บทที่ 69 มุ่งหน้าไปยังยอดเขา

ท่องภพสยบหล้า

เขายอดพู่กันเป็นเหมือนพู่กันตั้งตรงด้ามหนึ่งสมชื่อ ตั้งตระหง่านเสียดฟ้า สูงชันยิ่งใหญ่

ถนนบนภูเขาเป็นเพียงแค่ทางภูเขาง่ายๆ คนทั้งหลายยืนอยู่ที่ตีนเขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าผู้บำเพ็ญเมืองซานซานบุกเบิกถนนสายนี้อย่างยากลำบากเพียงใด

โดยเฉพาะตอนนั้นยังมีสัตว์ร้ายเต็มภูเขาไปหมด

แต่ละก้าวๆ ต้องหลั่งเลือด แต่ละขั้นๆ วิญญาณหลุดลอยป็นแน่

และขั้นบันได้ที่ก่อขึ้นจากเลือดเนื้อของผู้ตาย วิญญาญของผู้วายชนม์คุ้มครองคนเป็น คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก้าวไปข้างหน้า ถึงได้ก้าวมายังภูเขาโลกนี้ สังหารสัตว์ร้ายได้ในที่สุด

หลังจากผ่านไปสองปี สัตว์ร้ายที่เพ่นพ่านและที่ปรากฏขึ้นใหม่ ที่นี่ก็มีผู้กำจัดคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น

เจียงวั่งคุ้นเคยดีกับสัตว์ร้าย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่มายังรังสัตว์ร้ายในตำนานแบบนี้

เพราะเหตุจากรางวัลมหาศาล ผู้บำเพ็ญที่มาเมืองซานซานจึงมีมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วเลือกตามกลุ่มกำจัดสัตว์ร้ายบนยอดเขาหยกสมดุลของเมืองซานซานไป

กลุ่มที่เลือกไปเขายอดพู่กันมีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

และหลีเจี้ยนชิวก็นำกลุ่มออกเดินทางแต่เช้า บนถนนไม่มีผู้ร่วมเดินทางเลย

คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าปีนขึ้นไปยังยอดเขาภายใต้การนำของหลีเจี้ยนชิว ครึ่งทางแรกการเดินทางปลอดภัยมั่นคงดี นอกจากกระดูกสัตว์กระจัดกระจายที่เห็นได้เป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่เห็นมีสิ่งอื่น

ถนนภูเขาวนรอบยอดเขาขึ้นไป ฝั่งหนึ่งเป็นตัวภูเขา ฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผา มีเสียงคำรามแปลกประหลาดดังออกมาจากหุบเขาเป็นระยะๆ ชวนให้คนขนลุกขนพอง

“ระวัง!” หลีเจี้ยนชิวพลันส่งเสียงร้องเตือน แต่ไม่ได้ขยับ

จากริมผาพลันมีสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนงูตัวหนึ่งพุ่งออกมา บอกว่ามันเป็งู แต่ตัวมันกลับปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มีสีเดียวกับหินผา การป้องกันของมันชั้นนี้ทำให้คนยากจะพบมันในยามที่มันหยุดยิ่ง

กระบี่ยาวของเจียงวั่งออกจากฝักก่อนใคร ในยามที่สัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนงูตัวนั้นอ้าปากมา กระบวนท่าสังหารที่หนึ่งเคล็ดวิชากระบี่หมอกมงคงแห่งบูรพาฟันลิ้นมันขาด

มืออีกข้างหนึ่งที่ประสานปางมืออยู่ก็ไม่ได้ว่างเฉย พลิกมือดีดไฟลูกหนึ่งเข้าไปในปากงู ร่างหมุนตามกระบี่ ในขณะเดียวกันกับที่สัตว์ประหลาดรูปร่างงูร่วงตกไปที่หน้าผา ก็ลอยกลับมาที่ถนน

การเคลื่อนไหวทั้งชุดนี้เฉียบขาดแม่นยำนัก ไม่มีส่วนเกินแม้แต่น้อย ภาพฉากงดงามทำให้ผู้ชมรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

หลังจากผสานวิชาเต๋าเข้ากับระบบการต่อสู้แล้ว กำลังรบของเจียงวั่งเพิ่มขึ้นใช่เพียงแค่หนึ่งเท่า

