บทที่ 67 ชีวิตมนุษย์ เมฆครามบนท้องฟ้า

ท่องภพสยบหล้า

จู้เหวยหว่อยังไม่กลับมา เรื่องก็เล่าลือมาก่อนแล้ว

ทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินลือกันลั่น เหล่าเด็กน้อยคนชราล้วนรู้สึกภาคภูมิใจ สาวน้อยสาวใหญ่เฝ้าถวิลปรารถนา

ว่ากันว่าจู้เหวยหว่อครั้งนี้ถือหอกบุกไปเมืองวั่งเจียงด้วยตัวคนเดียว แต่หลินเจิ้งหรินกลับหลบเลี่ยงไม่สู้ด้วย

จู้เหว่ยหว่อจึงบุกสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียงไปตรงๆ จัดการสั่งสอนพวกยอดฝีมือที่มีรายชื่ออยู่บนกระดานแต้มเต๋าเมืองวั่งเจียงไปรอบหนึ่ง

นอกจากป๋อเป้าซงที่สู้ตายจนได้รับการประเมินค่าว่า ‘พอไหว’ แล้ว การประเมินค่าต่อคนอื่นๆ ของเขาล้วนเป็น ‘พวกไก่กา’ ทั้งสิ้น

ท้ายสุดเจ้าสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียงก็ทนดูไม่ได้ กระทั่งออกโรงด้วยตนเอง

คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหกมังกรทะยานอย่างลึกซึ้ง ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับมังกรทะยาน

จู้เหวยหว่อเข้าปะทะอย่างเหี้ยมหาญ ยิ่งต่อสู้ยิ่งองอาจ หลังจากสู้กันอย่างเนิ่นนาน ก็โค่นล้มเจ้าสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียงที่กำลังกายหมดลงได้

ยอดฝีมือที่ยังเรียนอยู่ในสำนักเต๋าเอาชนะผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้าสำนักเต๋าเมืองลงได้ เป็นวีรกรรมที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนในประวัติศาสตร์เกือบร้อยปีของเขตปกครองแม่น้ำชิง

ว่ากันว่าตอนนั้นจู้เหวยหว่อพาดหอกหัวเราะร่าจนสั่นสะเทือนไปทั้งเมือง เย้ยหยันใส่เมืองวั่งเจียงที่ไม่มีดีสักคน เอาชนะสักครั้งหนึ่งก็ยังทำไม่ได้

เจ้าเมืองวั่งเจียงโกรธมากจนออกโรงบ้าง หลังจากปะทะกัน จู้เหวยหว่อก็ถอยฉากเผ่นผลิวออกมา

ชื่อนี้จึงสะเทือนไปทั้งรัฐจวง!

ถ้าหากพูดว่าการไล่สังหารปีศาจกลืนกินจิตใจก่อนหน้านี้ยังดูมีข้อกังขา เช่นนั้นครั้งนี้ที่โค่นล้มผู้แข็งแกร่งระดับมังกรทะยานสูงสุดลงได้ ถอยฉากออกมาจากผู้แข็งแกร่งระดับอวัยวะภายใน ก็อธิบายพลังของจู้เหวยหว่อออกมาได้อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว

รองเจ้าสำนักรัฐเขียนจดหมายมายังสำนักด้วยตนเอง กระทั่งขุนพลใหญ่หวงฝู่ยังเชิญเขาเข้าหน่วยทหารเป็นพิเศษเลย ตำแหน่งแรกที่ให้คือขุนพลผู้ครองสิทธิ์แท้จริง

หอกอุปมาความตายชื่อกระฉ่อนทั่วใต้หล้า จู้เหวยหว่อทะยานขึ้นเทียมเมฆ

ไม่พูดถึงการเลือกของจู้เหวยหว่อ มีบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ออกมาคนหนึ่ง สำหรับสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินแล้วนี่ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์เพียงแค่ในนาม

ในงานเสวนาเต๋าสามเมืองก่อนหน้า เมืองวั่งเจียงได้รับชัยจากนักเรียนชั้นปีห้าที่สำคัญที่สุดไป กดเมืองเฟิงหลินจนต่ำลง แต่หลังจากการลงมือของจู้เหวยหว่อครั้งนี้ กระทั่งทั่วทั้งเขตปกครองแม่น้ำชิง เมืองเฟิงหลินจึงกลายเป็นโดดเด่นที่สุด การจัดสรรทรัพยากรท้ายปีนี้คงได้รับการจัดสรรเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย นี่หมายถึงลูกกลอนเปิดชีพจรที่มากขึ้น วิชาที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า…

สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินทุกปีจะรับศิษย์เข้าสำนักสายในเพียงสิบคน ไม่ใช่เพราะทั้งเมืองเฟิงหลินทุกๆ ปีจะมีเพียงสิบคนที่ปั้นได้ แต่เพราะทรัพยากรมีจำกัด ไม่สามารถชุบเลี้ยงคนที่มากกว่านี้ได้ สถานการณ์ในปีหน้าอาจจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว

