บทที่ 66 สวรรค์ไม่เปิดทาง มนุษย์ต้องสร้างเอง

ท่องภพสยบหล้า

ดึกมากแล้ว อันอันถูกกล่อมหลับไปนานแล้ว ตอนนี้บางทีอาจจะอยู่ในห้วงฝันหวาน ประเดี๋ยวๆ ก็ทำปากจุ๊บจั๊บ

เจียงวั่งนั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือฝ่าเท้าหงายขึ้นฟ้า

จิตดำดิ่งไปในจุดผ่านสวรรค์ รากพลังเต๋าเรียงเป็นภาพแผนผังดาราอันซับซ้อน ส่องสว่างอยู่เหนือหัว

เทียนสีดำไม่รู้ชื่อลอยอยู่กลางใจ ไส้เดือนดินที่แปลงมาจากพลังแท้วิญญาณเต๋าว่ายวนเวียนอยู่รอบๆ เทียนอย่างช้าเนิบ

เจียงวั่งไม่รีบไม่ร้อน รอคอยโอกาสอย่างสงบ

จากการคำนวณแผนผังจักรวาลดาราที่เขาเลือกเป็นแผนผังรากฐาน เดิมการสร้างรากฐานต้องใช้เวลาครึ่งปี

แต่นับจากที่เขาเปิดชีพจรมาก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย

ทีแรกก็มีเก้ากระบวนท่าเคล็ดวิชากระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาปรับสมดุลหล่อเลี้ยงเลือดลม ทำให้ร่างกายทนการทะลวงชีพจรได้จำนวนครั้งมากขึ้น จากนั้นก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกกายสี่สัตว์เทพวิชาฝึกสายทหาร เพิ่มการทะลวงชีพจร

แม้จะเป็นเพียงวิญญาณแท้ไส้เดือนดิน แต่หลายครั้งเข้า จำนวนที่คายรากพลังเต๋าออกมาก็ไม่น้อยแล้ว และภายหลังยังได้เคล็ดวิชาควบคุมพลังปราณที่ต่งเออถ่ายทอดให้ขนย้ายรากพลังเต๋า ทำให้แผนผังที่เขาจัดเรียงไม่มีช่องโหว่…

ในที่สุดเมื่อสู้กับสยงเวิ่น จิตเต๋าพัฒนาไปมาก หลังจากรากพลังเต๋าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมหาศาล ก็ใกล้จะเปลี่ยนแปลงสภาพ

เวลาเคลื่อนมาถึงยามจื่อ

ยามจื่อเป็นเวลาเริ่มต้นของวัน เป็นจุดเริ่มต้น

เจียงวั่งค่อยๆ เคลื่อนย้ายเคล็ดวิชาควบคุมพลังปราณ เคลื่อนรากพลังเต๋าอิ่มเอิบเม็ดสุดท้ายไปไว้ในแผนผังดารา เป็นตำแหน่งของดวงจันทร์พอดี

เริ่มจากดวงอาทิตย์ จบด้วยดวงจันทร์ ซานหยวน[1]สั่นสะเทือน ยี่สิบแปดกลุ่มดาวส่องสว่าง แผนผังจักรวาลดาราทั้งภาพก็สาดแสงวาบขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วทั้งจุดผ่านสวรรค์

ในเสี้ยวขณะนี้จิตของเจียงวั่งเหมือนมืดมนไปชั่วขณะ

ตอนที่การการมองทะลุฟื้นคืนกลับมาเห็นอีกครั้ง ในจุดผ่านสวรรค์ก็มีคลื่นวนที่ทั้งลึกลับและพราวพร่างปรากฏขึ้น มันหมุนวนช้าๆ แสงดาวพร่างพรายขึ้นๆ ลงๆ

บอกว่ามันเป็นพายุหมุน มิสู้บอกว่าเป็นแม่น้ำดาราที่หมุนวนจะถูกกว่า ในเสี้ยวขณะที่ถือกำเนิดขึ้นก็มีรากพลังเต๋าเก้าเม็ดพุ่งออกมาจากกระแสวนเต๋าแม่น้ำดารา

กระแสวนเต๋าสำเร็จ รากพลังเต๋าเกิดขึ้นเอง

เจียงวั่งรู้ว่ารากฐานพลังสำเร็จแล้ว นับจากนี้ไป เขาถึงจะนับว่าเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ที่แท้จริง ก้าวสู่ระดับเก้าขอบเขตเคลื่อนชีพจร!

