ภาคที่ 2 บทที่ 47 เหล็กกล้า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 47 เหล็กกล้า

สิ่งที่อวิ๋นเป้าพูดทำให้ซุนจี้จู่ตกตะลึงไป

เขารีบกระโดดขึ้นต้นไม้โดยเร็ว และเมื่อเหลือบมองไปทางเหนือทั่วทั้งร่างก็แข็งค้างในพลัน

เขาร้องบอกคนด้านล่าง “วานรยักษ์เหล็กกล้า 2 ตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา ห่างออกไป 4 ลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ !”

วานรยักษ์เหล็กกล้าเป็นอสูรร้ายระดับสูง มันมีกำลังเทียบเท่ากับผู้มีพลังด่านกลั่นโลหิตระดับต่ำ

กลุ่มพิสุทธิ์อาจเอาชนะพวกมันตัวหนึ่งได้ หากแต่การประมือกับสองตัวพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

และด้วยเจิ้งเซี่ยกับคนอื่น ๆ ต่อสู้กับปีศาจหุบเขาไปไม่ยั้งมือ จึงใช้พลังพลังต้นกำเนิดไปจำนวนมาก

กระทั่งสีหน้าเจิ้งเซี่ยยังเปลี่ยนไป เขาร้องตะโกนขึ้น “รีบจัดการมันเสียแล้วเราจะได้ไป !”

อวิ๋นเป้าซัดดาบอัสนีบาตไปยังต้นไม้รอบ ๆ

ปีศาจหุบเขาถูกพลังซัดกระเด็นออกจากต้นไม้พร้อมเสียงโหยหวน ก่อนร่างจะตกลงพื้นและถูกซูเฉิน กังเหยียน และหวังโต้วซานต้อนรับอย่างอบอุ่น

อวิ๋นเป้าเอ่ย “ไม่จำเป็น แค่วานรยักษ์เหล็กกล้า 2 ตัวเท่านั้น”

เหยียนฟู่ซิงร้องขึ้น “แค่วานรยักษ์เหล็กกล้า 2 ตัวเท่านั้น ? พวกมันเป็นอสูรร้ายระดับสูง อีกทั้ง…… อีกทั้ง……”

เขาละอายเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า “อีกทั้งเราใช้พลังต้นกำเนิดมากเกินไป” ออกมา

แม้ยามต่อสู้เขาจะดูโดดเด่นสง่างาม หากแต่ท่าทางการพูดของเขานั้นดูซื่อบื้อยิ่ง

อวิ๋นเป้าหัวเราะเสียงเย็น อยากจะโต้กลับไป หากแต่ซูเฉินได้ส่งระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงซัดใส่ปีศาจหุบเขา ปลิดชีวิตมันก่อนที่จะกระโดดหนีไปยังต้นไม้ต้นอื่น “วานรยักษ์เหล็กกล้า 2 ตัวนั้นมุ่งหน้ามาทางเราหรือไม่ ?”

ซุนจี้จู่ชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า

ซูเฉินเอ่ย “มันมาเพราะเสียงอึกทึกครึกโครม แม้วานรยักษ์เหล็กกล้าจะเป็นเจ้าโง่ตัวยักษ์ แต่ก็ไวในเรื่องกลิ่น ดังนั้นมันจึงตามกลิ่นเรามา อีกทั้งยังมีนิสัยเกรี้ยวกราด หากต้องการสิ่งใดก็จะไล่ตามไม่ลดละ เว้นเสียแต่เจ้าคิดจะวิ่งหนีมันทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นจัดการมันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“อสูรร้ายระดับสูง 2 ตัวไม่ใช่ว่ารับมือได้ง่ายดาย !” เจิ้งเซี่ยท้วงเรื่องสำคัญที่สุดออกมา

“คนหนึ่งหลอกล่อมันตัวหนึ่ง ที่เหลือจัดการมันอีกตัว 7 รุม 1 ไหวหรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น

