ส่วนที่ 1 ตอนที่ 1-2 เปลี่ยนภพชาติ

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ยมทูตรับราชโองการออกไป เห็นนางอยู่ไม่สุข เดินลูบคลำไปทั่วห้องโถงใหญ่ รู้สึกสนใจใคร่รู้ในทุกสิ่ง อดทอดถอนในใจไม่ได้ หากให้เทพดุร้ายเช่นนี้อยู่แดนนรก วันหน้าพวกเขาคงได้แต่หวาดกลัวแล้ว  

 

เขายิ้ม เดินไปเบื้องหน้านาง กล่าวว่า “ยินดีกับแม่นาง มหาเทพโฮ่วถู่มีประสงค์ให้แม่นางพักอยู่ที่นี่ก่อน ใช้ชีวิตสบายสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยไปเปลี่ยนภพภูมิ” 

 

นางเหมือนเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ มองเขาอย่างตกใจ ยมทูตโอดครวญในใจ ยิ้มกล่าวว่า “ก็คือ…ให้แม่นางอยู่ที่นี่ไปสองสามวันก่อน อ่านตำรา เดินเล่น รอถึงเวลาค่อยส่งแม่นางเปลี่ยนภพ” 

 

นางจึงพยักหน้า ลูบภาพเจ้าแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ที่แขวนอยู่บนผนังกำแพง กล่าวว่า “ข้าชอบที่นี่ อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” 

 

ยมทูตได้แต่พยักหน้า “แม่นางชอบที่นี่ เป็นวาสนาของพวกเรา” 

 

เขาหันกลับไปสั่งการผีน้อยให้ไปปัดกวาดห้องรับแขกชั้นสอง ก่อนหันกลับมากล่าวว่า “แม่นาง ยังมีเรื่องดีอีกเรื่อง มหาเทพสงสารที่เจ้าสติยังไม่ครบ ลืมเลือนเรื่องราวบนโลก จึงประทานชื่อให้เจ้า” 

 

นางงุนงง เหมือนไม่เข้าใจว่าเรื่องใด ยมทูตข้างๆ ดึงนางเบาๆ ให้ก้มกายลง กล่าวว่า “มหาเทพประทานชื่อให้เจ้า ต้องคุกเข่ารับ” 

 

นางกลับไม่คุกเข่า เอาแต่จ้องมองยมทูต เขาทำอันใดไม่ได้ ได้แต่กล่าวว่า “มหาเทพประทานนามท่านว่าเสวียนจี วันหน้า นามเสวียนจี ก็คือแม่นางแล้ว” 

 

นางพยักหน้างุนงง หันไปมองเห็นผีน้อยลงมาจากชั้นบน นางยังยิ้มร่ายกมือคว้าเนื้องอกบนศีรษะเขา ทำเอาผีน้อยแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น 

 

เสวียนจีจึงได้อยู่ในแดนนรกชั่วคราวอย่างงุนงงไปเช่นนี้ ภายนอกกล่าวว่าทำงานจิปาถะคอยยกน้ำชารับใช้ผู้พิพากษา แต่ความจริงมีสักกี่คนที่กล้าเรียกใช้นาง? ได้แต่ยอมให้นางได้เดินเล่นในเมืองทั้งวัน ขอเพียงนางอย่าได้ก่อเรื่องก็ถือว่ามหาโชคแล้ว 

 

ผู้พิพากษาทุกวันยามว่างก็จะนำตำราบำเพ็ญเพียร หลักการแห่งวิถีโลกต่างๆ มาให้นางอ่าน ดีที่นางรู้หนังสือ สติปัญญาสูง รู้หนึ่งแยกแยะได้สาม กล่าววาจาอ้างหลักการ ทำให้คนได้แต่อึ้งไร้วาจาตอบ 

 

