ส่วนที่ 1 ตอนที่ 1-1 เปลี่ยนภพชาติ

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

นางจำไม่ได้ว่าตนเองตายอย่างไร 

 

ถูกประหารตัดศีรษะกลางท้องถนนหรือว่าป่วยตายบนเตียงกันแน่…นางถึงกับนึกไม่ออก 

 

ยมทูตสี่ตนดึงโซ่เหล็กที่ผูกมัดร่างกายนางไว้ นางถูกทั้งสี่ลากลอยไปข้างหน้าอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้  

 

ใต้ผืนนภาชั้นล่างสุด ภูตไฟนับไม่ถ้วนล่องลอยไปมา บางครั้งยังตกลงบนบุปผาม่านจูซาหวาสองข้างทาง พริบตาก็เกิดลูกไฟสีเขียวสูงราวครึ่งร่างมนุษย์ เพลิงมรกต บุปผาแดง ยั่วยวนล่อหลอกยิ่ง  

 

สองข้างทางยังมีทางแยกนับไม่ถ้วน คนตายใหม่ในชุดขาวเช่นเดียวกับนางมากมาย ถูกบรรดายมทูตดึงให้ลอยไปข้างหน้า บ้างก็ร่ำไห้ บ้างก็หัวเราะ ยังมีบางคนพึมพำอะไรสักอย่างกับตนเอง ไม่ว่าจะเจ็บปวดเสียใจกับการตายของตนสักเพียงใด ก็ย่อมถูกบรรยากาศวังเวงเงียบเหงาแห่งความตายทำลายสิ้น 

 

สุดท้าย ได้แต่ไปตามกระบวนการอย่างเงียบงันไร้สำเนียง มุ่งไปข้างหน้าต่อๆ กันไป ผ่านประตูเมืองบานใหญ่ที่ไกลออกไปบานนั้น 

 

ยมทูตที่นำอยู่หน้านางหยุดลง กำลังรอเข้าประตู 

 

นางเงยหน้ามองรอบๆ อย่างเกียจคร้าน มองท้องฟ้าสีหม่น ภูตไฟร่อนไปทั่ว มองบุปผาม่านจูซาหวาสีแดงราวโลหิต รูปร่างราวกรงเล็บมังกร เปี่ยมมนตร์เสน่ห์ หากยังแผ่รังสีน่ากลัวอยู่สายหนึ่ง 

 

ขณะกำลังมองเหม่อตกในภวังค์นั่นเอง พลันได้ยินเสียงยมทูตด้านหลังกล่าวว่า “นี่ไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไร วิญญาณใหม่หลายตนโวยวายมาก ไม่สู้ป้อนน้ำลืมภพชาติให้พวกเขาดื่มสักหน่อยดีกว่า อย่างไรเสียตอนไปเกิดใหม่ก็ต้องดื่มอยู่ดี” 

 

น้ำลืมภพชาติ? นางหันไปมอง เห็นยมทูตตนหนึ่งคว้าเอาไหสุราสีดำมันวาวออกมาจากอกเสื้อเดินไปราดใส่ดอกไม้แดงข้างทาง ดังคาด เผยเป็นสายน้ำใสกระจ่างสายหนึ่ง 

 

นางบอกไม่ถูกว่าสายน้ำนั้นเป็นสีอะไร รู้เพียงแต่ว่าระยิบระยับแวววาวเหมือนมีอะไรไม่รู้หลายอย่างผสมอยู่ 

 

ยมทูตตักมาหนึ่งไห เดินไปอ้าปากวิญญาณใหม่ตนหนึ่ง ไม่สนใจเสียงร่ำไห้โหยหวนของเขา บังคับกรอกลงไป วิญญาณตนนั้นร่ำไห้โหยหวนเสียงดัง จากนั้นก็ค่อยๆ นิ่งไม่ขยับ สีหน้ามึนงงราวกับทารกน้อยแรกเกิด 

 

กรอกให้วิญญาณเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเสียงร่ำไห้ก็ค่อยๆ เงียบลง นางเห็นขวดสุรายังมีน้ำเหลืออยู่บ้าง อดยื่นมือไปไม่ได้  

 