เจิ้งเซี่ยจขมวดคิ้ว “จัดการทีละตัวหรือ ? ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่คนที่ต้องลวงความสนใจมันย่อมตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งวานรยักษ์เหล็กกล้ามากัน 2 ตัวเช่นนี้ ดังนั้นการแยกมันออกจากกันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด”

ซูเฉินดึงยาขวดหนึ่งออกมา “นี่คือยาล่อสัตว์อสูร เป็นสิ่งดึงดูดอสูรร้ายส่วนมาก ข้าจะใช้เจ้านี่ล่อพวกมันออกไปตัวหนึ่ง ส่วนพวกเจ้าจัดการตัวที่เหลือ”

นัยน์ตาเจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ เป็นประกาย

หากแต่เจิ้งเซี่ยยังคงปฏิเสธ “ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็อันตรายน่ะสิ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าน่าจะรู้ว่านักปรุงยามีกลลวงซุกซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน” ซูเฉินหัวเราะ “หากข้าจัดการมันไม่ได้ ข้าก็ยังมีเจ้านี่”

ซูเฉินหยิบยาอีกขวดหนึ่งออกมา

ยาขับไล่สัตว์อสูร

ยาขวดนี้ไม่ใช่ยาปลอมที่หยานหวู่ชวงเคยลวงขายเขา ซูเฉินปรุงมันขึ้นมาด้วยตนเอง

เมื่อเห็นว่าซูเฉินหยิบยาขึ้นมาหลายขวด เจิ้งเซี่ยก็พูดไม่ออก นัยน์ตาที่มองซูเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เดิมทีเขามองซูเฉินเป็นคนขี้ขลาดที่โลภมาก หากแต่ตอนนี้คำว่า ‘ขี้ขลาด’ คงไม่อาจใช้กับเขาได้อีกต่อไป

เขามองซูเฉินด้วยนัยน์ขอบคุณ “เช่นนั้นฝากเจ้าด้วย หลอกวานรยักษ์เหล็กกล้าออกไปสัก 1 ก้านธูปคงจะพอ”

“ไม่มีปัญหา” ซูเฉินคลี่ยิ้ม

“ดี จี้จู่ดูว่าวานรยักษ์เหล็กกล้าพวกนั้นเข้าใกล้มาถึงไหนแล้ว” เจิ้งเซี่ยเอ่ยขึ้น

“1 ลี้” อวิ๋นเป้าเอ่ยขึ้นก่อนซุนจี้จู่จะทันเหินขึ้นยอดไม้ไปด้วยซ้ำ

“……”

“ข้ายังต้องไปดูหรือไม่ ?” ซุนจี้จู่ถาม สีหน้ามึนงงเล็กน้อย

“……”

วานรยักษ์เหล็กกล้าปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

วานรยักษ์คู่นี้สูงราว 2 จั้ง หรือก็คือไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรยักษ์ ดังนั้นชื่อ ‘วานรยักษ์’ นี้จึงเกินจริงไปสักหน่อย ชื่อของมันไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าใด

หากแต่วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นมีสายเลือดที่มีเค้ามาจากสายเลือดสัตว์อสูรโบราณขนาดยักษ์ มีวานรยักษ์เหล็กกล้าหลายตัวที่สามารถก้าวข้ามผ่านขั้นอสูรร้าย กลายไปเป็นอสูรกายได้ เช่นนั้นก็จะกลายเป็นวานรยักษ์เหล็กกล้าที่แท้จริง ร่างกายมันจะมีขนาดมหึมา

แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ยังตัวใหญ่มากอยู่ดี

ร่างกายใหญ่โตเช่นนี้ทำให้มันมีพละกำลังมหาศาล พวกมันไม่มีความสามารถในการปกปิดเช่นปีศาจหุบเขา แต่ก็ยังทรงพลังมาก พวกมันสามารถถอนต้นไม้ทั้งต้นขึ้นมาใช้เป็นอาวุธได้ ใช้ต้นไม้ทุ่มใส่ศัตรู อาวุธชั่วคราวของมันนั้นอาจทรงพลังกว่าทักษะต้นกำเนิดไหน ๆ เลยก็เป็นได้

