ฉันนอนหลับไม่ค่อยสนิทเพราะกลับมาที่พักตอนที่ใกล้จะรุ่งสางแล้ว แต่ร่างกายและจิตใจของฉันกลับเบาสบายเป็นอย่างมาก
‘คงเป็นเพราะตามหากริชไคร์ลเรสกลับมาได้’
พอปัญหาที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอดถูกสะสาง แค่อยู่เฉยๆ ก็ยังยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ
‘พอราธบันมาก็เอาให้เขาดูได้เลย’
ขณะที่คิดแบบนั้นพลางเซ็นเอกสารอย่างตื่นเต้น ฉันก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยเดินเข้ามาระหว่างเหล่านักบวช
“เซอร์ราธบัน?”
ฉันต้อนรับราธบันที่มาพบอย่างกะทันหันด้วยความยินดี จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบาเพื่อไม่ให้เหล่านักบวชคนอื่นได้ยิน
“ไม่ทราบว่า… วันนี้มีนัดเรียนหรือ?”
ฉันนึกถึงกริชไคร์ลเรสที่รออยู่เงียบๆ ในลิ้นชักแล้วเอ่ยถามเพราะคิดว่าบางทีตนอาจจะลืมนัดกับเขาไป เขาส่ายหน้า
“ไม่ใช่ขอรับ ข้ามาเพื่อขออนุญาตออกไปด้านนอก”
ขณะที่จะออกไปจากวิหารหลวง ราธบันจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากฉันก่อนเพราะเขาเป็นผู้บัญชาการอัศวินของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“ครู่ก่อนข้าได้รับการติดต่อมาจากเหล่าอัศวินที่รอรับนักบวชคาร์ลขอรับ”
“อา ในที่สุดก็มีการติดต่อมาแล้ว เขาบอกว่าใกล้ถึงแล้วหรือ?”
“ใช่ขอรับ เพียงแต่…”
“เพียงแต่?”
“เห็นว่าเหตุผลที่มาถึงช้าเป็นเพราะสุขภาพของนักบวชคาร์ลแย่ลงฉับพลันอย่างไม่ทราบสาเหตุระหว่างทางมาขอรับ ดังนั้นหากท่านอนุญาตให้ข้าพานักบวชระดับสูงไปรับนักบวชคาร์ลด้วย…”
“เป็นเช่นนี้เอง เข้าใจแล้ว รีบไปพานักบวชคาร์ลกลับมายังวิหารหลวงโดยเร็วที่สุดเถิด”
ราธบันกล่าวขอบคุณพร้อมกับค้อมศีรษะหลังจากฉันอนุญาต ก่อนจะออกจากห้องไป หลังจากเขาออกไป ฉันก็เดินเข้าไปใกล้โต๊ะหนังสือ
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว”
ตอนนี้หากนักบวชคาร์ลมาถึง ผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็จะมารวมตัวกันที่วิหารหลวง และผู้อาวุโสคนใหม่ก็จะถูกเลือกผ่านการประชุมที่ยาวนานอีกครั้ง
ฉันคิดแบบนั้นพลางเดินตรงไปหน้ากระจก จากนั้นก็แตะมือเข้ากับกระจกอย่างระมัดระวัง บัดนี้ฉันไม่รู้สึกแปลกกับใบหน้านี้อีกแล้ว มีแต่ความรู้สึกเป็นธรรมชาติเหมือนกับว่ามันเป็นร่างของฉันมาตั้งแต่แรก ฉันจ้องมองฉันในกระจกและเปิดปากพูด
“…อีเบลลีน่า”
แม้จะลองเรียกหานางแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดเลย หลังจากวันที่ได้ยินเสียงเป็นครั้งสุดท้ายฉันก็ไม่ได้ยินคำพูดอะไรจากอีเบลลีน่าอีกเลยราวกับนางหายไปแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะนางยอมรับความพ่ายแพ้และล้มเลิกที่จะกลั่นแกล้งฉันแล้ว ทั้งที่คิดแบบนั้นแล้วฉันควรจะวางใจ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้กลับรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ไม่อาจเข้าใจได้แทน
‘เงียบเกินไป’
