บทที่ 68 ใจลำเอียง ความคนึงที่ดื้อรั้น

ท่องภพสยบหล้า

ชายร่างกำยำเปลือยบ่ากล้ามแน่นสองคนปกป้องอยู่ที่ประตูจวน ทำให้คนที่มองหวาดผวา

กลุ่มคนเดินตามหลีเจี้ยนชิวหักเลี้ยวไปฝั่งขวา

จู่ๆ ก็มีเสียงแจ๋วดังขึ้นด้านหลัง “เจียงวั่ง!”

เจียงวั่งหันหลังตามเสียง พบว่าซุนเสี่ยวหมานรูปร่างหน้าตาน่ารักคนนั้น กำลังกระโดดตัวสูงในกลุ่มคน โบกไม้โบกมือตรงมาหาเขา

ข้างๆ นางมีเด็กอ้วนร่างกลมคนหนึ่งติดตามมาด้วย ถ้าไม่ใช่ซุนเซี่ยวเหยียนแล้วจะเป็นใครไปได้

“แม่นางซุน!” เจียงวั่งยิ้มทักทาย

“ทำไมต้องมากพิธีขนาดนั้น เรียกเสี่ยวหมานก็พอ” ซุนเสี่ยวหมานเดินโยกเข้ามา ทุบไปที่ท้องเขาทีหนึ่ง

เจียงวั่งสูดลมหายใจลึก เพื่อไม่ให้ขายหน้า พยายามรักษารอยยิ้มละไมบนใบหน้าเอาไว้อย่างสุดกำลัง “ได้ ได้เลย เสี่ยวหมาน เซี่ยวเหยียนก็สบายดีนะ!”

ดูท่ากลุ่มของซุนเสี่ยวหมานเพิ่งกลับมาจากนอกเมือง บนตัวยังมีร่องรอยการต่อสู้อยู่ หยางซิ่งหย่ง เจ้าเถี่ยเหอไม่ได้ติดตามมา เป็นไปได้ว่าปกติไม่ได้ทำภารกิจด้วยกัน

ซุนเสี่ยวหมานโบกมือให้คนด้านหลังเดินไปก่อน จากนั้นจึงหันหน้ากลับมาถาม “เจ้ามาครั้งนี้คือมาหาพวกเรา หรือว่า…”

เจียงวั่งเอ่ยแนะนำพวกของหลีเจี้ยนชิวเจ้าหรู่เฉิง “พวกเรามาเพราะรับภารกิจจัดการสัตว์ร้ายน่ะ”

“ดี! เยี่ยมไปเลย!” ซุนเสี่ยวหมานดูผึ่งผายจนผิดปกติ “ยังไม่ได้จองห้องพักใช่ไหม มา พวกเจ้ามาพักที่บ้านข้านี่!”

“ท่านพี่” ซุนเซี่ยวเหยียนฉุดนางเบาๆ จากด้านหลัง “ท่านเป็นผู้หญิงนะ พาคนไปที่บ้านดูไม่ค่อยดีเลย…”

“มีอะไรไม่ดีกัน บ้านเราก็ใหญ่โต เจ้าจัดแบ่งห้องเสียหน่อยก็จบแล้วไม่ใช่รึ”

“เตียงข้ามันเล็กนะ ยังไม่พอข้านอนคนเดียวเลย!”

“ข้าบอกเมื่อไรว่าให้พวกเขานอนเตียงเดียวกับเจ้า”

“ถ้างั้นไปนอนกับท่านก็ยิ่งไม่ได้เลยสิ”

“เจ้าว่าในหัวสมองอวบอ้วนของเจ้าวันวันเอาแต่คิดอะไรอยู่เนี่ย”

ตอนที่สองพี่น้องกำลังเสี่ยงจะวางมวยนั้น หลีเจี้ยนชิวก็เอ่ยขึ้นอย่างทันเวลา “แม่นางซุน พวกเราจองห้องเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องออกปราบปรามสัตว์ร้ายทันทีอีกด้วย ไปพักที่จวนของท่านคงไม่สะดวกนัก”

เจียงวั่งเอ่ยขึ้นบ้าง “พวกเราครั้งนี้ติดตามศิษย์พี่หลีเจี้ยนชิวมา เรื่องทั้งหมดเขาเป็นคนจัดการ เสี่ยวหมาน เซี่ยวเหยียน คงไม่ต้องลำบากพวกท่านแล้ว รอภารกิจปราบปรามสำเร็จ พวกเราค่อยมาร่ำสุราด้วยกัน!”