“สัตว์ร้ายชนิดนี้ชื่อว่างูหินผา การป้องกันกระดองเกล็ดของมันแข็งแกร่งมาก แต่ปากคือจุดอ่อนของมัน” หลีเจี้ยนชิวเดินมาข้างๆ พลางอธิบาย “ศิษย์น้องเจียงรับมือได้เยี่ยมยอดนัก หากสัตว์ร้ายบนเขายอดพู่กันแข็งแกร่งแค่ระดับนี้และมีความหนาแน่นของประชากรเพียงเท่านี้ล่ะก็ วันนี้พวกเราน่าจะถึงยอดเขา”

“ศิษย์พี่หลีเหมือนจะคุ้นเคยกับที่นี่ดี” เจ้าหรู่เฉิงเอ่ย

“เคยมา” ข้างหน้ามีคำตอบของหลีเจี้ยนชิวดังลอยมา

เมื่อครู่เขาจงใจไม่ลงมือก็เพื่ออยากจะสังเกตความสามารถของคนเหล่านี้ ผลสุดท้ายก็ทำให้เขาพอใจนัก

เจ้าหรู่เฉิงปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ปรับตำแหน่งยืนได้อย่างรวดเร็ว หากหลีเจี้ยนชิวมองไม่ผิดแล้วล่ะก็ ท่าเริ่มจับกระบี่ของเขาเหมือนกับของเจียงวั่งทุกประการ ท่าทางคงเรียนเคล็ดวิชากระบี่เยี่ยมยุทธ์ที่เลื่องลือเป็นที่ฮือฮานั่นเป็นแน่——เจียงวั่งชิงตำแหน่งชนะเลิศของนักเรียนชั้นปีหนึ่งงานประลองสามเมืองเสวนาเต๋าได้ ไม่ถูกคนจับจ้องคงจะยาก

หวงอาจ้านปกติทำตัวตลกขบขัน แต่เขาก็เตรียมวิชาเต๋าสำเร็จได้เพียงในชั่วเวลาสั้นๆ

แน่นอนว่าคนที่นำความประหลาดใจมาให้หลีเจี้ยนชิวได้ใากที่สุดก็คือเจียงวั่ง เขารู้ตั้งนานแล้วว่าเมื่อเจียงวั่งสร้างรากฐานสำเร็จก็จะต้องยกระดับได้เป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากถึงขนาดนี้ พลังของเจียงวั่งในตอนนี้สูงกว่าในตอนศึกสามเมืองเสวนาเต๋าไปมาก

กลุ่มแบบนี้ไม่พูดว่าแข็งแกร่งเพียงใด แต่อย่างน้อยๆ ไม่มีใครถ่วงเขา

เดินตรงไปข้างหน้าก็เป็นมุมเลี้ยวพอดี ร่างของหลีเจี้ยนชิวเพิ่งหลุดจากครรลองสายตาก็มีเสียงคลื่นรากพลังเต๋าสะเทือนเลื่อนลั่นดังมา

เจียงวั่งรีบไล่กลับตามไป ก็เห็นซากร่างของสัตว์ร้ายรูปร่างเหมือนตะขาบตัวหนึ่งถูกสับเป็นท่อนๆ กระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น ส่วนสองมือของหลีเจี้ยนชิวมีกระบี่ที่ไฟลุกโหมโชติช่วงสองเล่ม

“ตะขาบวายุ บินได้” หลีเจี้ยนชิวอธิบาย แล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งขึ้นว่า “หากมีจำนวนมากล่ะก็ เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว”

บนถนนภูเขาที่แคบนี้ หากเจอการล้อมจากสัตว์ร้ายที่บินได้ ก็ยากจะรับมือจริงๆ ดีที่ตอนนี้มีแค่ตะขาบวายุเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ปรากฏตัวขึ้น

สัตว์ร้ายปรากฏขึ้นติดๆ เป็นการบ่งบอกว่าเข้ามาในเขตสัตว์ร้ายเพ่นพ่านแล้ว ทุกคนต่างเพิ่มความระมัดระวัง

หวงอาจ้านเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองอย่างระมัดระวัง วิชาผิวศิลาเอย วิชาเพิ่มพลังต้านเอย อัดวิชาเต๋าใส่ตัวเองเต็มที่ ไม่ใช่เสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่ไปยังเจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงด้วย