ส่วนหลินเจิ้งเหรินตัวละครหลักในเรื่องนี้อีกคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะลดธงยอมแพ้

ว่ากันว่าขณะเดียวกันขำลังทำภารกิจที่สำคัญอยู่ด้านนอก ไม่สามารถแยกตัวออกมาได้ จึงได้เกิดเรื่องห้าวหาญบนยุทธจักรที่จู้เหว่ยหว่อเข้าไปตีถึงประตูบ้านตามมา

หลังจากกลับเมือง พอได้ยินเรื่องราว หลินเจิ้งเหรินถึงกับสาบานต่อหน้ามวลชน ว่าตอนนี้พลังต่อสู้ของตนเองยังไม่ถึงขั้น แต่ตนเองจะฝึกฝนด้วยมานะความแค้น ประกาศกร้าวว่าจะลบล้างความอัปยศของเมืองวั่งเจียงในภายหลังอย่างแน่นอน และยังดูได้รับความศรัทธาจากผู้คนบางส่วนอีกด้วย

เจียงวั่งถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “เหลือมมรกตถูกเผาไปแล้วหรือ”

เจ้าหรู่เฉิงหัวเราะร่าขึ้นมา “ไม่ใช่ วันนั้นเขาไม่ได้นำแส้เหลือมมรกตออกมา แส้ที่ถูกเผาไปเส้นนั้นคือน้องชายของเขา เห็นได้ชัดว่าก่อนที่จะปรากฏตัวออกมาจงใจสลับไปเสียก่อน!”

ตอนนี้ขนาดหลิงเหอเองก็ยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่

หลังจากพี่น้องทั้งสามคนพูดคุยกัน เจียงวั่งก็แบ่งปันผังพลังดาวโจวเทียนที่ตนเองใช้สำหรับสร้างรากฐานออกมา ก่อนหน้านี้ที่ไม่พูดถึง เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันมีประสิทธิผลอย่างไร เกรงว่ามีโทษมากกว่าผลดี

แต่ตอนนี้สร้างรากฐานสำเร็จแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงข้อดีของผังพลังดาวโจวเทียน และรู้สึกว่าการเสียเวลาเตรียมการก็ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น พอเทียบถึงเวลาที่ต้องใช้ไปมากกว่าในผังวิญญาณหวนกำเนิดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น กระแสวนเต๋าที่สำเร็จมาจากผังวิญญาณหวนกำเนิด ทุกวันจะให้กำเนิดรากพลังเต๋าเพียงสามก้อน แต่กระแสวนเต๋าที่สำเร็จมาจากผังพลังดาวโจวเทียน ทุกวันให้กำเนิดพลังวิญญาณถึงเก้าก้อน

จากกระแสวนเต๋าที่มากขึ้น อัตราเปรียบเทียบก็จะห่างขึ้นไปอีก จนท้ายสุดก็จะหักลบกลบหนี้กับเวลาที่เสียไปก่อนหน้าเอง

แต่หลิงเหอทำได้เพียงยิ้มขืน “ในจุดผ่านสวรรค์ จะวางผังพลังที่ซับซ้อนขนาดนั้นลงไปได้อย่างไร”

เจ้าหรู่เฉิงอธิบายอยู่ข้างๆ “นี่จึงเป็นสาเหตุที่รุ่นพี่คนนั้นของข้าบอกว่าท่านเปิดชีพจรได้สมบูรณ์แบบนี่ไง”

เจียงวั่งตอนนี้จึงรู้ว่าส่วนพิเศษของจุดผ่านสวรรค์ตนเองอยู่ที่ไหน

วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของเขาเป้นแค่ไส้เดือนดินธรรมดา แต่ขนาดของจุดผ่านสวรรค์ของเขาเกินกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญปกติไปมาก

ผู้ฝึกบำเพ็ญปกติ หลังจากที่สร้างกระแสวนเต๋าสามวงจนสำเร็จวงจรฟ้าดินเล็กไปแล้ว จึงจะสามารถค่อยๆ ขยายจุดผ่านสวรรค์ตนเองได้ในวงจรฟ้าดิน

ยกตัวอย่างเช่นจุดผ่านสวรรค์ของหลิงเหอ เขาสามารถวางผังพลังรากฐานดาวโจวเทียนได้เพียงผังเดียวเท่านั้น ก่อนหน้าที่จะขยายจุดผ่านสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรก็วางผังที่สองลงไปไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า ถ้าเขาเลือกผังพลังดาวโจวเทียน ก็จะติดอยู่ที่หลังจากสำเร็จกระแสวนเต๋าที่หนึ่ง กับก่อนหน้าที่จะสร้างกระแสวนเต๋าที่สอง จะไปต่อหรือถอยหลังก็ลำบาก

แต่เจียงวั่งพอเปิดชีพจร จุดผ่านสวรรค์ก็กว้างใหญ่ไพศาลกว่า

ในที่สุดเขาก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ทำไมต่งเออจึงบอกว่าผังวิญญาณหวนกำเนิดเป็นผังพลังรากฐานที่เหมาะสมที่สุด มิน่าเล่าระบบสามมหามรรคาจึงล้วนใช้ผังพลังรากฐานผังวิญญาณหวนกลับเหมือนกันทั้งหมด