“อ๊ะ ได้ ได้” ซุนเสี่ยวหมานเก็บความป่าเถื่อนลงในพริบตา หันกลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาไว้ข้าจะนัดพวกเถี่ยเหอมาด้วย”

คนทั้งสองกลุ่มจึงแยกย้ายกัน

พอพวกเจียงวั่งเดินลับไป ซุนเสี่ยวหมานก็หน้าถมึงทึง “เจ้าอ้วนจะมาเลื่อยขาเก้าอี้ข้าใช่ไหม ตระหนี่ขี้เหนียวหรือ แล้วเพื่อนๆ จากเมืองเฟิงหลินจะคิดอย่างไรกับพวกเรา”

แต่ด้วยความเข้าใจต่อตัวเธอของเซี่ยวเหยียน แน่นอนว่าไม่มีทางรอให้โดนอัดอยู่แล้ว เผ่นผลิวเข้าไปในจวนเจ้าเมืองเรียบร้อย

ซุนเสี่ยวหมานไล่กวดอย่างบ้าคลั่งจนกระเจิงไปตลอดทาง องครักษ์ในจวนเองก็เห็นจนชินชา แต่ละคนจึงไม่ใส่ใจไปมองอีก

พี่น้องทั้งสองคนพุ่งเรียงกันเข้าไปในห้องหนังสือ

ที่นั่งหลังโต๊ะหนังสือมีสาวสวยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังนั่งหมอบอ่านอะไรบางอย่างบนโต๊ะ

คนผู้นี้คือเจ้าเมืองปัจจุบันของเมืองซานซานโต้วเยวี่ยเหมย และเป็นมารดาของพี่น้องซุนเสี่ยวหมาน

ซุนเซี่ยวเหยียนเอาศีรษะมุดเข้าไปในอกของนาง ชี้นิ้วอ้วนๆ ออกไป “ท่านดูพี่สาวสิ!”

โต้วเยวี่ยเหมยวางพู่กันกับหมึกลง โอบกอดซุนเซี่ยวเหยียนอวบอ้วนเอาไว้ ไม่สนใจว่าฉากนี้จะดูไม่เข้ากันขนาดไหน เหลือบตามองจ้องเขม็งไปยังซุนเสี่ยวหมานที่กำลังแยกเขี้ยวกางเล็บตรงเข้ามา

“ซุนเสี่ยวหมาน! เจ้าทำอะไรอีกแล้ว?”

นางมีชื่ออันสุภาพลึกซึ้ง แต่ด้วยพลังที่ออกมาก็เรียกได้ว่าองอาจห้าวหาญ

ซุนเสี่ยวหมานหยุ่ดลงที่ประตูห้องหนังสือ ค่อนข้างไม่ยินยอม “พี่สาวคนโตเป็นเหมือนมารดา ข้าจะสั่งสอนบ้างแล้วเป็นอะไรกัน”

“เขามีมารดาอยู่แล้วคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีมารดาหลายคน!”

ซุนเสี่ยวหมานพูดไม่ออกพักหนึ่ง เพียงแค่กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ เท้าเปลือยเปล่าย่ำลงบนก้อนอิฐจนมีเสียงเปรี๊ยะลั่นขึ้น “ท่านแม่! ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว!”

โต้วเยวี่ยเหมยกอดซุนเซี่ยวเหยียนอย่างรักใคร่เกินเลย เอ่ยขึ้นอย่างจริงแท้แน่นอน “ก็ใช่ ลูกสาวในที่สุดก็ต้องออกเรือน มันก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปนั่นล่ะ!”