ฉันรู้นิสัยอีเบลลีน่า การที่นางยังเงียบอยู่แบบนี้จะต้องกำลังวางแผนอะไรอยู่ไม่ผิดแน่
‘แต่ว่า… ตอนนี้ฉันจะไม่ยอมถูกยึดไป’
ฉันกอดแขนทั้งสองข้าง ฉันชอบชีวิตตอนนี้ ชีวิตที่แม้ชื่อเสียงจะยังตกต่ำ แต่ฉันก็มีที่ทางของตนเอง มีงานของตนเอง มีคนที่ฉันต้องพบและสามารถฝันใฝ่ถึงวันพรุ่งนี้ได้
ฉันคิดแบบนั้นพลางจ้องมองกระจก
ได้โปรดอย่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
ตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
***
ราธบันเดินบนโถงทางเดินด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
‘อนุญาตง่ายกว่าที่คิด’
จนถึงตอนนี้ นี่เป็นการอนุญาตที่ใช้เวลาเร็วที่สุดในบรรดาหลายครั้งที่เขาไปเพื่อขออนุญาตจากนักบุญหญิงเวลาจะออกไปข้างนอก สมัยก่อนเขาต้องร้องขออยู่หลายวันถึงจะได้รับการอนุญาต แต่วันนี้นางกลับใช้แววตาราวกับถามว่ามาถามเรื่องแบบนี้เพื่อจะออกไปน่ะหรือและอนุญาตอย่างง่ายดายเหลือเกิน แน่นอนว่าราธบันยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของนักบุญหญิงผู้นั้น
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกรำคาญใจในวันที่ต้องพบนางอีกต่อไปแล้ว วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เดินแทรกเหล่านักบวชที่กำลังรอนักบุญหญิงอยู่ เขาก็เกือบจะส่งเสียงเอ่ยเรียกนักบุญหญิงแล้ว ความรู้สึกนั้นของตนทำให้ราธบันตระหนักไว้ว่าตนกำลังรอคอยที่จะได้พบกับนักบุญหญิงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้างงงวยของนักบุญหญิงผู้เอ่ยถามเขาเสียงเบาอยู่ข้างหูว่าวันนี้มีเรียนหรือไม่เพื่อไม่ให้นักบวชคนอื่นได้ยิน ทำให้เขามีความกล้าที่จะจ้องมองกลับไปอย่างน่าประหลาด
พอคิดได้แบบนั้น ราธบันก็ส่ายหน้าอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เขาควรต้องรีบคัดเลือกผู้อาวุโสซึ่งจะมานำพาวิหารหลวงต่อไป
‘ควรจะรีบไปรับท่านนักบวชคาร์ลมาได้แล้ว’
ตามรายงานบอกว่าเขามีอาการเหมือนกับถูกปกคลุมไปด้วยพลังเวทของปีศาจ แม้ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่ดูเหมือนควรจะต้องฝากให้เหล่านักบวชระดับสูงเตรียมการรักษาเขาเอาไว้
ขณะที่เขากำลังกลุ้มใจว่าจะขอร้องนักบวชระดับสูงคนไหนดี ก็เห็นเหล่านักบวชทั่วไปเดินอยู่บนทางเดิน ในมือของพวกนางถือสิ่งของที่จะนำไปยังที่พักของนักบุญหญิง มองผ่านๆ แล้วดูเหมือนจะเป็นผ้าที่ผ่านการซักแล้ว
วินาทีที่ตระหนักถึงมันได้ ราธบันก็หยุดฝีก้าว ที่บ้านของเขาเองก็มีของที่นักบุญหญิงนำมาวางทิ้งไว้เช่นกัน ใบหน้าของราธบันร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงในพริบตา
“อา…”
เสียงร้องที่ดูเหมือนเสียงถอดถอนใจไหลผ่านปากของเขา
ระหว่างที่เขาสะบัดความคิดอย่างรีบเร่งและกำลังจะขยับฝีก้าวอีกครั้ง เหล่านักบวชทั่วไปก็กล่าวทักทายเขาและเดินผ่านไป ตอนนั้นเอง ดวงตาของราธบันก็เป็นประกายขึ้น
“ได้โปรดรอสักครู่”
“คะ? หมายถึงพวกข้าหรือคะ?”