นานวันเข้า ผู้พิพากษาก็อดชื่นชมความปรีชาของมหาเทพโฮ่วถู่ไม่ได้ หากตอนแรกให้วิญญาณที่ยังไม่เข้าใจอันใดนักไปเกิดทันที นางก็คงได้แต่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ตั้งใจ ถึงกับไม่รู้ว่าผิดอันใดกันแน่ ยามนี้นางอ่านตำรามากมาย สนใจวิถีบำเพ็ญเซียนอย่างมาก ทำให้ขจัดความไร้สติรับรู้ก่อนหน้าไปได้ เผยแววฉลาดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดออกมา 

 

นางเหมือนศิลาดื้อรั้นก้อนหนึ่ง ตอนเพิ่งนำขึ้นจากก้นแม่น้ำ รูปร่างกลมมนไม่ชัด ยังไม่เปิดเผยความเฉลียว ตอนนี้ใช้เรื่องราวหลักการแห่งโลก เรื่องราวของเทพเซียนผู้บำเพ็ญมาชี้นำทางให้นาง ค่อยๆ บรรจงแกะสลักนาง ในที่สุดก็ค่อยๆ เผยเหลี่ยมมุมแห่งความสามารถ เผยให้เห็นความฉลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน 

 

มีเรื่องเดียวที่ทำให้ปวดหัว 

 

นางขี้เกียจ ขี้เกียจอย่างไม่ธรรมดา ขี้เกียจจนฟ้าพิโรธมนุษย์ก่นด่า 

 

ขอเพียงเอนตัวนอนได้ก็จะไม่นั่งเด็ดขาด หากไม่ต้องใช้ความคิดก็จะไม่คิด ทั้งวันชอบแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ริมสายน้ำลืมภพชาติ พักหนึ่งก็วักขึ้นมามอง ดมๆ แล้วก็ทิ้งกลับไป  

 

ทุกคนล้วนรู้ว่านางคิดค้นหาสิ่งใด แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าบอกกล่าวแก่นาง ความทรงจำชาติก่อนของนางล้วนถูกมหาเทพโฮ่วถู่เก็บไปหมดแล้ว เขาต้องการให้ขจัดความดุร้ายไร้เมตตาทั้งหมดทิ้งก่อน เริ่มต้นใหม่ มีชีวิตใหม่  

 

วันนี้ผู้พิพากษาหานางค่อนวันไม่พบแม้เงา ตามยมทูตที่เฝ้านางมาพบ ตอบว่าเสวียนจีไปชมบุปผาที่ริมสายน้ำลืมภพชาติ เหม่อมองอยู่มาตลอดบ่าย ไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย 

 

ในใจเขาโมโห ถือตำราไปริมน้ำเพื่อไปหานางด้วยตนเอง คิดไว้ว่าจะตำหนิสั่งสอนนางสักหน่อย หลายเดือนมานี้อยู่ร่วมกับนาง สองคนล้วนมีความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์อยู่บ้าง เพียงเพราะนางใฝ่ศึกษาและเฉลียวฉลาด ผู้พิพากษาเดิมที่ยังมีใจระแวงก็เริ่มผ่อนคลายลง สอนสั่งนางราวกับเป็นลูกศิษย์จริงๆ ใต้หล้านี้ไม่มีอาจารย์ใดที่ไม่โมโหยามศิษย์ขี้เกียจ  

 

ออกจากประตูเมืองไป ตามคาด เห็นเงาร่างในชุดขาวพลิ้วไหวนั่งอยู่ริมสายน้ำลืมภพชาติ เขาเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ เห็นนางจ้องมองดอกม่านจูซาหวาราวเปลวเพลิงบนฝั่งน้ำ สองตามองจ้อง ไม่รู้คิดอันใดอยู่  

 

เขากำลังจะเรียกนาง เสวียนจีไม่ได้หันกลับมา หากกล่าวเบาๆ ว่า “อาจารย์” 

 

ผู้พิพากษาถอนหายใจ เดินเข้าไปนั่งข้างกายนาง ร่วมมองบุปผาริมฝั่งสีแดงสดราวสีโลหิตกับนาง เป็นเวลานาน เขาจึงได้กล่าวว่า “ดูอันใด?” 