สุดท้ายเป็นหลีเจี้ยนชิวมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “รากพลังเต๋าเจ้าพอใช้หรือ”

เขาถึงได้รามือไปอย่างคับแค้นใจ

ครึ่งทางสู่ยอดเขา

เอวสตรีอรชรอ้อนแอ้น เอวบุรุษแข็งแกร่งกำยำ ครึ่งทางสู่ยอดเขา[1]ของเขายอดพู่กัน…สูงชันอันตราย

ถนนภูเขาสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ข้างหน้าไม่มีทางเดิน มีเพียงก้อนหินดินผา ต้นไม้ประหลาดแผ่กิ่งก้านระเกะระกะ

และตามต้นไม้ ระหว่างก้อนหินก็มีสัตว์ร้ายไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัวนั่งอยู่บ้าง หมอบอยู่บ้าง มีทั้งรูปร่างอย่างหมาป่า อย่างงู อย่างนก แตกต่างมากมาย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือหน้าตาน่ากลัว รูปลักษณ์ภายนอกเหี้ยมเกรียม

สัตว์ร้ายนั้นไม่มีสติปัญญา ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การดักซุ่ม พูดให้ถูกต้องควรจะเป็นพวกเจียงวั่งที่บุกเข้ามาให้เขตพักพักผ่อนของพวกมัน

และพวกมันแน่นอนว่าอาละวาดทันที

เลือดเนื้อสดใหม่สี่ก้อนที่เข้ามาใกล้ทำให้พวกมันอยากกินจนคุ้มคลั่ง

หลีเจี้ยนชิวถือกระบี่เพลิงคู่ชี้ไปข้างหลังวิ่งพุ่งเข้าไปในฝูงสัตว์ร้าย กระบี่เพลิงกวัดแกว่ง เลือดเนื้อแหลกเละ

เจ้าหรู่เฉิงวาดกระบี่ออกไปอย่างทรงพลัง ฟันไปข้างๆ เขาไม่ได้พุ่งเข้าไปอย่างหลีเจี้ยนชิว แต่รักษาระยะห่างให้ตัวเองเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายพร้อมกันไม่เกินสามตัวตลอดเวลา กระบี่ประเดี๋ยวฟันไปทางซ้าย ประเดี๋ยวฟันไปทางขวา ทุกครั้งล้วนฟันไปที่จุดตาย

หวงอาจ้านประสานปางมือเร็วจี๋ เจียงวั่งค้นพบมาตั้งแต่ตอนที่เขาเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้วว่า เขาประสานปางมือได้ไวมาก ตอนนี้เห็นเพียงลูกไฟราวมุกเรียงร้อย แทบจะกวาดโหมทะลักออกไป

สำแดงวิชาเต๋าเป้าหมายเดี่ยวระดับสี่ชั้นบนให้ได้ผลเป็นวิชาเต๋าบริเวณกว้าง

เจียงวั่งย่อมไม่ยอมน้อยหน้าไปกว่าคนอื่น มือซ้ายที่ประสานปางมือเสร็จเพียงลาก เถาวัลย์เส้นหนึ่งก็รัดสัตว์ร้ายรูปร่างหมาป่าที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้ได้พอดี จากนั้นกระบี่ยาวก็ฟันออกไป หัวหมาป่าแยกออกจากตัวทันที

เตะซากร่างหมาป่ากระเด็นไปกระแทกกับสัตว์ร้ายรูปร่างเสืออีกตัว

ส่วนตัวเขาก็อาศัยแรงสะท้อนดีดไปข้างหลัง คนทั้งคนหงายหน้ากลางอากาศ กลายเป็นเส้นตรงขนานไปกับพื้น

เขาเหมือนกระบี่เล่มหนึ่ง และกระบี่ในกายก็คือปลายกระบี่

พลังของเคล็ดวิชากระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาสร้างแรงสะเทือนให้กับเหล็กธรรมดาทำให้กระบี่เล่มนี้ฟันสัตว์ร้ายรูปร่างงูเหมือนมีดคมฟันกระดาษ