วันที่สิบห้าเดือนหกชีพจรเปิดขึ้นที่อารามเต๋าหวนสัจจะ วันที่หกเดือนสิบรากฐานพลังสำเร็จที่บ้านในตรอกอาชาเหิน ใช้เวลาสี่เดือน

ตอนนี้เขายังไม่ได้ไปสำรวจประสิทธิภาพของแผนผังจักรวาลดาราและรากฐานพลังแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดอย่างละเอียด

แต่เขาสังเกตได้ว่า ตอนนี้ ไส้เดือนดินที่ดูไม่สำคัญตัวนั้นเบือนหน้าหนีไปจากเทียนดำ เริ่มมุ่งหน้าว่ายมุ่งไปยังพายุหมุนดารา เมื่อมันว่ายมาถึงข้างหน้าก็พลันกระโดดเข้าไปสุดกำลัง!

มันทะลุผ่านกระแสวนดารา บนตัวมันเหมือนปกคลุมไปด้วยแสงดาว ดูปราดเปรียวขึ้นมาเล็กน้อย

วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าทะลุกระแสวนเต๋าจะได้รับการเพิ่มพลังความแข็งแกร่ง นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มนุษย์ไม่ใช้รากฐานแต่กำเนิดมาตัดสินอนาคตของผู้บำเพ็ญ

แต่นั่นเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาสะสมยาวนาน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางเห็นได้ชัดขนาดนี้

บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ของแผนผังจักรวาลดารากระมัง

เจียงวั่งก็ไม่รู้ได้เหมือนกัน แต่เขาวาดหวังการเปลี่ยนแปลงมากว่านี้ เฝ้าใฝ่ฝันหายิ่งนัก

หลังจากไส้เดือนดินทะลุผ่านกระแสวนดารา ก็ว่ายกลับมาข้างๆ เทียนสีดำอย่างช้าเนิบอีกครั้ง เหมือนว่าค่อนข้างเหนื่อยล้าแล้ว ก็พันอยู่บนเทียนดำ ไม่ขยับเขยื้อนอีก

ภาพงดงามในจุดผ่านสวรรค์คืนนี้ทำให้เจียงวั่งเคลิบเคลื้มหลงใหล

เมื่อเขาได้สติกลับมา ก็พบว่าเสียงจุ๊บจั๊บๆ ในห้องเงียบไปแล้ว

เขาได้ยินเสียงงึมงำสะลึมสะลือของอันอันน้อย “พี่ ข้าเหมือนเห็นดาว ดาวเต็มไปหมดเลย”

เจียงวั่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้ว่าอันอันไม่ได้ตื่น

กระนั้นแล้วก็ลุกขึ้นอย่างเงียบงัน คลุมผ้าห่มให้นางด้วยท่าทีที่แผ่วเบา จากนั้นก็เดินไปกลางลานอย่างไร้สุ้มเสียง

เขาจะลองฝึกฝนวิชาเต๋า เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการฝึกฝนจากการวางแผนรบบนกระดาษที่สาขาเคล็ดวิชาเมื่อช่วงก่อนหน้านี้

แสงดาวไม่ถามว่ากลางคืนไยจึงมีคนเดินทาง

เจียงวั่งตลอดมาล้วนขยันได้หนึ่งส่วนก็ไม่มีทางทำน้อยหนึ่งส่วน สวรรค์ไม่เปิดทาง มนุษย์ต้องสร้างทางเอง

……

ในระบบวิชาเต๋าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายของสำนักเต๋า วิชาเต๋ามีสี่ชั้นสิบสองระดับ

วิชาเต๋าชั้นสี่เป็นพื้นฐานของระบบวิชาเต๋า และวิชาเต๋าชั้นสี่ระดับล่างหลักๆ แล้วปรากฏอยู่ในด้านการเพิ่มประโยชน์