 

นางกล่าวนิ่งเรียบว่า “ดูสีนั่น ข้ารู้สึกเหมือนคุ้นเคยมาก มักรู้สึกว่าน่าจะเห็นอยู่บ่อยๆ แต่กลับคิดไม่ออก” 

 

ผู้พิพากษาตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ชาติก่อนผ่านไปแล้ว อย่าได้เสียเวลาปวดหัวกับเรื่องสามัญพวกนี้อีก ไม่เช่นนั้นก็ขัดกับหลักการที่ข้าเคยสอนเจ้าพวกนั้น” 

 

เสวียนจีส่งเสียง “อืม” เสียงหนึ่ง “ก็ถูกต้อง คำพูดอาจารย์มักจะถูกต้อง ข้ารู้สึกเสมอว่ามีหลักการอย่างมาก แม้ข้าเข้าใจหลักการเหล่านี้ แต่ไม่รู้เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหลักการเหล่านี้ช่างห่างไกล รู้สึกว่ายากจะปฏิบัติได้” 

 

“หืม? เจ้าคิดว่าเรื่องราวใดที่เจ้ายากจะปฏิบัติ?” 

 

“ท่านบอกข้า ต้องบำเพ็ญเพียรบ่มนิสัย อย่าได้เอาแต่จับจ้องเรื่องราวพ้นผ่าน อย่าได้เพ้อฝันเรื่องวันหน้า เรื่องเหล่านี้ทำให้มารแทรกจิตได้ง่าย จิตไม่สะอาด ไม่อาจบำเพ็ญเพียร ประสาทรับรู้ทั้งหกแปดเปื้อน ก็ย่อมมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่ใช่รูป ย่อมหลงใหลลุ่มหลงได้ง่าย” 

 

นางเด็ดบุปผาริมฝั่งดอกหนึ่ง วางในมือขยี้แหลก น้ำสีแดงสดไหลลงหว่างนิ้วมือเรียว 

 

“แต่ทว่า คนเรามีใจย่อมต้องคิด มีตาย่อมต้องเพื่อไว้มองดู มีปากก็เพื่อไว้กล่าววาจา มีหูก็เพื่อไว้รับฟัง หากล้วนตัดทิ้งแล้ว ข้าควรมองสิ่งใดกัน? ข้าไม่เข้าใจที่อาจารย์กล่าวว่าก้าวสู่ความเป็นเซียนจิตใจว่างเปล่าคืออันใด หลังเป็นเซียนแล้ว…อันใดก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ?” 

 

ผู้พิพากษาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะถามคำถามตอบยากเช่นนี้ออกมา เขาตกใจเป็นนาน กล่าวว่า “มิใช่ ในใจว่างเปล่าก็คือเหมือนถูก แต่ไม่ถูก รู้ เหมือนไม่รู้ เข้าใจ เหมือนไม่เข้าใจ” 

 

“เช่นนั้นพวกเขาแท้จริงแล้วรู้อันใดกัน?” นางถามอย่างจริงจัง “รู้แล้ว หรือว่ายังแสร้งทำไม่รู้? บรรดาเทพเซียนมีชีวิตที่มีความสุขหรือ?” 

 

ผู้พิพากษาขมวดคิ้ว “เสวียนจี เจ้ากำลังจับหลักการไร้พลิกแพลง มีความสุข? เจ้าคิดว่าความสุขแห่งสีสันก็คือความสุขแท้จริงหรือ?” 