“ให้ข้าดูหน่อย” นางกล่าว  

 

ยมทูตผู้นั้นกวาดตามองนางจากบนลงล่าง ยิ้มเย็นเยียบกล่าวว่า “บังอาจ กล้าสั่งข้า เจ้าลองพูดอีกทีสิ” 

 

นางยังคงยื่นมือไป “ให้ข้าดูหน่อย”  

 

ยมทูตไม่กล่าวอะไรอีก หากยกไม้กระบองในมือขึ้นเตรียมฟาด ก็ถูกบรรดายมทูตที่คุมตัวนางมาแตกตื่นตกใจร้องห้าม  

 

“หยุด!เจ้ารู้ไหมนางคือผู้ใด?! ห้ามลงมือ!” 

 

ยมทูตตนนั้นยังคงไม่ยอม แค่นหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ข้าก็อยากรู้ว่านางคือผู้ใด! หากเป็นเทพสูงศักดิ์องค์ใด จะใช้โซ่วิญญาณจองจำมาได้อย่างไร?” 

 

ยมทูตสองสามคนที่เหลือข้างๆ รีบลากเขาไปอีกทาง กระซิบว่า “เพียงเพราะวิธีการที่นางตายไม่ปกติ ไม่เช่นนั้นผู้ใดกล้าจองจำ? อีกอย่างปัญญานางยังไม่เปิด ไม่เช่นนั้นยามนี้ คงได้ทำลายจิตวิญญาณเจ้าวอดวาย มหาเทพโฮ่วถู่ยังต้องเกรงนางอยู่สามส่วน นับประสาอันใดกับเจ้า?” 

 

ยมทูตผู้นั้นตกใจยิ่ง หันไปมองนางอย่างละเอียดอีกครา รู้สึกเพียงแค่นางท่าทางงดงาม แต่เหมือนจิตวิญญาณลอยล่อง มีเพียงกลิ่นอายดุร้ายที่ปรากฏวับแวมตรงหว่างคิ้ว น่าแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ  

 

เห็นนางยังคงยื่นมือมาถามถึงไหสุราในมือตน เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ส่งให้นางไปแต่โดยดี  

 

นางดึงฝาปิดทิ้ง ล้วงมือลงไปค้นหาอย่างเร่งร้อน ล้วงขึ้นมามีแต่เศษชิ้น ล้วนเป็นความทรงจำในชีวิตชาติก่อนของผู้อื่น  

 

ล้วงลงไปอีก เป็นความทรงจำของมารร้าย สังหารปล้นชิง ไม่มีความชั่วใดไม่กระทำ สุดท้ายถูกประหารตัดศีรษะกลางท้องถนนต่อหน้าผู้คน 

 

ล้วงต่อไปอีก เป็นนางกำนัลในวังผู้เหงาเศร้านางหนึ่ง เงียบเหงาหน้าบุปผาแดงเต็มต้น สิ้นชีวิตอย่างระทม  

 

ล้วงติดๆ กันไปหลายรอบ กลับไม่รู้สึกยินดี ไม่ใช่ป่วยตายก็โดดเดี่ยวเดียวดายจนสิ้นชีวิต  

 

นางรู้สึกเพียงว่าภาพเหล่านี้คุ้นเคย แต่ก็เหมือนไม่คุ้นเคย นางอยากรู้ ตนเองตายอย่างไร ตนเองตอนยังมีชีวิตก่อนหน้านี้ทำอันใด ไม่รู้เหตุใด อย่างไรก็คิดไม่ออก  

 

บรรดายมทูตเห็นนางเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ในใจก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ มนุษย์ผู้นี้สติปัญญาเฉลียวฉลาด กระทำการตามอำเภอใจ หากในยามนี้ถูกนางมองทะลุปรุโปร่งขึ้นมาคงยากรับมือ ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “แม่นาง รีบเข้าประตู ไม่สู้เข้าไปรอด้านใน แล้วผู้พิพากษาตัดสินบันทึกเป็นตายเสร็จก่อนค่อยว่ากันดีไหม?” 