เอาวิชาเต๋าห้าธาตุเป็นตัวอย่าง จะแบ่งได้เป็น เสริมอัคคี อาวุธแกร่ง เพิ่มพลังต้าน จิตกระจ่าง ลดเหนื่อยล้า

เสริมอัคคีคือวัตถุอาวุธที่เสริมพลังปราณธาตุไฟ อาวุธแกร่งคือใช้พลังปราณธาตุทองเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธ เพิ่มพลังต้านคือใช้พลังปราณธาตุดินเพิ่มความแข็งแกร่ง การป้องกันของกายเนื้อ จิตกระจ่างคือการใช้พลังปราณธาตุน้ำทำให้ใจสงบกระจ่างบรรลุทุกสิ่ง ลดเหนื่อยล้าคือการใช้พลังปราณธาตุไม้ขจัดความเหนื่อยล้า กระตุ้นพลังชีวิต

สำนักเต๋าแต่ละแห่งในด้านรายละเอียดวิชาเต๋าบางทีอาจจะมีรายละเอียดแตกต่างออกไป แต่แก่นหลักไม่เปลี่ยน ระบบเต๋าที่สามสำนักเต๋าแดนศักดิ์สิทธิ์สืบทอดต่อมาก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

ตามทฤษฎี ระดับเก้าเคลื่อนชีพจรสามารถใช้วิชาเต๋าชั้นสี่ได้ทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แตกต่างไปตามแต่บุคคล บางคนแม้แต่วิชาเต๋าระดับสี่ชั้นกลางก็ยังยากจะควบคุมได้ บางคนเชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุทอง บางคนเชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุน้ำ เป็นไปได้หลายกรณี

เรื่องหนึ่งที่อาจารย์สำนักเต๋ามักจะเน้นย้ำอยู่บ่อยๆ ก็คือ ผู้บำเพ็ญทุกคนจะต้องรู้ว่าตัวเองเชี่ยวชาญอะไร จะเน้นจุดเด่นเลี่ยงจุดด้อยก็ดี ชดเชยข้อบกพร่องก็ดี แต่จะต้องรีบสร้างระบบการต่อสู้ของตัวเองให้เร็วที่สุด

เจียงวั่งลองเสริมอัคคีก่อน ตราประทับปางมือพื้นฐานเขาชำนาญตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็มีรากพลังเต๋าถึงเก้าเม็ดให้ใช้ได้อย่างสบายใจ

ปางมือที่ฝึกซ้อมมาไม่รู้ต่อกี่รอบสำเร็จภายในสองอึดใจ เขามือซ้ายถือกระบี่ มือขวานิ้วเรียงชิดติด ลากผ่านไปที่ตัวกระบี่

เปลวเพลิงลุกโหมขึ้น!

กระบี่ยาวฟันไปในท้องฟ้ายามราตรี เปลวเพลิงพวยพุ่งใต้แสงจันทร์

ไม่ได้อาศัยอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น

นี่คือพลังเหนือมนุษย์ นี่ก็คือวิชาเต๋า!

เจียงวั่งพลันมีความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เขาอยากย้อนอดีตกลับไปบอกกับตัวเองในสมัยเด็กว่า เจ้ามีความสามารถ เจ้าทำได้

และก็อยากบอกกับบิดาที่ล้มหมอนนอนเสื่อคนนั้นว่า ข้ามีความสามารถ ข้าทำได้

เจียงวั่งเหวี่ยงกระบี่ ใช้การโคจรวิชาของเคล็ดวิชากระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาดับเปลวไฟเสีย

และหลังจากนั้นก็เป็นอาวุธแกร่ง เพิ่มพลังต้าน…เจียงวั่งแทบจะอยากลองวิชาเต๋าพื้นฐานทุกวิชาที่ตัวเองศึกษา จวบจนกระทั่งรากพลังเต๋าหมด

เขาพบว่าความเร็วในการควบคุมวิชาเต๋าพื้นฐานธาตุต่างๆ เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันเลย ใช้คำพูดพองโตพูดก็คือเชี่ยวชาญทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นธาตุน้ำหรือธาตุไฟล้วนเป็นเช่นนี้

