ตอนที่ 120 เย่หมิงเป่ยรู้สึกถึงวิกฤติ

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 120 เย่หมิงเป่ยรู้สึกถึงวิกฤติ

“ไม่ ภรรยาของฉันเป็นผู้นำพาโชคลาภให้สามีเป็นอย่างมาก ค่อนข้างนำพาโชคลาภเลยล่ะ” เย่หมิงเป่ยกล่าว

คำพูดนี้ ทำให้ใบหน้าของโจวหมิ่นเกิดความนุ่มนวล อ่อนโยนดุจดั่งน้ำก็ว่าได้

หล่อนเป็นคนภาคใต้ มีใบหน้าเล็กผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตาก็ประณีตงดงาม สีหน้าเช่นนี้ที่ดูเหมือนมองเย่หมิงเป่ยด้วยความโกรธแต่ก็ไม่โกรธ ทำให้ส่วนล่างของเย่หมิงเป่ยถึงกับแข็งขึ้นมา

“ภรรยาจ๋า” เย่หมิงเป่ยกลืนน้ำลายหนึ่งอึก

“หมิงเป่ย อีกไม่นานฉันต้องกลับไปปักกิ่งแล้วนะ คุณไม่อยากทำให้ฉันมากหน่อยเหรอคะ?” โจวหมิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ตอนนี้มันหมดแล้วเหรอ?” เย่หมิงเป่ยโอบเอวของภรรยา พลางกระซิบถามเสียงเบา

“อืม” โจวหมิ่นส่งเสียงพลางแอบรู้สึกจิตตก

เดิมทีในการกลับมาครั้งนี้หล่อนก็ไม่ได้คิดที่จะคุมกำเนิดเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าหล่อนอยากตั้งครรภ์ แต่คิดไม่ถึงว่ารอบเดือนของตนจะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นความพยายามก่อนหน้านี้ของเย่หมิงเป่ยจึงไม่เกิดผล ลูกยังคงไม่มาหาพวกเขา

แม้จะรู้สึกจิตตกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ชาตินี้หล่อนและเย่หมิงเป่ยยังมีเวลา

ลมเหนือด้านนอกบ้านกำลังพัดอู้ส่งเสียงหวีดหวิว นำมาซึ่งความหนาวเหน็บเย็นเยียบผิดปกติ ทว่าทั่วทั้งห้องกลับอบอุ่น ชนิดที่อุ่นจนถึงขีดสุด

หลังจากนั้นคลื่นลมก็สงบลง

“หมิงเป่ย พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปแล้ว คุณแน่ใจนะคะว่าจะให้ฉันกลับไปคนเดียว” โจวหมิ่นนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของเย่หมิงเป่ย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ขนาดคุณยังไม่ไป ผมก็คิดถึงคุณแล้ว” เย่หมิงเป่ยโอบภรรยาของตนเอง เวลานี้ตัวเขาได้แสดงซึ่งความอ่อนโยนของชายชาตรีออกมา ในใจเปี่ยมล้นด้วยความอาลัยอาวรณ์

โจวหมิ่นกระซิบ “หมิงเป่ย คุณยินดีที่จะไปปักกิ่งกับฉันไหมคะ?”

เย่หมิงเป่ยย่อมอยากไปอยู่แล้ว ตอนที่น้องเขยพูดขึ้นมาในวันนี้เขาก็ทราบความหมายของน้องเขยแล้วว่าคืออะไร ปล่อยให้ภรรยาไปปักกิ่งคนเดียวเขาจะวางใจได้อย่างไร?

แต่เขาก็อยากไปอยู่หรอก อย่างไรก็ต้องไป แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

ดังนั้นเย่หมิงเป่ยจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ภรรยา ผมไปช้าสักหน่อยได้ไหม? ตอนนี้ผมยังไม่เหมาะที่จะไปที่นั่น คุณให้เวลาผมอีกหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

เขาไม่คุ้นเคยกับชีวิตในพื้นที่แบบนั้นของปักกิ่ง ถ้าไปที่นั่นแล้วจะทำอย่างไร?

พึ่งพาภรรยาของตัวเองให้เลี้ยงเขาเหรอ แบบนั้นเขาจะถูกมองอย่างไร?