ป่าเถื่อน หยาบกระด้าง และทรงพลัง อาจเป็นคำอธิบายพวกมันที่ถูกต้องที่สุด

พวกมันเป็นอสูรร้ายที่ทำการบ่มเพาะร่าง พึ่งร่างกายอันแข็งแกร่งของตนในการต่อสู้

เมื่อวานรยักษ์เหล็กกล้าทั้ง 2 ตัวปรากฏขึ้น ซูเฉินก็ป้ายยาล่อสัตว์อสูรบนตัวเองดังที่วางแผนไว้

ทำให้วานรยักษ์เหล็กกล้าทั้ง 2 ตัวพุ่งเข้าใส่ซูเฉินราวกับติดสัด

เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ พยายามรั้งตัวหนึ่งไว้ และการโจมตีรุนแรงก็เป็นการดึงความสนใจที่ได้ผลที่สุด กระทั่งยาล่อสัตว์อสูรยังไม่อาจกระตุ้นมันได้มากเท่าความเจ็บปวด

วานรยักษ์ตัวผู้เปล่งเสียงร้องเกรี้ยวกราดดังลั่น จากนั้นพุ่งเข้าใส่กลุ่มเจิ้งเซี่ย เปิดให้ซูเฉินฉวยโอกาสนี้กระโดดถอยไป ดึงวานรยักษ์ตัวเมียให้ห่างออกมา

เด็กหนุ่มจำต้องถอยออกไปไกลพอสมควร ด้วยวานรยักษ์ 2 ตัวนี้เป็นคู่กัน ดังนั้นหากอีกตัวตกอยู่ในอันตราย อีกตัวก็จะต้องพยายามเข้าช่วยเหลือเป็นแน่ ถึงแม้ยาล่อสัตว์อสูรจะปล่อยกลิ่นที่อสูรร้ายชื่นชอบ แต่ไม่อาจลวงจิตมันได้อย่างสมบูรณ์

ความต่างของระดับสติปัญญาค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็นเด่นชัดขึ้น

ตอนที่วานรยักษ์เหล็กกล้าทั้ง 2 ตัวอยู่คู่กัน กลุ่มพิสุทธิ์คุมพลังโจมตีด้วยความระมัดระวัง คิดเพียงแต่จะดึงอีกตัวหนึ่งออกมาเท่านั้น

แต่หลังจากที่วานรยักษ์ตัวเมียถูกหลอกล่อจนห่างออกไป พวกเขาก็เริ่มเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีขึ้น

ตูม !

ห่วงเหล็กดุดันคู่หนึ่งกระแทกร่างวานรยักษ์เหล็กกล้า แสงสว่างจ้าส่องออกมายามเหล็กกระแทกร่าง

ผิวของวานรยักษ์เหล็กกล้าหนามาก แต่เมื่อถูกพลังซัดเข้าไปก็ยังเปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาอยู่ดี

“อย่าใช้พลังต้นกำเนิด !” อวิ๋นเป้าตะโกนบอก “อีกตัวยังอยู่ไม่ไกลนัก หากได้ยินเสียงร้องเช่นนี้มันต้องกลับมาแน่ รออีกสักพักให้มันออกห่างไปอีกหน่อยค่อยโจมตีเต็มกำลัง !”