 

นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย คืนไหสุราให้ยมทูตผู้นั้น ยมทูตสี่ตนนำนางลอยออกไป พริบตาก็มาถึงหน้าประตูเมืองสูงใหญ่งดงามอลังการ 

 

มีเทพประหลาดสูงใหญ่ดำทะมึนสองตนเฝ้าประตูอยู่ พอเห็นพวกเขาก็รั้งไว้ 

 

“เอาป้ายมา” 

 

ยมทูตยิ้มแห้ง ก่อนจะล้วงป้ายสีแดงชาดออกมา ด้านบนเขียนชื่อนางและเรื่องสำคัญในห้วงชีวิต เทพประหลาดกวาดตามอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มองนางละเอียดอีกรอบ นางกลับไม่รู้แม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าเล่นกับเสื้อผ้าตนเองไป  

 

“ปัญญายังไม่เปิดหรือ? เหตุใดจึงจองจำนางมา?” เทพประหลาดกระซิบถาม  

 

ยมทูตส่ายหน้า เทพประหลาดนิ่งไปครู่หนึ่ง มองนางเหมือนว่ายังคงมีความยำเกรงนางอยู่ ถอยออกข้างทาง พลางกล่าวว่า “เชิญเข้า” 

 

บรรดายมทูตยกโซ่วิญญาณหนักอึ้งลากนางเข้าไป เห็นในเมืองเป็นหออาคารเรียงรายเต็มไปหมด ไม่ต่างจากบนโลกมนุษย์ เพียงแต่ประชาชนก็คือยมทูต บางทีก็มีผีชรามาค่อยช่วยเป็นลูกมือร้านน้ำชา ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ได้ไปเกิดใหม่  

 

นางรู้สึกเพียงแค่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่ มองซ้ายมองขวา ลืมเรื่องน้ำลืมภพชาติไปเสียสิ้น 

 

นางถูกความงามของอาคารเบื้องหน้าดึงดูด กระเบื้องเขียวเป็นชั้นๆ ของอาคารราวกับเฟิ่งหวงสยายปีก แผ่ปีกขึ้นฟ้า ด้านบนตกแต่งลายเมฆมงคล สีสันประณีตงดงาม แต่ละชั้นสลับซับซ้อน เป็นภาพแปลกตาที่หาดูไม่ได้บนโลกมนุษย์ 

 

“แม่นางเชิญเข้ามา” บรรดายมทูตเชิญนางเข้าไปด้วยท่าทีนอบน้อม มีสองตนปลดโซ่ที่เอวนางออกก่อนวิ่งเข้าประตูกลางไปรายงานผู้พิพากษาก่อน ทิ้งอีกสองคนไว้เฝ้านางที่รออยู่ในโถงกลางใหญ่  

 

ผีน้อยหน้าเขียวมีเขี้ยวลนลานยกน้ำชาออกมา นางเห็นเนื้องอกยาวแปลกประหลาดบนศีรษะของผีน้อย จึงอดยื่นมือไปลูบไม่ได้ ผีน้อยตกใจสีหน้าซีดเผือด แผดเสียงร้องไห้ดังกลางโถง ส่งเสียงร้องติดๆ กันว่า “ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย!” 

 

ยมทูตรีบตวาดไล่ผีน้อยออกไป ฝืนยิ้มกล่าวว่า “แม่นางอย่าได้ตำหนิ เขาเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ ยังไม่รู้ความ ไว้ชีวิตเขาสักครั้ง” 

 

นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเนื้องอกบนศีรษะเขาน่าสนุก ลูบไม่ได้หรือ?” 

 

ยมทูตได้แต่ยิ้มเฝื่อน ในใจคิดว่าเจ้าเป็นดังดาวพิฆาตบรรดาผีทั้งหลาย ผู้ใดกล้ายอมให้เจ้าลูบศีรษะเล่า? 

 

ยามนั้นพลันเงียบลง กล่าวถึงยมทูตสองตนที่เข้าไปรายงาน ส่งมอบป้ายสีแดงชาดให้แก่ผู้พิพากษา ผู้พิพากษาเคราหนาเงียบไปนาน ไม่รู้จะทำเช่นไรดี 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงได้ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จองจำนางมาเช่นไร?” 