“ข้ายังไม่ได้ออกเรือน!”

“แต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

ซุนเซี่ยวเหยียนหลบอยู่ในอ้อมกอดมารดา รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เอ่ยสอดขึ้นมาบ้าง “ใช่ใช่ นางวันนี้ยังเล่นหูเล่นตากับชายสกุลเจียงอยู่เลย!”

“เจ้าอ้วนคันนักใช่ไหม!” ซุนเสี่ยวหมานเดือดดาล ชูกำปั้นพุ่งตรงมาด้านหน้า

โต้วเยวี่ยเหมยยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ออกแรงอย่างอ่อนโยนยันตัวซุนเสี่ยวหมานไว้ จนนางเข้ามาใกล้ไม่ได้

“เป็นเด็กผู้หญิง อย่าทำตัวหยาบคายเช่นนี้” นางเลิกคิ้วงามขึ้น เอ่ยขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “สกุลเจียงคนนั้นเป็นมาอย่างไรหรือ?”

“ท่านจะไปฟังเขาผายลมทำไม!” ซุนเสี่ยวหมานพุ่งเข้าไปไม่ได้ ไฟโกรธลุกโหมขึ้นอีก “เจียงวั่งคือคนที่มอบห้าสิบแต้มเต๋าให้กับพวกเราอย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ก็ยังมาช่วยพวกเรากวาดล้างสัตว์ร้าย ข้าไปทักทายเขาหน่อยแล้วทำไมกัน แต่เจ้าลูกชายที่ไม่มีหัวจิตหัวใจของท่าน กลับตระหนี่ถี่เหนียวกลัวว่าคนอื่นจะมาเบียดเตียงของเขา!”

“โอ้ เช่นนั้นก็ควรจะต้อนรับเสียหน่อย” โต้วเยวี่ยเหมยพยักหน้า ถามต่อว่า “เขาหน้าตาดีไหม?”

ซุนเสี่ยวหมานรู้สึกว่าคุยกันต่อไม่ได้แล้ว “ท่านแม่!”

ซุนเซี่ยวเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างมีตัวตนชัดเจน “หน้าตาก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่าไม่ได้ดูดีเหมือนสกุลเจ้าคนนั้น”

“เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลย เด็กโง่ของข้า ผู้ชายหน้าตาดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ต้องมีเนื้อมีหนังหน่อยสิถึงจะดี” โต้วเยวี่ยเหมยยื่นมือมาหยิกแก้มอ้วนๆ ของซุนเซี่ยวเหยียน “เจ้าดูเจ้าที่อวบๆ แบบนี้สิ น่ารักจะตาย”

ซุนเซี่ยวเหยียนมีสีหน้าเขินอายเล็กน้อยขึ้นมาทันที

ซุนเสี่ยวหมานหายใจลึก ปรับอารมณ์ของตนเอง ควบคุมความโกรธของตนเองลงและเอ่ยขึ้นอย่างสงบจิตสงบใจ “ท่านแม่ ท่านรักลูกชายมากกว่าลูกสาวไปหรือเปล่า”

โต้วเยวี่ยเหมยหยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ “ก็ใช่สิ ทำไมหรือ”

ซุนเสี่ยวหมานคำรามขึ้นมา “สกุลโต้ว! ท่านเองก็เป็นหญิงนะ!”

“ก็ใช่สิ! เจ้าว่าข้าไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีหรือ ที่ดวงใจยังซบอยู่กับพ่อของเจ้าที่ตายไปแล้วคนนั้น เคยคิดที่จะออกเรือนอีกครั้งหรือไร ตอนที่พ่อของเจ้าจะตาย เขาต้องรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รักลูกชายสุดที่รักของเขามากขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน

ตอนที่พ่อเจ้ายังมีชีวิตข้าคอยดูแลเขา พอเขาตายไป ข้ายังต้องมาประคับประคองตระกูลซุน เลี้ยงดูพวกเจ้าทั้งสอง จากสาวน้อยน่ารักกลายมาเป็นเจ้าเมืองเอวหนาเสียงหยาบในตอนนี้! เจ้าว่ารักลูกสาวไปมันจะมีประโยชน์อะไร”