เหล่านักบวชทั่วไปรู้สึกเป็นเกียรติที่ราธบันเอ่ยเรียกพวกตน ขณะเดียวกันก็มีสีหน้าเป็นกังวลว่าพวกตนทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ราธบันมองไปยังเสื้อผ้าที่พวกนางถืออยู่ พอเห็นของที่วางอยู่ด้านบนสุดนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
‘นี่มัน…’
มันคือเสื้อคลุมที่คนผู้หนึ่งซึ่งกวนใจเขาเป็นพิเศษสวมใส่ ขณะที่เขาไปประตูใหญ่ของวิหารเพื่อจับโจรคราวก่อน จะบอกว่านี่เป็นชุดที่ออกมาจากที่พักของนักบุญหญิงอย่างนั้นหรือ?
ราธบันหมุนฝีเท้ากลับ เขาคิดว่าควรจะต้องไปยืนยันกับนักบุญหญิงว่าวันนั้นนางได้ปลอมตัวออกไปด้านนอกหรือไม่ ราธบันปล่อยเหล่านักบวชทั่วไปที่ไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรไว้ด้านหลัง และขณะที่รีบเร่งมาถึงที่พักของนักบุญหญิง เขาก็เห็นองค์ชายรัชทายาทกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้อง
“…”
ขณะที่เขากำลังคิดว่าคนผู้นั้นมาที่นี่ทำไมอีก ประตูเปิดออกและนักบุญหญิงก็ปรากฏกาย ทันใดนั้น องค์ชายรัชทายาทก็กล่าวขึ้นอย่างยินดี
“ลีน่า!”
…ลีน่า? ราธบันไม่เข้าใจว่าองค์ชายรัชทายาทเรียกหาใครไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นชั่วครู่ใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อจนน่ากลัว
ตอนนี้คนผู้นั้นเรียกนักบุญหญิงราวกับนางเป็นเพื่อนของตนเองอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่ราธบันกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อตำหนิความไร้มารยาทนั่น นักบุญหญิงก็พูดกับองค์ชายรัชทายาทด้วยรอยยิ้ม
“เลออน มาแล้วหรือ?”
น้ำเสียงของนักบุญหญิงทำให้ราธบันหยุดฝีเท้าลง น้ำเสียงของนักบุญหญิงที่ต้อนรับองค์ชายรัชทายาทอย่างยินดีเป็นดั่งคมมีดแหลมที่กรีดลงหัวใจของเขา
เป็นเพราะเขายืนเก็บงำซุ่มเสียงอยู่ตรงมุมของทางเดิน ทั้งสองจึงดูเหมือนจะไม่รับรู้การมีอยู่ของเขา เหล่านักบวชด้านข้างเองก็มองภาพที่ทั้งสองคนเรียกกันอย่างสนิทสนมด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ราธบันกลั้นหายใจมองดูนักบุญหญิงและเลออน หลังจากสนทนากันสั้นๆ จบ ทั้งสองคนก็ปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่นักบุญหญิงจับมือขององค์ชายรัชทายาทดึงเข้าไปอีกฟากของประตูที่ปิดอยู่ทิ่มเข้ามาในตาของราธบันแจ่มชัด
“เซอร์ราธบัน?”
หลังจากนั้นสักครู่ เหล่านักบวชที่เดินมาบนทางเดินเห็นราธบันยืนอยู่ไม่ต่างจากรูปปั้นแกะสลักจึงเอ่ยเรียกขึ้น ทว่าราธบันกลับจ้องมองไปยังประตูห้องของนักบุญหญิงราวกับมิได้ยินคำพูดของพวกเขาอยู่อีกสักพัก ก่อนจะหมุนตัวจากไป
***
“ปลาทุกตัวในแม่น้ำมอร์ตัน ในหนึ่งปีจะมีหนึ่งวันที่ตัวเปลี่ยนเป็นสีทอง ในตอนนั้น จะไม่มีชาวประมงคนไหนจับปลาและจะสวดภาวนาหาพระเจ้า ข้าเองก็เคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งปลาตัวเล็กๆ เองก็…”
เลออนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันกำลังเล่าเรื่องให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ส่วนฉันก็กำลังฟังเรื่องที่เขาเล่าอย่างไม่มีสติ
ตอนที่กลับเข้ามาในวิหารหลวงหลังจากแยกกับเขา ฉันก็ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการไปหาเลออนอีกครั้ง เขามาหาฉันทันที และสนทนากันยาวๆ เหมือนที่เคยบอกไว้ในคราวก่อน ทว่ามันกลับไม่ใช่เนื้อหาที่ฉันเตรียมใจเอาไว้
‘นึกว่าเขาจะพูดถึงเรื่องที่เมืองเสียอีก…’
