“เฮ้อ…”
ฉันใช้ฝ่ามือนวดดวงตาที่แห้งแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนฉันกังวลเกี่ยวกับรอยบนขาจนนอนไม่หลับ ภายในหัวถึงได้รู้สึกมึนงง พอกดดวงตาอยู่แบบนั้นสักพัก ฉันก็เบนสายตาไปยังหนังสือที่เปิดทิ้งไว้อีกครั้ง
ต่างจากที่กังวล วันนี้ร่างกายของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ด้วยความไม่มั่นใจ ฉันจึงบอกว่าวันนี้อยากจัดการงานคนเดียว และสั่งไว้ว่าไม่ให้นักบวชคนอื่นเข้ามาในห้องหนังสือ ฉันรีบจัดการเอกสารที่ส่งมาและตรวจค้นโต๊ะหนังสือด้านในห้องหนังสือ ด้วยจิตใจที่คิดว่าบางทีอาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับรอยพวกนี้อยู่บ้าง
แต่ฉันก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ ผิดกับที่คาดหวังไว้
‘เป็นไปไม่ได้…’
อีเบลลีน่าถึงกับทำข้อแลกเปลี่ยนกับแอสรันเพื่อลบรอยพวกนี้ออก นางจะต้องสืบค้นไปมากมายเพื่อลบรอยพวกนี้เป็นแน่ แต่ว่าก็ไม่พบคำตอบจึงได้ไหว้วานแอสรัน
แต่สุดท้ายฉันกลับไม่พบหนังสือที่เกี่ยวข้องเลยสักเล่ม และสิ่งที่สะดุดตาหลังจากที่ฉันกวาดตามองไปทั่วห้องหนังสือคือหนังสือเกี่ยวกับปีศาจ
‘จะมีเรื่องเกี่ยวกับแอสรันด้วยไหมนะ?’
ฉันพลิกเปิดหน้าหนังสือก่อนจะพบกับส่วนที่กล่าวถึงรูปแบบการดำรงชีวิตของปีศาจ รูปลักษณ์ของปีศาจที่น่าขยะแขยงถูกวาดเอาไว้และด้านล่างมีตัวหนังสือถูกเขียนไว้จนเต็มเอี๊ยด ฉันอ่านตามก่อนจะพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พวกปีศาจหวงแหนลูกของตนมากกว่าสิ่งใด…”
ฉันอ่านเนื้อหาส่วนนั้นอย่างละเอียดมากขึ้น
“ลูกสำหรับปีศาจ ไม่ใช่ทายาทเหมือนที่เหล่ามนุษย์คิด แต่เป็นเหมือนตัวเราเองอีกคน…”
ฉันย้อนนึกถึงแอสรันที่โอบกอดฉันอย่างบ้าคลั่งในวันที่ได้พบกันครั้งแรก แม้ฉันจะเอ่ยขอร้องแทบจะอ้อนวอนขอชีวิต แต่เขาก็ยังไม่หยุดและขยับกายไม่ยั้ง ทั้งยังปลดปล่อยน้ำพันธุ์ของเขาในตัวฉันจนนับไม่ถ้วน ย้อนนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นแล้วฉันก็วางมือลงบนหน้าท้องของตน ตอนนั้นฉันร้องไห้เพราะหวาดกลัวว่าท้องจะแตกออกมาเพราะน้ำกามของเขาจริงๆ
‘ตั้งครรภ์…หรือ’
สิ่งที่ทำให้ฉันยังไม่กังวลถึงเรื่องนั้นจนถึงตอนนี้เป็นเพราะคำพูดของแอสรัน
“ต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะตั้งท้องลูกของข้าและคลอดออกมา แน่นอนว่ามันลำบากตั้งแต่การตั้งท้อง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล”
ดูเหมือนว่าฉันจะวางใจเพราะคำว่าอีกหลายปีนั่น หากเขาบอกว่าการตั้งครรภ์มันยากลำบากมาก และยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการให้กำเนิด เพราะฉะนั้นอย่างน้อยขณะที่ฉันอยู่ในวิหารแห่งนี้ก็น่าจะไม่มีเรื่องให้ถูกจับได้
ในตอนนั้นเอง เสียงระฆังจากหอคอยก็ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงระฆังบอกเวลา แต่เป็นเสียงระฆังที่แจ้งว่าผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสคนสุดท้ายได้เข้ามาในวิหารหลวงแล้ว
“มาถึงแล้ว”
ผู้เข้าคัดเลือกที่ยังมาไม่ถึงเหลือเพียงนักบวชคาร์ลเท่านั้น บางทีราธบันที่ไปรับเขามาก็คงมาถึงด้วยเช่นกัน ขณะที่คิดเช่นนั้นและกำลังจะลุกขึ้น
“อ๊ะ…!”
