจหุบเขาเป็นอสูรร้ายระดับกลาง มีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง สามารถซ่อนตัวในต้นไม้ได้ หากแต่ไม่มีวิชาโจมตีมากนัก

ปีศาจหุบเขา 2 ตัวนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มพิสุทธิ์ก็เหมือนผักต้นหนึ่ง

การทำลายผักต้นหนึ่งที่ดีที่สุดก็คือการเหยียบมัน จากนั้นฉีกกระชากมันเป็นชิ้น ๆ

“4 คนต่อ 1 ตัว ทุกคนว่าอย่างไร ?” เจิ้งเซี่ยถาม

เป็นแผนสู้ที่ไม่ลึกลับซับซ้อนนัก หากแต่การสู้กับผักนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์มาก

“ไม่มีปัญหา ลงมือเถอะ !” หวังโต้วซานหัวเราะร่าเริง

แน่นอนว่าเจิ้งเซี่ย เหยียนฟู่ซิง ซุนจี้จู่ และตู้ฉิงจับกลุ่มย่อยกัน ส่วนซูเฉิน หวังโต้วซานและคนอื่น ๆ ก็จับกันเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง

ทั้ง 2 กลุ่มย่อยเริ่มเข้าโจมตีปีศาจหุบเขา

ไม่มีกลยุทธ์หรือการร่วมมือกันแม้แต่น้อย ทำเพียงโจมตีออกไปเท่านั้น แต่ละคนใช้วิชาโจมตีที่แรงที่สุดของตนออกมา พยายามแข่งขันกับคนอื่น ๆ เต็มที่

ซุนจี้จู่ถือห่วงเหล็กคู่หนึ่ง ห่วงเหล็กสะท้านปฐพีคู่นี้ของเขาสามารถเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศได้ยามกระทบกัน วิถีการโจมตีไม่แน่นอน คาดเดาได้ยาก นับเป็นอาวุธที่ทรงพลังไม่น้อย ด้วยสามารถคุมมันได้ดั่งใจสั่ง เมื่อเขวี้ยงออกไปมันก็จะบินกลับมาหา สามารถโจมตีจากด้านหลังได้ และเมื่อห่วงทั้งสองหมุนตัวเร็วจนสุด มันก็จะแยกร่างออกมาอีกนับร้อย

ตู้ฉิงแกว่งดาบเล่มหนึ่ง

ดาบสารทกระจ่าง

อาจมีคนมากหลายหมื่นใช้ดาบสารทกระจ่างเช่นนาง แต่ดาบสารทกระจ่างของตู้ฉิงนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์

นางฝึกวิชาดาบแยกจากและวิชาดูดซับกลืนเมฆา ดังนั้นท่าดาบของนางจึงดูสง่างามมาก งามกระจ่างคล้ายบ่อน้ำในหมู่บ้านอันเงียบสงบ ถูกสิ่งใดก็กรีดผ่านได้โดยง่าย ยามถูกร่างปีศาจหุบเขาก็เนื้อหลุดออก หากถูกนิ้ว นิ้วก็แยกออก และหากถูกที่หัวใจก็สามารถปลิดชีวิตได้

จังหวะดาบนางดั่งสายธารไหล ยามนางเก็บดาบหรือชักดาบออกจากฝักก็เจือไปด้วยความงดงาม

เหยียนฟู่ซิงถือหอก

หอกวาโยตะบึง

เหยียนฟู่ซิงอยากเข้ากองทัพมาโดยตลอด เขามีความคิดว่าหากไม่กำจัดเผ่าคนเถื่อนไปให้สิ้นแล้วไซร้ เช่นนั้นก็ไม่อาจกลับบ้านได้ ดังนั้นจึงเลือกอาวุธเป็นหอก เพราะหอกนับเป็นราชันย์แห่งสมรภูมิ เหมาะแก่การต่อสู้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ฟาดหอกหนึ่งครากวาดศัตรูรอบทิศได้ อีกทั้งตัวอาวุธเองยังน่าภาคภูมิมีกำลังกดขี่สูง

เจิ้งเซี่ยใช้หมัดสู้

หมัดเปล่าของเขานั้นแกร่งดั่งเหล็กกล้า

เขาไม่รวดเร็วเท่าซุนจี้จู่ ไม่สง่างามดั่งตู้ฉิง และไม่ได้มีอำนาจกดข่มอย่างเหยียนฟู่ซิง ท่วงท่าเขาเรียบง่ายซื่อตรงแต่กลับได้ผลชะงัด