เขาไม่พูดถึงเรื่องที่เจอฉันด้านนอกเลยแม้แต่พยางค์เดียว ราวกับว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น การกระทำแบบนั้นของเขาทำให้ฉันวางใจ อันที่จริงหากเขาเอ่ยถามฉันว่า ‘กริชเล่มนั้นมันคืออะไรกัน ถึงได้ดั้นดนไปซื้อถึงเพียงนั้น’ หรือ *‘ข้าอยากได้คำตอบสำหรับคำพูดที่เอ่ยไปตอนสุดท้าย’*ฉันก็คงจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างยากลำบากมาก
แต่เขาเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงเรื่องที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานที่ตนเคยพบเจอขณะที่ไปท่องเที่ยวหลายๆ ที่ในทวีป ของที่น่าอัศจรรย์และงดงามของโลกที่ห่างไกล ฉันฟังเรื่องเล่าของเขาราวกับถูกล่อลวง เรื่องที่เขาเล่าให้ฟังล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันอยากไปลองมีประสบการณ์ในสักวัน
“พระราชวังของจักรวรรดิเองก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากมีผู้คนพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจึงมีการสร้างประติมากรรมใหม่ๆ ขึ้นตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ประติมากรรมที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละสมัยจะถูกสร้างขึ้นตามอำเภอใจ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมสถาปนิกทั่วทั้งทวีปเลยก็ว่าได้ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ดูรกตา”
เรื่องเล่าของเลออนเปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิ บ้านเกิดของเขาโดยไม่รู้ตัว
“ตลาดกลางของจักรวรรดิเป็นสถานที่ที่รวบรวมสิ่งของต่างๆ จากหลายพื้นที่ในทวีป ที่นั่นใหญ่และซับซ้อนมาก ดังนั้นในทุกวันจึงมีผู้คนที่หลงทางอยู่ในนั้นอยู่บ่อยๆ”
คำพูดนั้นทำให้ฉันหัวเราะและตอบกลับไป
“คงเป็นที่ที่คนเช่นข้าเข้าไปไม่ได้กระมัง หากไปครั้งแรกจะต้องหลงทางแน่นอน”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้เส้นทางในนั้นเป็นอย่างดี จะนำทางให้ท่านเอง”
“อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้น…”
พูดถึงตรงนั้น ฉันก็ปิดปากลงอย่างรวดเร็ว ฉันเกือบจะหลุดเอ่ยคำว่าฝากด้วยนะออกไปโดยไม่รู้ตัว เลออนระบายยิ้มโดยไม่พูดอะไรขณะมองฉันผู้นั้น
“…”
ขณะที่กำลังกังวลว่าควรจะพูดอะไรอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นจากหอคอย เสียงที่ดังขึ้นสามครั้งสั้นๆ ด้วยจังหวะที่ต่างจากจังหวะบอกเวลาทำให้ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปใกล้หน้าต่าง เลออนเองก็มายืนข้างฉันและมองไปด้านนอก
“ดูเหมือนจะมีผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสมาใหม่นะ”
ฉันพยักหน้าสั้นๆ เมื่อได้ยินดังนั้น ตอนนี้ผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสส่วนใหญ่มารวมตัวกันในวิหารหลวงแล้ว
“ว่าไปแล้ว มีหลายคนเลยที่พูดถึงนักบวชที่ชื่อคาร์ลท่านนั้น หากเขามาถึงวิหารหลวง ข้าเองก็อยากพบดูสักครั้ง ได้ยินว่าเป็นคนที่มีความใกล้ชิดลึกซึ้งกับท่านนักบุญหญิงด้วย…”
“อา นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ยังเด็กมาก….”
ฉันพูดอ้อมแอ้มและนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
‘ถามถึงคาร์ลมาฉันก็ไม่รู้หรอก!’
ในความทรงจำของอีเบลลีน่า ไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่นิด เป็นคนที่ฉันไม่รู้กระทั่งว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ขณะที่ฉันยกถ้วยชาขึ้นมาใกล้ปากพลางคิดว่าคงต้องทำให้เลออนไม่ถามถึงนักบวชคาร์ลอีกนั่นเอง
“…!”