ร่างกายของฉันล้มลงกับไปพื้นพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับใต้ฝ่าเท้าทรุดฮวบลงไปอย่างกะทันหัน
“ฮึก… อึก…”
ความรู้สึกวิงเวียนจนหายใจลำบากแผ่ซ่านลงมาจากกระหม่อม รู้สึกได้ว่าทั้งร่างกำลังสั่นระริก ฉันรีบอุดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับยังคงได้ยินเสียงครางกระเส่าที่ไม่อาจเก็บซ่อนทะลุผ่านฝ่ามือ ในระหว่างนั้นเองก็สัมผัสได้ว่าท้องน้อยกำลังบีบรัดตัว รวมถึงความร้อนที่ก่อตัวขึ้นตรงหว่างขา
“ทำไม…จู่ๆ ถึงได้…”
ภายในสมองเริ่มร้อนรุ่ม ฉันไม่สามารถคิดอย่างเยือกเย็นได้ สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงดิ้นรนข่มความปรารถนาที่แผ่ซ่านมาจากส่วนล่างพร้อมทั้งอุดปากอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางสายตาที่พร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ฉันจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
‘วันนี้’
คืนนี้แอสรันจะมา แม้ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงยามค่ำ แต่แค่ต้องอดทนอีกสักหน่อย
‘ถ้าเขามาจะต้อง…’
นึกย้อนถึงเหตุการณ์กับแอสรันคราวก่อน เขาถอดเสื้อของฉันและดันส่วนนั้นของเขาเข้ามาโดยไม่ให้โอกาสฉันได้พูดอะไรเลย การร่วมเพศที่รุนแรงไม่ต่างจากการผสมพันธุ์ของสัตว์เดรัจฉานที่เกิดขึ้นในพริบตา วันนี้ที่เขาจะกลับมาหาในรอบสัปดาห์จะต้องทำเหมือนคราวที่แล้วแน่
ขณะที่คิดแบบนั้น หว่างขาพลันมีของเหลวบางอย่างไหลออกมาเป็นสาย เพียงแค่คิดถึงการร่วมรักกับแอสรัน ร่างกายก็ร้อนรุ่นจนทนไม่ได้ ฉันไม่รู้สึกถึงความละอายใจเลย ได้แต่คิดเพียงว่าอยากให้แอสรันรีบมาและร่วมรักกันแบบคราวที่แล้วเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง
ก๊อก ก๊อก
เสียงด้านนอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู
“ท่านนักบุญหญิง ราธบันขอรับ”
ราวกับว่าเขาวิ่งมาอย่างเร่งรีบ เสียงของราธบันที่ดังขึ้นดูเหนื่อยหอบเล็กน้อย
“…!”
ฉันอุดริมฝีปากอย่างสุดแรงเมื่อได้ยินเสียงของเขา
‘ทำไม…ทำไมราธบันถึง’
ฉันเพิ่งเห็นกลุ่มคณะของนักบวชคาร์ลเข้ามาในวิหารหลวงเมื่อครู่ก่อน ฉันจึงนึกว่าราธบันจะอยู่กับพวกเขา แต่ฟังจากเสียงแล้วดูอย่างไรก็เหมือนเขารีบมาที่นี่คนเดียว
‘ทำยังไงดี?’