“แต่หากเป็นเช่นนั้นซูเฉินจะเป็นอันตรายนะ !” ตู้ฉิงร้องขึ้น

“เชื่อข้า เขาไม่ตายหรอก” อวิ๋นเป้าตอบ

ตู้ฉิงตวัดสายตาขัดเคืองมองเขา นัยน์ตานางเต็มไปด้วยความโกรธ

อวิ๋นเป้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดตู้ฉิงจึงทำหน้าเช่นนั้น นางเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นผิดไปจริง ๆ ข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นสหายกัน แต่เจ้ากลับไม่สนความเป็นตายของสหายเจ้าสักนิด”

หา ? อวิ๋นเป้าชะงักไป

เคราะห์ดีที่กังเหยียนตามมาทัน “นายท่านไม่เป็นไรหรอก เป็นเพียงอสูรร้ายระดับสูงเท่านั้น นายท่านจัดการเองได้”

ตู้ฉิง เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ หลอกตากับคำพูดของกังเหยียน ไม่มีใครเชื่อคำเขาสักคน

แต่เมื่อกังเหยียนและอวิ๋นเป้ากล่าวเช่นนั้น พวกเขาจึงได้แต่รอเวลาจนกระทั่งอวิ๋นเป้าบอกให้โจมตีเต็มกำลัง

ตูม !

พลังต้นกำเนิดอันดุดันร้ายกาจถูกซัดออกมาอย่างต่อเนื่อง

ตู้ฉิงร้องตะโกน “ใส่ให้สุดฝีมือไปเลย ! ไม่ต้องออมแรงใด ๆ ยิ่งจัดการเจ้านี่ได้เร็ว จะได้รีบไปช่วยซูเฉิน เขาคงรั้งไว้ได้อีกไม่นาน”

——————————

ห้องโถงกลั่นร้อยวิชา

ศิษย์ร่างกำยำคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องในห้องโถงใหญ่ ใบหน้ามีแต่ความพึงพอใจระบายอยู่

ศิษย์ร่างผอมเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ยินดีด้วย ดูท่าเจ้าจะผ่านห้องที่สิบสี่แล้ว ?”

ศิษย์ผู้นั้นพยักหน้าพอใจ “อืม แต่บัดซบเอ๊ย อสูรร้ายระดับกลาง 4 ตัวนั้นตึงมือจริงเชียว โชคดีที่ทักษะจ้าวกายาเหอเจิ้นซานของข้าของข้ารุดหน้าไปมาก ข้าจึงรอดมาได้หวุดหวิด”

“เช่นนั้นลองเข้าห้องที่สิบห้าเลยหรือไม่ ?” ศิษย์ร่างผอมยังคงทำเช่นเคย พยายามดึงดันคน เพราะการเห็นคนอื่นประสบภัยนั้นทำให้เขามีความสุขที่สุดแล้ว

ศิษย์ร่างกำยำโบกมือ “ช่างเถอะ ห้องที่สิบห้ามีอสูรร้ายระดับสูงที่เทียบได้กับพลังด่านกลั่นโลหิตอยู่ ข้ายังไม่อยากประมือกับมัน ไม่เหมือนกับปีศาจ 5 คนนั่น ข้าคงรอจนถึงปีหน้าดีกว่า การตะลุยมาถึงห้องสิบสี่ได้ภายในปีที่ 4 ก็นับว่าพอใจแล้ว”

แม้กระทั่งใต้หล้าที่ถูกครองโดยตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลาย ความต่างด้านฐานะก็ยังมีให้เห็นอยู่ไม่เปลี่ยน แต่การรับมือกับอสูรร้ายระดับสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริง

สำหรับเหอเจิ้นซานที่มีร่างกายกำยำแล้ว ห้องที่สิบห้านับว่าต้องรอไปก่อน

“ตอนนี้มีปีศาจ 6 คนแล้ว” ศิษย์ร่างผอมตอบเสียงเกียจคร้าน

“เจ้าว่าไงนะ ?” เหอเจิ้นซานชะงักไป “เจ้าจะบอกว่าในหมู่ศิษย์ปี 4 มีอีกคนหนึ่งที่สามารถผ่านห้องที่สิบห้าได้แล้วหรือ ?”

“เพิ่งเมื่อเช้านี้เอง” ศิษย์ร่างผอมตอบ