แม้เขาจะทราบดีว่าภรรยาคงไม่พูดอะไร แต่เขาก็ไม่อยากให้ภรรยาเป็นคนเลี้ยงเขา เขาไม่อยากเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย

โจวหมิ่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

“ภรรยา ผมรู้ว่าผมทำให้คุณน้อยใจ” เย่หมิงเป่ยจูบหน้าผากหล่อน ก่อนกล่าวต่อ “แต่อีกไม่นานที่บ้านก็จะแบ่งที่ดินแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงผมก็ต้องอยู่บ้านเพื่อดูสักหน่อย ไหนจะเงินที่ซื้อรถตั้งเยอะแยะนั่นอีก ยังไงก็ต้องดึงเงินทุนกลับมา ตอนนี้ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง แต่กลับจ่ายเงินออกไปไม่น้อยแล้ว”

โจวหมิ่นแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ หล่อนเองก็ไม่ได้โน้มน้าวเขาอีก รีบร้อนไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เพราะหล่อนรู้ว่าเขาก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ภรรยา ผมจะรีบไปให้เร็วที่สุด คุณรอผมอยู่ที่นั่นนะ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” เย่หมิงเป่ยกล่าว

“แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะไปคะ?” โจวหมิ่นถาม

เย่หมิงเป่ยลังเล อีกนานแค่ไหนเขาถึงจะไปปักกิ่งได้ อันที่จริงเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาจะได้ไปเมื่อไร

“ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งกับคุณ ที่มหาวิทยาลัยของเรามีเพื่อนนักศึกษาอยู่คนหนึ่งเคยเอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันเป็นเดือน” โจวหมิ่นกล่าว

เย่หมิงเป่ยถึงกับตกใจในทันที

“ปีที่แล้วก็มีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่ง เป็นคนในเมืองหลวง ส่งดอกไม้สดให้ฉันติดต่อกันไม่หยุดเป็นเดือน ส่งให้ฉันวันละหนึ่งช่อทุกวัน ไม่เคยขาดเลยสักครั้ง เป็นดอกกุหลาบสดทั้งหมดเลยด้วย” โจวหมิ่นกล่าวต่อไป

เย่หมิงเป่ยรู้สึกได้ถึงวิกฤตลึก ๆ แล้ว

“หมิงเป่ย ฉันสามารถต่อต้านสิ่งล่อใจที่อยู่ด้านนอกเพื่อคุณได้ก็จริง” โจวหมิ่นพิงอยู่ในอ้อมกอดเขา กระซิบว่า “แต่หมิงเป่ย ถ้าคุณปล่อยให้ฉันรอนานเกินไป ปล่อยให้ฉันรอจนเหนื่อย ถึงตอนนั้นถ้ามีใครสักคนมีไหล่ให้ฉันพึ่งพิงได้ ฉันก็อาจจะทนไม่ไหวนะคะ”

เย่หมิงเป่ยรีบกอดภรรยาของเขา “ภรรยา คุณเป็นคนของผมนะ พวกเราจดทะเบียนสมรสแล้วด้วย!”

โจวหมิ่นแค่นเสียงหัวเราะ “จดทะเบียนสมรสแล้วยังไงล่ะ ถ้าคุณไม่มา คุณจะให้ฉันรอไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ?”

คำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นการข่มขู่เขา ชาติที่แล้วเขารอหล่อนทั้งชีวิต แค่อดทนรอเขาในตอนนี้หล่อนจะไม่มีความอดทนได้อย่างไรกัน?

หล่อนก็แค่ไม่อยากแยกจากเขาอีกแล้ว พลาดไปหนึ่งชีวิตแล้ว ชาตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หล่อนจะกลับมา ย่อมต้องใช้ชีวิตให้ดี!

ดังนั้นในตอนนี้ที่หล่อนกำลังจะไปแล้ว จะไม่ให้เขากินยาแรง ๆ หน่อยได้อย่างไรกัน เป็นการทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤติสักหน่อยด้วย

แค่เย่หมิงเป่ยคิดว่าภรรยาของเขาจะกลายเป็นของคนอื่น เขาก็เจ็บหัวใจแล้ว “ภรรยา คุณให้เวลาผมหน่อยนะ ให้เวลาผมหน่อย ผมจะไปหาคุณให้เร็วที่สุด!”