ระหว่างที่คิดแบบนั้นภายในหัวก็ยังวิงเวียน ฉันไม่ได้ตอบกลับและกำลังชั่งใจ เสียงราธบันเอ่ยเรียกฉันดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านนักบุญหญิง?”
พอไม่ได้รับคำตอบ ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงของราธบันดังขึ้นอีกเล็กน้อย หากปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่นานราธบันจะต้องเปิดประตูและเข้ามาด้านในแน่ ด้วยเหตุนั้นฉันจึงตอบไปอย่างอ่อนแรง
“มี…มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ จากนั้นคำตอบของราธบันก็ดังขึ้น
“ข้ารับท่านนักบวชคาร์ลมาแล้วขอรับ ข้าเข้าไปพูดด้านในได้หรือไม่?”
“มะ ไม่ได้!”
เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะเข้ามาฉันจึงตะโกนเสียงดังออกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ ถ้าราธบันเข้ามาตอนนี้ล่ะก็…
ขณะที่คิดได้ถึงตรงนั้น ท้องน้อยก็พลันบีบรัดอีกครั้ง
“ฮึ…อึก…”
สันกรามสั่นระริกพร้อมกับเสียงครางที่หลุดออกมา บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงนั้น
“ท่านนักบุญหญิง?”
ฉันได้ยินเสียงขึ้นราธบันดังขึ้นอย่างมึนงงและเสียงนั้นทำให้ความร้อนที่แผ่ซ่านอยู่ในตัวฉันตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเปลวเพลิงลุกโชน ผิวหนังที่ชายเสื้อเสียดสีกำลังร้อนรุ่มขึ้น ทั่วทั้งร่างอ่อนไหวจนรับรู้ได้แม้กระทั่งเศษฝุ่นที่ร่วงหล่นลงมา การหายใจของฉันกระชั้นถี่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
‘ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้’
ฉันรู้ว่าร่างกายของฉันกำลังต้องการอะไร ไม่มีทางที่จะไม่รู้ ร่างกายของฉันบิดตัวไปมาในทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของราธบัน ร่างของฉันกำลังต้องการเขา
ฉันอยากเรียกให้เขาเข้ามาเดี๋ยวนี้ จิตใต้สำนึกที่ใกล้จะสูญสลายกำลังกู่ร้องภายในหัว รีบไปพาชายผู้นั้นเข้ามาเสีย แล้วก็โอบกอดกันเสียให้เต็มที่ ต้องทำแบบนั้นความเจ็บปวดจึงจะสงบลง
กริ๊ก
เสียงเปิดประตูทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
“เซอร์…ราธบัน?”
แม้ปากจะบอกไม่ให้เข้ามา แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ภายในปากแห้งผาก ฉันพูดตะกุกตะกักอย่างอ่อนแรง และขณะที่กำลังจะขยับตัวที่ทรุดลงอยู่บนพื้น ราธบันก็ทำท่าจะเดินเข้ามาประคองฉันอย่างรวดเร็ว
“อย่าเข้ามา!”
