ทุกคน ณ ที่แห่งนี้นอกจากฉินซิวเฉินและผู้จัดการของเขา ล้วนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาฉินหร่านมาก่อน ไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ ผู้จัดการของฉินซิวเฉินบอกว่าหลานสาวของซุปตาร์ฉิน หน้าตาไม่เลวนัก
ในเมื่อเป็นหลานสาวของฉินอิ่งตี้ ยังไงความหล่อเหลาเหนือกาลเวลาของซุปตาร์ฉิน ก็น่าจะเดาได้ว่าหน้าตาของหลานสาวของเขาคงไม่แย่เท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเมื่อบานประตูเปิดออก มองเห็นร่างที่เดินออกมาจากข้างใน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกอยู่ในความเงียบ
แม้แต่ผู้กำกับที่ถือป้ายเตือนซุปตาร์ฉิน อยู่นั้นก็พลันแข็งค้างอยู่กับที่
วันนี้ฉินหร่านยังคงใส่เสื้อฮู้ดแขนยาวสีขาว ด้านในมีขนกำมะหยี่ เธอไม่ได้ใส่เสื้อโค้ต และไม่ได้สวมหมวก ฉินซิวเฉิน จัดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาหล่อเหลาเหนือกาลเวลาในวงการบันเทิง ทว่าใบหน้าของเขาแสดงออกได้แข็งกระด้างเล็กน้อย
สำหรับฉินหร่านไม่มีส่วนไหนเหมือนกันสักอย่าง หน้าตาของเธอเมื่อเทียบกับฉินซิวเฉินแล้วดูละเมียดละไมมากกว่า ดวงตาทั้งสองข้างมีสีดำสนิทดูลึกลับ เผยให้เห็นประกายของแสงจันทร์ในฤดูหนาว ผิวขาวราวกับมีแสงสีเงินของท้องฟ้าเคลือบผิวไว้ หัวคิ้วที่ขมวดทำให้สีหน้าแกมอ่อนโยนของเธอหายไปแต่เพิ่มเสน่ห์อันเยือกเย็นอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน
ช่างกล้องที่ถ่ายติดตามฉินซิวเฉินไม่สนใจที่จะถ่ายฉินซิวเฉินอีก แต่รีบหันกล้องไปทางฉินหร่านแทน
ในห้องมอนิเตอร์ หน้าจอแต่ละหน้าล้วนเป็นภาพของฉินหร่าน
ทั้งมุมข้าง มุมตรง มุมจากด้านบน มุมจากด้านล่าง ทั้ง360ล้วนเป็นหน้าของเธอ
ทั้งยังได้ยินเสียง “สบถ”ออกมาเบา ๆ
ขณะที่ผู้ช่วยผู้กำกับมองดูฉินหร่านจากหน้าจออยู่นั้น: “……”
เขาตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตะโกนโพล่งใส่หูฟัง: “ตากล้องเบอร์หนึ่งถึงเบอร์สิบเกิดอะไรขึ้น? เดินกล้องไปเดี๋ยวนี้!”
ฉินซิวเฉินเอียงตัว แนะนำให้จิ่งเหวิน “หลานสาวผมเอง ฉินหร่าน”
แววตาของจิ่งเหวินสว่างขึ้นวูบหนึ่ง เธอเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวหร่านหร่านหรอ สวัสดีสวัสดี ฉันคือจิ่งเหวิน เธอจะเรียกฉันว่าพี่เหวินก็ได้นะ”
“เบาหน่อย!” ฉินซิวเฉินรีบพูดขึ้น เขาเหลือบมองจิ่งเหวินแวบหนึ่ง จากนั้นเดินเข้ามาคั่นกลางทั้งสองไว้ ไม่สนใจจิ่งเหวินอีก ก่อนก้มหน้า ถามฉินหร่านอย่างใส่ใจว่า “ผู้หญิงคนนี้อยากร่วมมือกับพวกเรา เธอว่าพอได้ไหม?”
ฉินหร่านหรี่ตามองดวงสายตาแพรวพราว ขนตาเส้นบางคล้อยลงเล็กน้อย พลางสอดมือเข้ากระเป๋า พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เธอจะไหวไหม?”
ฉินซิวเฉินตอบอย่างไม่เกรงใจ “พวกมือใหม่ขาดประสบการณ์ แต่ว่าน้องชายเขาเป็นจอมพลัง ใช้งานเบ็ดเตล็ดได้”
“งั้นดูสถานการณ์เถอะ” ฉินหร่านลูบคาง
จิ่งเหวินกะพริบตาปริบๆ เธอกอดอก ตอบว่า: “……เจ้าแม่การแสดงอย่างฉันถูกสังคมรังเกียจหรือนี่?? แล้วพวกเธอจะเสียใจ!”