แต่พลังของมนุษย์มีขีดจำกัด แน่นอนว่าไม่สามารถฝึกฝนวิชาเต๋าได้ทั้งหมด

ต่งเออผู้เป็นเจ้าสำนักบอกเขาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวว่า พลังบำเพ็ญเป็นรากฐานของมรรคา กฎเต๋าเป็นเพียงแค่วิชารักษาครรลองมรรคาเท่านั้น ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่คิดว่ามีพลังมหาศาล ก็ควรจะมุ่งสมาธิไปที่รากฐานมรรคา

เจียงวั่งวางแผนไว้ว่ารอเมื่อสะสมรากพลังเต๋าได้ประมาณหนึ่งแล้วค่อยไปลองวิชาเต๋าวิชาอื่น ยกตัวอย่างเช่นวิชาเต๋าล่องวายุ วิชาอัสนี เพียงแต่วิชาอัสนีที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็เป็นวิชาเต๋าระดับสอง หากไม่มีอะไรพิเศษแล้วล่ะก็ เขาต้องรอให้ถึงระดับเจ็ดขอบเขตผ่านสวรรค์เสียก่อนถึงจะมีโอกาสศึกษา

แม้พรสวรรค์ที่แสดงวิชาเต๋าห้าธาตุออกมาตอนนี้จะเหมือนกัน แต่สำหรับเจียงวั่งแล้ว เขาชอบไปทางวิชาเต๋าธาตุไฟและธาตุไม้เสียมากกว่า

อย่างหลังเพราะต่งเออผู้เป็นอาจารย์แสดงความเชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุไม้ให้เห็น ส่วนอย่างหน้าแน่นอนว่าเพราะ…การต่อสู้อันเยี่ยมยุทธ์ที่หน้าอารามเต๋าหวนสัจจะ เพราะชายที่เจิดจ้าร้อนแรงราวอาทิตย์กลางฟ้าคนนั้น

แม้จั่วกวงเลี่ยจะไม่รู้กระทั่งชื่อของเขา แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้อะไรหลายอย่างมาจากจั่วกวงเลี่ย ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความรู้สึกประทับใจอันแรงกล้าต่อวิชาเต๋าธาตุไฟ

สิ่งที่สามารถคาดคะเนได้ก็คือ ไม่ว่าจะเลือกวิชาเต๋าธาตุไหน การเลือกการต่อสู้ของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน ในด้านการเพิ่มความแข็งแกร่งกำลังรบจะเพิ่มแค่เท่าเดียวหรือไร

สำหรับภารกิจไล่ล่าสังการสัตว์ร้ายที่จะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย

เจียงวั่งตัดสินทิศทางวิชาเต๋าขั้นแรก ฟ้าก็สว่างแล้ว

เขาทำการฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรครั้งแรกของวันเสร็จเรียบร้อยที่ลานกลางเรือนรับรุ่งอรุณ เขารู้สึกว่ายามไส้เดือนดินวิญญาณแท้คายรากพลังเต๋าเหมือนว่าจะง่ายไปเยอะ

หลังจากทะลวงชีพจรสองครั้งติด ร่างกายของเขาตอนนี้ถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงพักผ่อนครู่หนึ่ง

ล้างตัวเก็บที่นอน ออกจากบ้านไปหาซื้ออาหารเช้าให้อันอัน

พ่อค้าที่ตื่นแต่เช้าเข็นรถเข็นร้องเร่ขายของ เต้าฮวยร้อนๆ อยู่ในหม้อ ขนมแป้งทอดควันลอยกรุ่น

กรุ่นกลิ่นชีวิตปุถุชน บันไดเสียดฟ้าสู่สวรรค์

………………………………………………………

[1] ชื่อเรียกรวมของสามกลุ่มดาวของจีน ประกอบด้วยกลุ่มดาวไท่เวยหยวน กลุ่มดาวจื่อเวยหยวน และกลุ่มดาวเทียนซื่อหยวน