ขณะที่เขาเข้ามาจนห่างแค่ไม่กี่ฝีก้าว ฉันก็รีบโบกมือและถอยห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของเขาทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมสดชื่นที่ผสมผสานระหว่างกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่มีอยู่ตามเตียงนอนในบ้านและกลิ่นกายของเขา ทว่าตอนนี้ยังมีกลิ่นเหงื่อจางๆ ควบคู่กับกลิ่นม้าและลมผสมอยู่ด้วย
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นภาพของเขาที่ดูต่างจากปกติ เส้นผมที่มักจะเรียบร้อยอยู่เสมอมีร่องรอยคล้ายฝ่าลมมา ชุดเครื่องแบบเองก็เช่นกัน รอยยับที่มีอยู่ทั่วชุดเข้ามาในสายตา
แม้จะฟุ้งซ่านแต่ฉันก็ยังรู้ได้ว่าเขาขี่ม้าอย่างรีบเร่งมาที่นี่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าขอรับ”
บางทีอาจเพราะเขาตระหนักได้ถึงสภาพที่ผิดปกติของฉัน เขาจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่เป็น…ไร ก่อนอื่นเจ้าออก…”
“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่อยากถามขอรับ”
เขาพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่จะฉันจะพูดจบ
“มะ แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่คราวหน้าค่อย…”
“ไม่ขอรับ ช่วยตอบข้าตอนนี้ด้วย”
หลังจากพูดแบบนั้น ราธบันก็ก้าวเข้ามาหาฉันหนึ่งก้าว ท่าทีของเขาที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฉันถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ แต่แผ่นหลังกลับสัมผัสเข้ากับกระจก ราธบันก้าวฉับๆ เข้ามาหาฉันที่ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่มีที่ให้หลบหนีแล้วอีกครั้ง
‘ใกล้…เกินไปแล้ว…’
เขาจะถามอะไรกันแน่ถึงได้เดินเข้ามาอย่างดื้อดึงแบบนี้ ใบหน้าของเขามาอยู่ตรงหน้าฉันโดยไม่รู้ตัว การเข้ามาใกล้ขนาดนี้เป็นเรื่องผิดมารยาท ฉันจึงคิดว่าเขาจะถอยออกไป แต่อย่าว่าแต่ถอยออกไปเลย เขาถึงกับค้อมตัวลงมาด้วยซ้ำ ทำให้ใบหน้าของราธบันยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ภายในห้องหนังสือที่มืดสลัวมีเพียงเสียงหายใจของเขาและฉันเท่านั้น ทันใดนั้นเขาพูดขึ้นในระยะห่างที่แทบจะสัมผัสกันได้
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านกับองค์ชายรัชทายาทหรือ”
“…!”
เป็นการพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจมากกว่าจะเรียกว่าคำถาม ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่าฉันไปเที่ยวเล่นกับเลออนมา ทว่าราธบันกลับถามขึ้นคล้ายจะบอกว่าเขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าได้โกหก
ฉันจ้องมองด้วยแววตาตกใจเมื่อได้ยินคำถามของเขา นัยน์ตาสีดำที่สงบนิ่งจนไม่รู้ความลึกสะท้อนเงาของฉัน
“ทำไมคนผู้นั้น…ชื่อของท่าน…แบบนั้น…”
เสียงบ่นพึมพำจนดูคล้ายเสียงถอดถอนใจดังออกมาจากปากของราธบัน ลมหายใจที่สั่นเทาของเขาอัดแน่นไปด้วยความโกรธรุนแรง ฉันจ้องมองเขาโดยไม่อาจพูดอะไรได้เลย แปลก ฉันกลับคิดว่าขนตายาวของเขาที่กำลังสั่นระริกมันช่างน่ารักเสียจริง ไหล่กว้างนั่นก็ด้วย ทั้งยังร่างกายที่แข็งแรงนั่นอีก ฉันอยากจะลองสัมผัสมันทั้งหมด
ฉันมั่นใจว่าหากตอนนี้ฉันสัมผัสราธบันที่อยู่ตรงหน้าและดึงเข้ามากอด มันจะต้องช่วยให้ความร้อนรุ่มที่ทำให้ฉันทุกข์ระทมสงบลงได้แน่ ดังนั้นฉันจึงยื่นมือออกไปโดยไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าราธบันถามอะไร และขณะที่สายตาประสานกันอีกครั้ง
“…!”