โจวหมิ่นส่งเสียงอืมออกมา จากนั้นเย่หมิงเป่ยก็พลิกตัวขึ้นคร่อมหล่อนอีกครั้ง

โจวหมิ่นสบตาเขา แก้มแดงระเรื่อ พูดเสียงอ่อนว่า “หมิงเป่ย”

“ภรรยา” เย่หมิงเป่ยจูบหล่อน

พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว เย่หมิงเป่ยย่อมเกิดความอาลัยอาวรณ์ แต่คำพูดอาลัยอาวรณ์ก็คงไม่ต้องพูดแล้ว ออกแรงกายก็พอ

บรรยากาศของคู่สองสามีภรรยาย่อมหวานปานน้ำผึ้ง ซึ่งจุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากเสร็จกิจแล้วโจวหมิ่นก็หลับปุ๋ยไป ส่วนเย่หมิงเป่ยก็นอนโอบภรรยาของเขาและเริ่มวางแผน

เขาทราบดีว่าคำพูดเหล่านั้นของภรรยาไม่ใช่การหลอกเขา เขาเองก็รู้ดีว่าที่ภรรยาพูดแบบนั้น แท้จริงแล้วก็เพื่อให้เขาไปเมืองหลวง

เขาเองก็อยากไป แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้ทางนี้มีรากฐานสักหน่อย จึงจะไปหาภรรยาของเขาได้

ไม่เช่นนั้นหากเขาไปเมืองหลวงแบบสองมือเปล่าเพื่อให้ภรรยาเลี้ยง เขาคงทำไม่ได้จริง ๆ

เย่หมิงเป่ยวางแผนการค้าขายต่อไปที่จะทำกับน้องเขย จากนั้นก็นอนกอดภรรยาหลับไป

ส่วนทางฝั่งจ้าวเหวินเทาและเย่ฉูฉู่ก็ยังไม่นอน

เย่ฉูฉู่กำลังฟังแผนของจ้าวเหวินเทา เขามีความคิดที่จะไปเมืองหลวง

จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ภรรยา ผมคิดดีแล้วล่ะ หลังรอให้คืนทุนรถกลับมา สร้างบ้านได้ คลอดลูกแล้ว และเก็บเงินได้อีกนิดหน่อย ผมจะไปเมืองหลวงเพื่อไปดูลาดเลาทางฝั่งนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็จะนำเข้าสินค้าจากฝั่งเมืองหลวงเข้ามา เหมือนกับหมู่บ้านไท่ผิงครั้งนั้นไง คุณว่าดีไหม?”

เย่ฉูฉู่ย่อมไม่มีความเห็นต่าง คนเดินขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ กล่าวว่า “ได้สิ ไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ”

อ่านหนังสือหมื่นเล่มไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ ออกไปเดินดูให้มากหน่อยก็ดี เอื้ออำนวยต่อการพัฒนามากด้วย

จ้าวเหวินเทายิ้มอย่างพึงพอใจ เขาทราบดีว่าภรรยาของเขาต้องสนับสนุนเขาอยู่แล้ว

“แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากไปเมืองหลวงด้วยเหมือนกันนะคะ” เย่ฉูฉู่กระซิบ เธอเองก็อยากไปดูว่าจวนขององค์ชายกับเธอยังอยู่ที่นั่นหรือไม่?

“ได้สิ รอให้ลูกหย่านมก่อน ก็ให้แม่ช่วยเลี้ยงให้ ส่วนพวกเราก็ไปสำรวจเมืองหลวงด้วยกัน จะได้มีประสบการณ์สักหน่อย ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงจะมีทิวทัศน์แบบไหน?” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“คุณว่าเมืองหลวงจะเป็นยังไงเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวเสียงเบา จะเหมือนกับชาติที่แล้วหรือเปล่านะ?

“ก็ต้องใหญ่อยู่แล้ว มีรถเยอะ แล้วก็ตึกรามบ้านช่อง ต้องมีตึกที่สูงกว่าตึกในมณฑลของพวกเราแน่นอน!” จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ พวกเขาต่างก็เป็นกบในกะลา ยังไม่เคยเห็นโลกใบใหญ่ของจริงมาก่อน

“พี่สะใภ้สามบอกว่าอาคารในมณฑลพวกนั้นไม่นับว่าเป็นตึก แต่เรียกว่าเป็นบ้านชั้นเดียว ยังสู้เมืองหลวงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” เย่ฉูฉู่กล่าว

“มันก็เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าวพลางหาว

เย่ฉูฉู่เองก็ง่วงแล้ว สองสามีภรรยาจึงผล็อยหลับไปท่ามกลางจินตนาการที่วาดฝันว่าเมืองหลวงจะเป็นเช่นไร

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เอาใจช่วยพี่สามเย่ให้วางรากฐานตัวเองได้มั่นคงเร็ว ๆ แล้วตามภรรยาไปเมืองหลวงนะคะ ขืนชักช้านานกว่านี้ภรรยาอาจเปลี่ยนใจ

ส่วนคู่เหวินเทาก็ขอให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงกันนะคะ

ไหหม่า(海馬)