ฉินหร่านสวมหมวกฮู้ดอย่างเย่อหยิ่ง
ฉินซิวเฉินรีบตามหลังเธอไปอย่างแสนรู้ยิ่ง ทั้งไม่พูดอะไรสักคำ
ในตอนแรกช่างกล้องที่ถ่ายตามฉินซิวเฉินคิดอยากถ่ายฉากนี้ แต่พอนึกถึงคำที่ผู้กำกับบอก ว่าไม่ต้องถ่ายหลานสาวซุปตาร์ฉินมากนัก เขาจึงรีบหมุนกล้องกลับไป แล้วถ่ายลงพื้นแทน
ก่อนเสียง “ปัง!” ดังขึ้น หัวของเขาถูกแผ่นสคริปต์ของผู้กำกับเคาะลงมา
ผู้กำกับเดินเข้ามา “นายทำอะไร? ฉากเมื่อกี้ดีขนาดนั้นทำไมนายไม่ถ่าย? ยังดีที่ตากล้องเบอร์สิบหัวไว ผู้ช่วยของนายยังได้เรื่องมากกว่าอีก? !”
ตากล้อง: “……??”
“ผู้กำกับครับ ก่อนหน้านี้คุณบอกผมเองว่าถ่ายติดหลานสาวซุปตาร์ฉินให้น้อยหน่อย…..” เขาพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย
“ปัง!”
ผู้กำกับเคาะลงหัวเขาอย่างรุนแรงอีกรอบหนึ่ง พลางส่งสายตาถมึงทึง: “ฉันบอกตอนกัน? !”
“ก็เมื่อกี้คุณ……”
“ยังจะมาเล่นลิ้นอีก? !”
ก่อนพูดอย่างรุนแรงอีกรอบ
ผู้กำกับถูมือข้างขวาที่ตีจนเจ็บจากนั้นปรบมือให้กลุ่มช่างกล้องตามมา ถ้ารู้ว่าหลานสาวของซุปตาร์ฉินหน้าตาดีแบบนี้ เข้าคงไม่ต้องกังวลตลอดทั้งคืนหรอก
เธอไม่มีทักษะการแสดงแล้วจะทำไม?
ไม่มีเสน่ห์แล้วอย่างไร?
ก็เธอหน้าตาดีเสียขนาดนั้นน่ะ!
**
การถ่ายรายการเริ่มถ่ายจากฉากลงเขา
เมื่อฉินซิวเฉินมาถึง คนอื่นอีกสามคนก็มาถึงนานแล้ว
ทั้งสามคนอยู่ในช่วงวัยรุ่น เมื่ออยู่ด้วยกันจึงหัวเราะพวกคุยกันสนุกสนานอย่างสนิทสนม
“เสี่ยวหร่านหร่าน นี่คือน้องชายของฉัน” จิ่งเหวินดึงตัวหนึ่งในวัยรุ่นชายตัดผมรองทรงสูงออกมาเพื่อแนะนำตัวให้ฉินหร่าน จากนั้นแนะนำอีกฝั่งให้เด็กชาย “นี่เป็นหลานสาวของซุปตาร์ฉิน ชื่อฉินหร่าน”
เด็กชายผู้มีทรงผมรองทรงสูงมีสายตาว่องไว หน้าตาสุขุมนุ่มลึก เขามองฉินหร่านแวบหนึ่ง พลางขมวดคิ้ว “ไร้สาระ ซุปตาร์ฉินจะมีหลานสาวได้ยังไง?”
ไอดอลของเขามีญาติคนไหนเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ไม่รู้ว่ารายการจัดเตรียม ดาราศิลปินระดับล่างคนไหนมา
เมื่อต้องการจะพูดต่อ ก็ถูกจิ่งเหวินกดไหล่ไว้ เขาจึงได้แต่แสดงสีหน้าเจ็บปวด ไม่พูดอะไรอีก
ผู้หญิงอีกคนหนึ่งคือไป๋เทียนเทียน เป็นศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ ก่อนเดินมาทักทายจิ่งเหวินกับฉินซิวเฉินด้วยตัวเอง
รายการเริ่มถ่ายทำ ฉินหร่านดึงหมวกฮู้ดลง เมื่อได้ยินชื่อของไป๋เทียนเทียน คิ้วของเธอก็เลิกขึ้น
เธอจำนามสกุลนี้ได้ เพียงพูดชื่อนี้แค่ครั้งเดียวก็ไม่มีวันลืม
อย่าว่าแต่ไป๋เทียนเทียน อดีตผู้จัดการของเถียนเซียวเซียวละทิ้งเถียนเซียวเซียวจากนั้นไปอยู่กับฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังเป็นคนที่เธอให้เจียงตงเยี่ยตรวจสอบก่อนหน้านี้……
คาดไม่ถึงว่าฉินซิวเฉินและจิ่งเหวินจะถ่ายเรียลลิตี้ร่วมกัน? เจียงตงเยี่ยนับถือเธอขนาดนี้เลยเหรอ? หรือเขารู้จักกับเธอ?