ลมหายใจของเขาตกลงบนริมฝีปาก ฉันเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา ฉันจ้องมองท่าทางนั้นของเขาและรู้สึกเพลิดเพลินกับสัมผัสนุ่มนวลนั่น ฉันเคยนึกสงสัยว่าริมฝีปากของเขาจะแข็งเหมือนร่างกายของเขาหรือไม่ แต่สัมผัสที่แนบมาบนริมฝีปากกลับอบอุ่นและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ
“อือ…”
ฉันถูไถอย่างออดอ้อนบนริมฝีปากที่ปิดแน่นราวกับเซ้าซี้ ตอนนี้ในหัวของฉันไม่เหลือความคิดอะไรแล้วนอกจากสิ่งนี้
‘ฉันต้องการเขา’
ฉันต้องมีเขา หรือพูดให้ถูกคือฉันต้องมีอะไรกับเขา แบบนั้นแล้วไฟที่สุมอยู่ในตัวฉันจึงจะสงบลงได้ ระหว่างนั้นเองร่างกายก็เริ่มเจ็บปวดมากขึ้น บริเวณที่สัมผัสกับร่างกายของราธบัน ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นสบายที่ชวนให้รู้สึกดี ฉันยื่นมือออกไปดึงคอของเขา เส้นผมสั้นที่ชื้นเหงื่อยุบยิบอยู่ที่ปลายนิ้ว
ฉันรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายของเขาและแนบชิดร่างกายเข้าไปมากขึ้น รู้สึกได้ถึงร่างกายแข็งแรงใต้ชุดเครื่องแบบบาง ฉันใช้มือคลำเหนืออกของเขา การกระทำของฉันทำให้ราธบันที่ยืนอยู่ดั่งภูเขาถอยหลังออกไปช้าๆ ขาของราธบันที่ถอยออกไปชนเข้ากับปลายโซฟา
“…!”
ร่างกายของฉันและเขาล้มลงบนโซฟาพร้อมกัน ทั้งที่ล้มลงแบบนั้นแต่แขนของราธบันก็ยังคว้าฉันเอาไว้ ต้องขอบคุณเรื่องนั้นที่ทำให้ฉันไม่ร่วงลงไปด้านข้าง
พอเงยหน้าขึ้นก็ประสานเข้ากับสายตาของราธบันที่กำลังมองมา อาการวิงเวียนชั่วครู่หายไป ฉันก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังคร่อมอยู่บนร่างของราธบัน สติค่อยๆ พร่ามัวอีกครั้ง ฉันไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉันคิดแค่ว่าฉันควรจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันคลำอกกว้างของเขาขึ้นไป จากนั้นก็รั้งคอของเขาเข้ามากอดอีกครั้ง
ฉันถูไถหน้าอกอย่างนุ่มนวลบนชุดเครื่องแบบของเขา
“อึก…”
เสียงครางหลุดออกมาจากปากของราธบัน การตอบสนองที่เขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรกทำให้ฉันแนบชิดเขามากกว่าเดิม ฉันบดเบียดร่างกายเข้าหาอีกฝ่ายและโอบกอดเขาไว้ ฉันต้องการกระตุ้นปฏิกิริยาของเขาให้มากขึ้น อกอิ่มของฉันถูไถบนอกของเขาอย่างนุ่มนวล
ฉันรู้สึกได้ว่ายอดอกกำลังตั้งชันขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของราธบันใต้ร่มผ้า ส่วนยอดที่อ่อนไหวลากผ่านบนอกของเขาอีกครั้ง
“…!”