 

นางก้มหน้ากล่าวเบาๆ ว่า “ข้ารู้ความหมายของอาจารย์ ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้น หากปราศจาการกระทำ ปราศจากการคิด ไยต้องดำรงอยู่เล่า ข้าคิดไม่ออก คิดเป็นนาน รู้สึกตนเองต้องทำไม่ได้แน่นอน มีใจก็ย่อมต้องคิด ให้ข้าไปคิดหาเหตุผล เช่นนั้นมีไว้เพื่อการใด? อาจารย์ ท่านคงผิดหวังกับข้ามากเป็นแน่” 

 

ผู้พิพากษามองสองตากระจ่างใสของนาง ในนั้นมีแววหม่นปกคลุม ราวกับรู้ ราวกับไม่รู้ มีกระแสแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง เขาอดตกใจไม่ได้ รู้ดีว่าคนผู้นี้ฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง ไม่รู้วันใดหากนางคิดเหตุผลต้นกรรมได้จริง ถึงตอนนั้นตกลงสู่แดนนรกเป็นมารปีศาจ ไม่อาจกลับตัวได้อีก ก็ย่อมเสียแรงที่เง็กเซียนและมหาเทพโฮ่วถู่เฝ้าใส่ใจดูแล 

 

เขาเงียบไปนาน ในที่สุดก็คิดออก ตบมือกล่าวว่า “ความหมายของเสวียนจี อาจารย์เข้าใจแล้ว!” 

 

นางเบิกตากลมโตขึ้นทันที กล่าวอย่างแปลกใจว่า “อาจารย์เข้าใจอันใด?” 

 

ผู้พิพากษายิ้มกล่าวว่า “ข้าจะให้เจ้าได้ดูชาติก่อนของเจ้าแล้วกัน! แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งหน้า” 

 

นางดีใจจนพูดไม่ออก กระโดดโลดเต้น 

 

ผู้พิพากษาควักดินกำหนึ่งจากริมฝั่ง โปรยลงในสายน้ำลืมภพชาติ กล่าวว่า “ค่อยๆ ดู ครั้งหน้าไม่อนุญาตให้ถามเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว” 

 

นางรีบเขยิบขึ้นหน้า เห็นสายน้ำลืมภพชาติเกิดกระแสคลื่น น้ำสีสดค่อยๆ ขุ่นมัวก่อเป็นรูป กลายเป็นสตรีชุดขาวนางหนึ่ง ดูหน้าตาสตรีนั้นแล้ว เสวียนจีก็ตะลึงงัน 

 

เป็นนางเอง  

 

แต่ก็เหมือนไม่ใช่  

 

ใบหน้านางเปี่ยมกลิ่นอายสังหารรุนแรง ดวงตาทั้งสองราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ความเย็นเยียบแผ่ปกคลุม พลันดึงกระบี่มาด้ามหนึ่ง ปลายกระโปรงพลิ้วหมุน ไม่รู้แทงเข้าสิ่งใด โลหิตสดเปรอะเปื้อนกาย จากนั้น นางเก็บกระบี่ ลูบใบหน้าซีกซ้าย ทิ้งรอยเปื้อนโลหิตสายหนึ่ง นางพลันเผยรอยยิ้มประหลาด ราวกับเจ็บปวดอย่างที่สุด 

 

เสวียนจีรู้สึกภาพนี้เหมือนเคยประสบมา รอยยิ้มนั่น กระโปรงสีขาวที่ย้อมอาบไปด้วยโลหิต ดวงตาคู่นั้นที่ราวกับเกล็ดน้ำแข็งหิมะ…ข้างหูนางราวกับได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณที่คุ้นเคย สงคราม อาวุธ เกราะ และม้าศึก เสียงกู่ร้องดังสนั่นหวั่นไหว ขุนพลบนหลังม้าสามเศียรหกกร รอบกายล้อมด้วยกองเพลิงแผดเผา 

 

อสูร! นั่นคือแดนอสูร! 

 

นางพลันดิ้นรนคว้าเอาแสงสว่างเพียงนิดในความมืดมิด กำลังจะเปล่งวาจา ด้านหลังพลันถูกคนผลักอย่างแรง ไม่อาจต้านแรงได้ ตกลงไปในสายน้ำลืมภพชาติ ดื่มน้ำลืมภพชาติรสขมฝาดไปหลายคำ 

 