ซุนเสี่ยวหมาน “…”

ไม่มีคำจะพูดต่อ

นางเตะประตูห้องหนังสือ เดินออกไปอย่างขุ่นเคือง

พวกของเจียงวั่งที่แยกตัวจากซุนเสี่ยวหมาน กำลังเดินทางไปหาที่พัก

หวงอาจ้านยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “เจียงวั่งใช้ได้นี่นา ลูกสาวเจ้าเมืองซานซานเลยนะ”

เจียงวั่งจำใจ “แค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น”

“เหอๆๆ ข้ารู้ ข้ารู้”

เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยขึ้นเงียบๆ ข้างๆ “หวงอาจ้าน ถ้าเจ้าไม่กลัวถูกลูกตุ้มสะเทือนเขาทุบจนกลายเป็นเศษเนื้อ ก็ส่งเสียงกะลิ้มกะเหลี่ยของเจ้าต่อไปแล้วกันนะ”

หวงอาจ้านหวนคิดไปถึงลูกตุ้มสะเทือนเขาที่อหังการในงานเสวนาเต๋าสามเมืองขึ้นมา ตัวสั่นหุบปากลง

หลีเจี้ยนชิวเหมือนคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เดินนำกลุ่มคนไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งอย่างชำนิชำนาญทาง

โรงเตี๊ยมเล็กมาก แต่สภาพยังดี

ในโถงมีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ไม่กี่ตัว ถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้าน

เถ้าแก่เป็นชายชราที่สายตาไม่ค่อยดีคนหนึ่ง หรี่ตามองหลีเจี้ยนชิวครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาแล้วหรือเสี่ยวหลี”

หลีเจี้ยนชิวเอ่ยทักทายเขาอย่างคุ้นเคย “ใช่แล้ว ท่านปู่จาง รบกวนจัดห้องพักให้ด้วยสี่ห้อง”

“สองก็พอกระมัง มีเงินก็อย่าสุรุ่ยสุร่ายนัก ชายชาตรีสี่คนนอนเบียดกันหน่อยจะเป็นไร”

“ได้ แล้วแต่ท่านเลย”

“สบายดีไหมช่วงนี้”

“ก็ได้อยู่ ท่านปู่ล่ะ”

“สบายดี”

เจียงวั่งมองฉากนี้เงียบๆ รู้สึกว่าหลีเจี้ยนชิวกลมกลืนกับที่นี่เหลือเกิน ราวกับว่าเขาใช้ชีวิตที่นี่มาระยะหนึ่ง

“ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเขาระหว่างทางกลับมาที่เมือง ถูกสัตว์ร้ายกินไปบนถนนสายหลัก” ตอนที่เดินขึ้นชั้นบน หลีเจี้ยนชิวเอ่ยขึ้น “ตอนที่ทหารรักษาเมืองลาดตระเวนไล่มาถึง กระทั่งกระดูกสักชิ้นก็ไม่เหลือแล้ว”

เจียงวั่งนิ่งงันไป จำนวนสัตว์ร้ายในบริเวณเมืองเฟิงหลินไม่ได้มีมากนัก เกิดเรื่องที่สัตว์ร้ายบุกขึ้นบนถนนสายหลักน้อยมาก

เขารู้สึกยากจะจินตนาการได้ ว่ากระทั่งถนนสายหลักยังไม่ปลอดภัย แล้วประชาชนธรรมดาของเมืองซานซาน จะมีแรงกดดันในการใช้ชีวิตมากขนาดไหน

และอะไรที่ทำให้พวกเขายังมีความหวังอันดื้อรั้นเช่นนั้นกัน

“เขายังคิดอยู่เสมอว่าลูกชายยังไม่ตาย คิดว่าวันหนึ่งจะกลับมา ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอที่ประตูโรงเตี๊ยมทุกวัน”

หลีเจี้ยนชิวถอนหายใจ ไม่พูดอะไรต่อ

……………………………………….