ทุกหมัดที่ส่งโดนร่างปีศาจหุบเขาทำให้มันกรีดร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด

หากสามารถถอดความแข็งแกร่งของแต่ละคนออกมาเป็นตัวเลขได้แล้ว เช่นนั้นหมัดเปล่าของเขาคงจะได้คะแนนสูงที่สุด

ปีศาจหุบเขาที่น่าสงสารกรีดร้องเสียงโหยหวนภายใต้การโจมตีของคนทั้งสี่

หากแต่มันก็ไม่ได้ไร้ฝีมือไปเสียทั้งหมด ความสามารถในการซ่อนตนในต้นไม้ทำให้มันสามารถกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

โชคร้ายที่ความแข็งแกร่งของอสูรร้ายระดับกลางนั้นมีจำกัด ดังนั้นระยะในการกระโดดหลบย่อมจำกัด อีกทั้งยังไม่อาจใช้ท่ากระโดดหลบได้ตลอดเวลา

ไม่ว่าปีศาจหุบเขาจะหนีไปทางใด คนทั้งสี่ก็สามารถโจมตีพื้นที่โดยรอบจนราบเป็นหน้ากลองได้

พลังอำนาจสูงส่งเช่นนี้ส่งผลให้ปีศาจหุบเขาแตกตื่น ไม่อาจหลบการโจมตีพ้น

เทียบกับการโจมตีรุนแรงดุดันของเจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ ในกลุ่มแล้ว ซูเฉินและคนอื่นในกลุ่มย่อยอีกกลุ่มนั้นเยือกเย็นกว่ามาก

อวิ๋นเป้าเห็นปีศาจหุบเขาตั้งแต่ตอนที่มันพยายามซ่อนร่างไปกับต้นไม้แล้ว จึงลากมันออกมา ส่วนซูเฉินและหวังโต้วซานนั้นทำเพียงตามเขาให้ทันเท่านั้น

หลังจากทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซูเฉินก็เริ่มเข้าใจความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของปีศาจหุบเขา ทุกครั้งที่มันกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้น ต้นไม้ต้นนั้นจะทำท่าราวกับมันมีชีวิต กิ่งและใบบนต้นจะสั่นไหวเล็กน้อย

มันเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อใช้วิธีนี้จึงสามารถระบุตำแหน่งของปีศาจหุบเขา และจัดการมันได้อย่างง่ายดาย ใช้พลังให้น้อยที่สุด

การต่อสู้เช่นนี้ ดีที่สุดคือต้องเก็บรักษากำลังตนไว้ หากมีอสูรร้ายตัวอื่นปรากฏขึ้นจะได้ยังมีแรงต่อสู้ไม่เหนื่อยอ่อนไปเสียก่อน

หากแต่ความสง่างามและดุดันของกลุ่มย่อยนี้มีไม่มากเท่าอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ จัดการปีศาจหุบเขา ล้างพื้นที่โดยรอบหายไปจนสิ้น สามารถสังหารศัตรูได้รวดเร็วกว่ากลุ่มของซูเฉิน เหยียนฟู่ซิงมองไปทางอวิ๋นเป้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ

ซุนจี้จู่เอ่ยขึ้นตรง ๆ “พวกเจ้าไม่ช้าไปหน่อยหรือ ? เพียงปีศาจหุบเขาตัวหนึ่งแต่กลับต้องใช้แรงมากขนาดนั้น ?”

อวิ๋นเป้าตอบเสียงเย็น “ดีกว่าใช้กำลังทั้งหมดไปกับอสูรร้ายธรรมดาตัวหนึ่ง บางครั้งอสูรร้ายตัวอื่น ๆ ก็ชอบเข้ามาระหว่างการต่อสู้เช่นนี้”

ซุนจี้จู่เอ่ยเยาะ “หากอ่อนแอก็ยอมรับแต่โดยดีเถอะ อย่าหาข้ออ้างอีกเลย”

อวิ๋นเป้าตอบ “เช่นนั้นก็ตามใจท่านผู้สูงส่งเถอะ ลองกระโดดขึ้นต้นไม้แล้วหันมองไปยังทิศตะวันตกก็แล้วกัน”