บางทีอาจเพราะตระหนักถึงมันได้ ความตกใจเงียบๆ จึงแวบผ่านหน้าของราธบัน เมื่อเห็นใบหน้าที่แข็งกระด้างราวกับไม่อยากเชื่อในสถานการณ์ทั้งหมดนี้ของเขา ฉันจึงก้มมองด้านล่าง แม้ตอนนี้ร่างของเขากับฉันจะแนบชิดกันจนไม่มีช่องว่างราวกับเป็นของที่ถูกสร้างมาให้ตรงกันตั้งแต่แรก แต่ฉันก็ยังไม่พอใจ
‘อยากถอดออก’
เสื้อผ้าที่กั้นขวางระหว่างเขากับฉันมันช่างเกะกะ ฉันอยากสัมผัสกับร่างกายแข็งแกร่งนั่นโดยไม่มีของพวกนี้ ขณะที่จินตนาการถึงร่างกายของอีกคนที่ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง ฉันก็สัมผัสได้ว่าหว่างขามีอะไรกำลังไหลออกมาเป็นทาง ตอนนี้ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
มือที่เคยโอบรอบคอเขา ตอนนี้กำลังลูบไล้ลงมาที่เอว ฉันสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อที่แข็งแรงและได้ดูแลอย่างดีกำลังแข็งเกร็งด้วยความประหม่า ขณะที่เรียวมือเลื่อนลงไปสัมผัสกับหัวเข็มขัดกางเกงที่เย็นเฉียบ เขาก็ขยับตัวลุกพรวด
มือของราธบันจับเข้าที่ไหล่ของฉันคล้ายจะผลักออก
“ได้โปรด…!”
น้ำเสียงขาดๆ หายๆ แทรกผ่านออกมาจากปากของเขา ฉันหลับตาลง สถานการณ์ตอนนี้มันจะน่างงงันและน่าอับอายสำหรับเขาแค่ไหนกัน จู่ๆ ก็ถูกจูบในห้องหนังสือของนักบุญหญิงที่เข้ามาเพื่อมารายงาน แถมตอนนี้ยังถูกหยอกเย้าร่างกายอีก
หากเป็นชายคนอื่นอาจจะชอบสถานการณ์แบบนี้ แต่ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับราธบัน
‘แต่ว่า…ฉันจำเป็นต้องมีเขา’
ต้องทำอย่างไรราธบันถึงจะยอมอยู่เฉยๆ ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะรับฉันเข้าไป ต้องทำอย่างไรถึงจะยั่วยวนอัศวินผู้ซื่อสัตย์ได้ ในหัวของฉันคิดถึงแต่เพียงเรื่องพวกนั้น
ถ้าก่อนหน้านี้ดูวิธียั่วยวนผู้ชายในความทรงจำของอีเบลลีน่าไว้ก็คงจะดี ฉันไม่รู้วิธีนำชายที่ต้องการมาอยู่ในมือเลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงเบียดร่างเข้าไปเท่านั้น
ฉันดึงแขนของราธบันที่จับไหล่ฉันเข้ามากอด
“ราธบัน ได้โปรด”
“…”
ราธบันไม่ตอบ จากนั้นฉันก็เบนสายตา ในกระจกซอกมุมหนึ่งของห้องสะท้อนเงาฉันที่กำลังดึงเสื้อผ้าลงโดยที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวของราธบัน ฉันในกระจกกำลังยิ้ม ไม่สิ อีเบลลีน่ากำลังยิ้ม
เสมือนว่าคิดไว้แล้วว่าฉันจะกลายเป็นแบบนี้
“…!”
ชั่วขณะ ฉันได้สติกลับมาราวกับโดนน้ำเย็นสาด
“ข้า…”
ฉันมองหน้าราธบันด้วยแววตาสั่นเทา เขาจ้องมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่ยังคงสับสนวุ่นวาย
“ข้า ข้า…”
สีหน้านั้นของราธบันทำให้ฉันอึกอักและหาคำพูดแก้ตัว ทว่าไม่มีคำใดที่สามารถพูดออกมาได้เลย ฉันขยับตัวทันที
“ท่านนักบุญหญิง!”
แม้จะได้ยินเสียงราธบันเอ่ยเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง แต่ก็หันกลับไปมองไม่ได้ ความละอายใจและความรู้สึกรังเกียจที่ไม่อาจทนได้โอบล้อมรอบตัวฉัน ฉันวิ่งหนีออกมานอกห้องหนังสือโดยทิ้งราธบันไว้ด้านหลังแบบนั้น