 

ยมทูตกล่าวว่า “นางเป็นมนุษย์ หลังตายแล้วก็ย่อมจองจำวิญญาณมา” 

 

“เจ้าโง่” ผู้พิพากษาขมวดคิ้ว “ผู้ใดถามเจ้าเรื่องนี้! ข้าไม่รู้ว่านางจุติลงไปเป็นมนุษย์หรือ?” 

 

ยมทูตรีบยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าปรีชา ข้าน้อยเลอะเลือนแล้ว ตามหลักไม่ควรใช้โซ่วิญญาณจองจำนาง แต่นางปลิดชีพตนเองในโลกมนุษย์ หากไม่จองจำก็ย่อมผิดกฎ ดีที่ปัญญานางยังไม่เปิด ยังมึนงงไม่เข้าใจ และยังถูกนำมาแดนนรกนี้อย่างว่าง่าย ขอเรียนถามใต้เท้า ยามนี้ควรให้นางเปลี่ยนภพอย่างไร?” 

 

ผู้พิพากษาลูบเครา นิ่งคิดอยู่นาน จึงกล่าวว่า “ปลิดชีพตนเอง…ดูแล้วนางยังมิได้บำเพ็ญเพียรสัมฤทธิ์ กระแสดุร้ายไร้เมตตายังหนักหน่วงอยู่มาก ยังต้องกล่อมเกลาอีก ครั้งนี้ยังคงใช้แนวทางเดิม เพิ่มความทุกข์ทรมานลงไปอีก จนกระทั่งนางบรรลุปัญญา หากยังไร้ปัญญาตื่นรู้ ปลิดชีพตนเองอีก…เจ้านำคำพูดข้าไป ครั้งหน้านางตกมายังแดนนรกอีก ก็แล้วแต่นาง ทำลายตนเองด้วยตนเองก็แล้วกัน!” 

 

ยมทูตผู้นั้นรับคำสั่ง กำลังจะออกไปแจ้งต่อ กลับได้ยินเสียงหนึ่งจากม่านด้านหลังผู้พิพากษา “ช้าก่อน” 

 

ยมทูตกับผู้พิพากษารีบหันกลับไปก้มกายคำนับกล่าวว่า “คารวะมหาเทพโฮ่วถู่” 

 

น้ำเสียงไม่บุรุษไม่สตรีกล่าวว่า “ข้าได้ไตร่ตรองแล้ว คิดว่าความทุกข์ไม่แน่ว่าจะทำให้ปัญญาตื่นรู้ นิสัยเดิมนางก็ดื้อรั้นแปลกประหลาด หากยังกดดันหนักต่อไป เกรงว่าคงได้แต่ดุร้ายยิ่งขึ้น” 

 

ผู้พิพากษาพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ทราบว่า มหาเทพมีประสงค์เช่นไร?” 

 

โฮ่วถู่หลังม่านกล่าวว่า “หลายชาติภพก่อนล้วนให้นางทนทุกข์ทรมานมากมาย ปรากฏความดุร้ายไม่ได้ลดลง สติปัญญาไม่กระจ่าง เกรงว่าคงไม่ใช่วิธีการดี ไม่สู้ใช้ความสุขหล่อหลอมจิตใจก่อน แล้วค่อยให้เข้าสู่แดนสวรรค์ กลับเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญเพียร น่าจะเป็นวิธีการดี” 

 

ผู้พิพากษาท่าทางลำบากใจ “นางชาตินี้ปลิดชีพตนเอง จะเข้าสู่แดนสวรรค์ เกรงก็แต่ว่า…เส้นทางบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนยากลำบาก ผู้ประสบความสำเร็จน้อยยิ่งนัก ถึงตอนนั้นไม่อาจสำเร็จผล กลับเสียแรงแห่งความปรารถนาดีของมหาเทพ” 

 

โฮ่วถู่เงียบไปนาน ก่อนกล่าวว่า “เจ้าให้นางอยู่ที่แดนนรกนี้ก่อน ทุกวันสอนตำราบำเพ็ญเพียรเป็นเทพเซียนแก่นาง เช่นนี้ผ่านไปสักระยะ ค่อยดูว่าจะส่งนางเข้าสู่แดนใด” 

 

“ข้าน้อย รับบัญชา”