ส่วนเจ้าหรู่เฉิง ขนาดของจุดผ่านสวรรค์ไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากที่เปรียบเทียบเขาก็พบว่า ผังพลังดาวโจวเทียนกับผังพลังที่เขาเพิ่งได้รับมาเมื่อวานไม่ค่อยแตกต่างกัน จึงไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยน

ถ้าพูดถึงเรื่องการฝึกบำเพ็ญ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันของระบบกระแสวนเต๋าจนเกิดการพังทลายลง นอกจากการอนุมานออกมาใหม่เท่านั้น ปกติจะไม่เปลี่ยนผังพลังรากฐานกัน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันออกเดินทางมาถึง กลุ่มที่นัดกันไว้เรียบร้อยรวมตัวกันยังประตูทิศใต้

พอเห็นเจียงวั่ง หลีเจี้ยนชิวก็ตาเป็นประกาย “ยินดีด้วยที่ศิษย์น้องสร้างรากฐานสำเร็จ!”

เจียงวั่งหน้าชา “สร้างรากฐานมีอะไรน่ายินดีกัน ศิษย์พี่หลีแหย่ข้าเสียแล้ว”

หวงอาจ้านเองก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตบลงที่บ่าของเจ้าหรู่เฉิง แสดงออกประมาณว่าข้าชื่นชมเจ้าอยู่นะ “ยินดีด้วยที่ศิษย์น้องเจ้าเปิดชีพจรสำเร็จ!”

“…ไปไหนก็ไป!”

สิ่งแวดล้อมของเมืองซานซานจะบอกว่าดีก็ไม่ได้ ถนนสายหลักทอดยาวคดเคี้ยวอยู่ในเนินเขาหุบเหว

ต้นทุนในการรักษาถนนสายหลักแบบนี้สามารถจินตนาการออกแม้ว่าราชวงศ์จวงจะออกเงินก้อนใหญ่สำหรับถนนสายหลักในพื้นที่ต่างๆ ส่วนที่เหลือลงมาสำหรับเมืองซานซานก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมืองซานซานเดิมทีก็ขาดแคลนทรัพยากรอยู่แล้ว ไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมในท้องถิ่น จึงไม่ได้ร่ำรวยสมบูรณ์

ขนาดผู้ฝึกบำเพ็ญที่บรรลุพลังแล้วอย่างพวกเจียงวั่ง หลังจากมาถึงเมืองซานซานาก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย

ก่อนหน้านี้ผูกมิตรกับเพื่อนๆ จากเมืองซานซานไว้หลายคน แต่เจียงวั่งก็ไม่ได้ติดต่อพวกเขาล่วงหน้า

กล่องส่งข่าวพันลี้เขาเองก็ซื้อไม่ไหว กระบี่บินส่งข่าวเขาก็มีพลังไม่พอ จะเขียนจดหมายส่งมาก็ไม่ได้เร็วกว่าการที่เขาเข้ามาเอง ดังนั้นจึงเอาเป็นไว้เจอแล้วค่อยทักทายแล้วกัน

เรื่องการกวาดล้างสัตว์ร้าย พวกหยางซิ่งหย่งกับซุนเสี่ยวหมานในฐานะที่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญของเมืองไม่มีทางพลาดแน่นอน

เมืองซานซานสถาปนาขึ้นในวงล้อมของภูเขา โครงสร้างของเมืองล้อมน้ำจึงแตกต่างจากเมืองเฟิงหลินมาก

ทั่วทั้งเมืองมีเพียงประตูเมืองบานเดียว หันหน้าหาถนนสายหลักเส้นเดียวที่ทอดยาวเข้ามา

และหลังจากเข้าเมืองแล้ว สิ่งปลูกสร้างแรกที่พบก็คือจวนเจ้าเมืองที่มีรูปแบบหยาบๆ หรือก็คือทุกคนที่เข้าเมืองซานซานล้วนต้องเดินอ้อมไปยังด้านทั้งสองของจวนเจ้าเมือง

จากโครงสร้างนี้จะเห็นว่า เมืองนี้ไม่ค่อยต้อนรับคนนอก

แต่ว่าชาวเมืองซานซานที่เดินไปมา ก็ล้วนคึกคักอบอุ่น ยิ้มแย้มกันอย่างผึ่งผาย

ดูจากเครื่องแต่งกายของพวกเขา ปัจจัยการดำรงชีวิตของประชาชนเมืองซานซานยังสู้ประชาชนเมืองเฟิงหลินไม่ได้ แต่ใบหน้าจิตวิญญาณของพวกเขาก็เอิบอิ่ม ในสายตาพวกเขามองออกถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต

แม้สัตว์ร้ายจะทำให้เมืองนี้ได้รับความลำบาก แต่เสียงการค้าขาย เสียงหัวเราะเฮฮาเหล่านั้นก็เหมือนไม่ได้ขาดหายไป

คนที่ผ่านไปผ่านมา พักอยู่และจากไป นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโลกมนุษย์

……………………………………….