เพล้ง!
ถ้วยชาที่หลุดออกจากมือฉันตกลงบนโต๊ะและได้กลายเป็นเศษซากไปแล้ว
***
“เช่นนั้นแล้ว พวกข้าขอตัวก่อนนะคะ”
ทันทีที่เหล่านักบวชทั่วไปสวดบทสวดภาวนาจบและออกจากห้องไป ฉันก็รีบเดินตรงไปหน้ากระจกอีกครั้ง จากนั้นยกปลายชุดนอนขึ้นอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น รอยสามรอยที่สลักอยู่ราวกับตราประทับด้านในต้นขาสีขาวพลันเข้าสู่สายตา
“จะต้องเป็น…”
ฉันพึมพำแบบนั้นพลางใช้นิ้วมือลองกดลงไปบนรอยพวกนั้นดู ย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน ขณะที่เอ่ยพูดถึงคาร์ลอย่างกำกวมพลางยกถ้วยชาขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ทราบที่มาที่ไปพลันแผ่ซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า ระดับความรุนแรงนั่นทำให้ฉันปล่อยถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว
“จะต้องเป็นตรงนี้…”
ฉันจำได้อย่างแม่นยำว่าความรู้สึกนั้นเริ่มขึ้นจากตรงไหน เห็นได้ชัดว่ามันเริ่มจากรอยพวกนี้ ฉันออกแรงกดรอยพวกนั้นเพิ่ม และย้อนนึกถึงคำพูดของแอสรัน
“เขาบอกว่ามันกำลังดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์…”
ขณะที่ได้ยินคำนั้น ฉันก็เกิดความรู้สึกขนลุก เป็นเพราะนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่อีเบลลีน่าค่อยๆ สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์
‘อีกทั้งอีเบลลีน่ายังให้สัญญาว่าจะให้กำเนิดทายาทให้แก่แอสรันโดยขอให้เขาลบรอยนี้ออกไปเป็นค่าตอบแทน…’
การที่มนุษย์ตั้งท้องลูกของปีศาจ เป็นการกระทำที่คนปกติยังไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ทว่าอีเบลลีน่าถึงกับสัญญาสิ่งนั้นแก่แอสรันเพราะอยากลบมันออกไป
‘แต่ว่าจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนี่นา?’
แม้จะเป็นรอยที่ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่สาเหตุที่ฉันไม่ได้ใส่ใจอย่างจริงจังจนถึงตอนนี้เป็นเพราะมันไม่แสดงความผิดปกติอะไรเลย แน่นอนว่าฉันรู้ว่ามันกำลังดูดกลืนพลังไป แต่หลังจากที่แอสรันแสดงให้เห็นตอนนั้น มันก็ไม่เคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษอีกเลย ดังนั้นมันจึงไม่มากไม่น้อยไปกว่ารอยที่มีอยู่บนผิวหนังเฉยๆ
“อึก…”
เสียงร้องครวญครางหลุดออกจากปากขณะที่ฉันกดรอยพวกนั้นขณะนึกย้อนถึงความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อตอนกลางวัน เสียงนั่นทำให้ฉันอุดปากด้วยความตกใจ คราง? ไม่สิ นี่มัน…
หลังจากส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง ฉันก็ย้อนนึกถึงภาพของเลออนที่พาฉันถอยหลังจากเศษถ้วยชาที่ฉันทำแตกอย่างรวดเร็ว หรือพูดให้ชัดคือนึกถึงร่างกายของเขา เสียงหายใจของเขา ในชั่วขณะนั้น ฉันย้อนนึกถึงร่างกายของเขาที่โอบกอดฉันไว้ในห้องที่มืดมิด ร่างกายแข็งแรงและส่วนล่างของเขาที่ปรารถนาในตัวฉันอย่างไม่หยุดยั้ง
“…”
หากเหล่านักบวชไม่เข้ามาจัดการถ้วยชาที่ตกแตก ฉันคงจะตะครุบเลออนไปตรงนั้นแน่แล้ว
พอคิดถึงตรงนั้น ฉันก็กอดร่างตนเองและจ้องรอยที่ขาเขม็ง
“…มันคืออะไรกันแน่”
ความคิดที่ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกทำให้ความไม่สบายใจที่ต่างไปจากเดิมเข้าปกคลุมฉันอีกครั้ง