ร่างงูแยกเป็นสองท่อน เจียงวั่งทะลวงผ่านเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาพร้อมกับกระบี่ เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก แต่ไม่เปื้อนเลือดงูเลยแม้แต่หยดเดียว

สัตว์ร้ายรูปร่างเหมือนเหยี่ยวตัวหนึ่งพุ่งมา มันปะทะเข้ากับเลือดงูที่สาดกระเซ็น ถูกเลือดกัดกร่อนจนกรีดร้องโหยหวน

เจียงวั่งพลิกตัว กระบี่พุ่งออกจากมืออย่างเร็วรี่เข้าไปเสียบคอเรียวบางจองอสูรเหยี่ยวทะลุ ตัดหัวมันในกระบี่เดียว

กระบี่ธรรมดาเล่มนี้ไม่อาจะทนรับการต่อสู้ระดับนี้ได้อีกต่อไป จึงระเบิดขึ้นกลางอากาศ

เจียงวั่งเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว ประสานปางมือรออยู่นาน มือเพียงสะบัด ก็หลอมกระบี่เพลิงเล่มหนึ่งออกมา

จนถึงตอนนี้เลือดงูตัวนั้นถึงเพิ่งจะกระทบต้องผืนดิน กัดกร่อนหินผาจนเป็นหลุมยุบ

เจียงวั่งชี้กระบี่เพลิงลงดิน ก้าวเท้าทะยานไปข้างหน้า ปะทะเข้ากับสัตว์ร้ายรูปร่างเสือที่ถูกชนมาเมื่อก่อนหน้านี้ตัวนั้น

กระบี่เพลิงแทงทะลุหัวใจ มือซ้ายของเจียงวั่งบีบคอสัตว์ร้ายตัวนี้เอาไว้แล้วเหวี่ยงมันไปอีกทาง

การต่อสู้กระบวนนี้ยอดเยี่ยมคล่องแคล่ว หากไม่ใช้เคล็ดวิชาควบคุมปราณทำให้เขาควบคุมรากพลังเต๋าได้ดั่งใจ ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้เด็ดขาด

และในตอนนี้ หลีเจี้ยนชิวก็สังหารสัตว์ร้ายได้สองรอบแล้ว สัตว์ร้ายเกือบยี่สิบตัวเหลือรอดเพียงแค่สองตัวเท่านั้น เป็นตะขาบวายุสองตัว

พวกมันเหมือนไม่รู้จักกลัว แน่นอนว่ายิ่งไม่มีความคิดที่จะหนี ยังคงพุ่งมาอย่างบ้าคลั่ง ขวาหนึ่งตัวซ้ายหนึ่งตัว

หลีเจี้ยวชิวชักกระบี่ทะยานขึ้นฟ้า กระบี่เพลิงสองเล่มสอดประสานกลางอากาศ ตะขาบวายุสองตัวถูกฟันขาดเป็นสี่ท่อน ร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับเขา

เจ้าหรู่เฉิงเก็บกระบี่ลงไปนานแล้ว ดูท่าทางไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย

หวงอาจ้าน…

“ศิษย์พี่หลีเกรียงไกรนัก!”

ยังคงยกยอปอปั้นอย่างกระตือรือล้น คงเพราะภาวะสมบูรณ์ดี

เจียงวั่งสะบัดมือดับกระบี่เพลิง รากพลังเต๋าของเขาไม่มากเท่าหลีเจี้ยนชิว ประหยัดได้ก็ประหยัด

ตอนนี้กระแสวนเต๋าแม่น้ำดาราของเขาจะให้รากพลังเต๋าเก้าเม็ดทุกวัน รวมกับการฝึกทะลวงชีพจรของตน รากพลังเต๋าสะสมได้เร็ว แต่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ก็ยืนหยัดได้ไม่นานเท่าไรนัก

หลีเจี้ยนชิวเหยียบซากร่างสัตว์ร้ายมุ่งไปข้างหน้า

ไม่มีสัตว์ร้ายพวกนั้นบัง เจียงวั่งถึงได้สังเกตว่าหินก้อนใหญ่ข้างหน้าสลักอะไรเอาไว้

……………………………………………………

[1] ภาษาจีนเรียกบริเวณครึ่งทางสู่ยอดเขาว่า “เอวภูเขา”