ราวกับแมวใหญ่ตกน้ำ นางปีนขึ้นฝั่งอย่างแตกตื่น สองมือเพิ่งยันพื้นดินได้ ในใจก็กลับลนลานขึ้น อดีตที่ผ่านมาพริบตาสลายไปราวหมอกควัน สลายไปจากใจนางทีละน้อย นางเอียงหน้าไปมองผู้พิพากษาบนฝั่งงุนงง ในใจมีบางอย่างอยากกล่าวกับเขา แต่กลับลืมอีกว่าเขาคือผู้ใด  

 

“เจ้า…” นางพึมพำ “ข้า…” 

 

น่าแปลก เหมือนมีเรื่องสำคัญอันใดที่ตนลืมเลือนไป แท้จริงแล้วคือเรื่องใดกัน? แท้จริงแล้ว… 

 

ผู้พิพากษาเรียกยมทูตมาให้ลากนางขึ้นฝั่ง กล่าวเสียงดังกังวานว่า “เสวียนจี เจ้าอยู่แดนนรกมาสามเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้สติปัญญากระจ่างแล้ว ข้าส่งเจ้าเข้าสู้ประตูเปลี่ยนภพชาติก่อน หวังว่าภพหน้าเจ้าจะขยันบำเพ็ญวิถีเซียน กลับคืนสู่สวรรค์เร็ววัน” 

 

กล่าวจบ ทุกคนก็โยนนางเข้าสู่เส้นทางเปลี่ยนภพชาติ ยมทูตเห็นเสวียนจีมึนงง ในใจรู้ว่าเกิดจากดื่มน้ำลืมภพชาติอดกล่าวอย่างระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้ “ใต้เท้าผู้พิพากษา นี่…ต้องให้แม่นางเสวียนจีไปเส้นทางแดนใด? หรือว่าเหมือนเมื่อก่อน ไปแดนอสูร?” 

 

ผู้พิพากษาส่ายหน้า “มิใช่ นางไม่เหมือนวันวานแล้ว ปัญญานางใกล้ตื่นรู้แล้ว ในเวลาสำคัญเช่นนี้ หากจิตไม่แน่วแน่อาจกลายเป็นมารได้ ดังนั้นข้าจึงใช้วิธีการเปิดปัญญานาง ให้นางดื่มน้ำลืมภพชาติก่อนไปเกิดใหม่ แดนอสูรไม่อาจไปได้อีก ไม่เช่นนั้น ความพยายามก่อนหน้าล้วนสูญเปล่า ยามนี้ในโลกมนุษย์มีผู้บำเพ็ญวิถีเซียนอยู่มากมาย ให้ความเคารพเซียน ให้นางไปแดนมนุษย์เถิด ขอเพียงจริงใจ วันหน้าต้องได้ผลสำเร็จแน่นอน” 

 

ประตูเปลี่ยนภพภูมิเปิดแล้ว ด้านในแสงเจิดจ้า ไม่อาจลืมตามอง เหมือนมีเส้นทางมากมายโยงใยราวใยแมงมุม เสวียนจีรับแสงเจิดจ้านั่นแล้วทั้งร่างก็ค่อยๆ โปร่งแสง สุดท้ายก็กลายร่างเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง 

 

ผู้พิพากษาใช้มือคลึงมุกเม็ดนั้นด้วยตนเอง เดินเข้าไปยังประตูชาติภพ โยนนางเข้าสู่โลกโลกิยะพันผูกร้อยรัด แอบกล่าวในใจว่า “หากเจ้าและข้าศิษย์อาจารย์มีวาสนา วันหน้าย่อมต้องได้พบกันบนสรวงสวรรค์ หวังว่าเจ้าจะรักษาตัวเองให้ดี” 

 

คืนหนึ่ง ฮูหยินเจ้าสำนักยอดเขาเส้าหยางแห่งเขาแรกอรุณให้กำเนิดบุตรีสองนาง ยามนั้นในห้องพลันส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับกลางวัน คืนก่อนให้กำเนิด เจ้าสำนักฉู่เหล่ยฝันเห็นหยกมรกตหลิงหลงและแสงดาวระยิบระยับ จึงได้ตั้งชื่อให้บุตรีทั้งสองว่า หลิงหลงและเสวียนจี