ฉินหร่านยกมือขึ้นลูบคาง
ขณะถ่ายทำรายการไม่สามารถพกโทรศัพท์ได้ รอให้เย็นนี้กลับไปก่อนค่อยถามเจียงตงเยี่ยอีกที ว่าเขาอาจจะเข้าใจอะไรในตัวเธอผิดไปรึเปล่า
ขณะที่เธอกำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น รายการก็เริ่มถ่ายทำแล้ว
ผู้กำกับถือโทรโข่งประกาศภารกิจ “ที่ชานเขามีฐานที่ตั้งอยู่ สิ่งที่พวกคุณต้องทำก็คือหาฐานที่ตั้งฐานแรก โดยทุกกลุ่มต้องย้ายท่อนไม้ท่อนหนึ่งไปที่กลางเขาเพื่อระบุฐานที่ตั้ง ถึงจะได้รับโจทย์ถัดไป”
ก่อนที่ทั้งสามกลุ่มจะทำการเคลื่อนย้าย จิ่งเหวินเดินอย่างหนักแน่นเข้ามาหาฉินเซียวเฉิงอีกครั้ง “สหาย ร่วมมือกันไหม?”
ตามการจัดเตรียมของกองถ่าย แน่นอนว่าท่อนไม้มีน้ำหนักมาก ฉินซิวเฉินไม่อาจปล่อยให้ฉินหร่านแบกท่อนไม้เหล่านั้นแน่ ครั้งนี้เขาตอบอย่างไม่คิดทันทีว่า: “ได้!”
ฐานวางไม้หาเจอได้อย่างง่ายดาย
ฉินซิวเฉินมองท่อนไม้ยาวขนาดสามเมตร ก่อนยกมือเรียกน้องชาย โดยรวมแล้วมีน้ำหนักเกือบหนึ่งร้อยกิโลได้
ไป๋เทียนเทียนกับผู้ชายกลุ่มเดียวกับเธอยกท่อนไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอจะใช้แรงมาก แต่ก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
“พี่ครับ พวกเรายกไม้นี้เสร็จแล้วพี่ก็ไปพักผ่อนก่อนนะ ผมกับพาร์ทเนอร์ของพี่จะไปยกอีกท่อนนึง” น้องชายของจิ่งเหวินรีบพูดขึ้น
จิ่งเหวินมีอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เอว นี่เป็นเรื่องที่กองรายการและแฟนคลับต่างรู้ทั่วกัน
ฉินซิวเฉินมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร เพียงถอดเสื้อโค้ตส่งให้ฉินหร่าน ก่อนพูดเบาๆ ว่า: “เธอกับจิ่งเหวินตามพวกเราขึ้นมา ฉันกับน้องชายของเธอจะยกไม้นี้ให้เสร็จ แล้วค่อยลงมายกอีกอัน”
กองถ่ายได้ถ่ายทำฉากนี้เสร็จแล้ว น้องชายของจิ่งเหวินและไป๋เทียนเทียนสนิทสนมกันมากเมื่อเห็นไป๋เทียนเทียนที่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแบกไม้อยู่ จึงพึมพำขึ้นมาว่า “แม้แต่ไป๋เทียนเทียนก็ยกไม้ได้ ทำไมเธอถึงทำไม่ได้ล่ะ? เธอสูงส่งกว่าคนอื่นรึไง นักแสดงรุ่นพี่ของฉันถ่ายรายการทั้งปีก็มีบาดเจ็บ ให้เขาได้พักผ่อนหน่อยไม่ได้เหรอ?”
ไม่ใช่คนที่สูงส่งอะไรทั้งนั้น แต่เพราะเป็นหลานสาวของซุปตาร์ฉิน!
ผู้กำกับที่สวมหูฟังอยู่ มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็รีบชูป้ายขึ้น ห้ามไม่ให้ช่างกล้องถ่ายฉากนี้ เมื่อรายการออกอากาศไปแล้ว ชาวเน็ตต้องวิจารณ์ฉินหร่านแน่นอน
ฉินซิวเฉินกับน้องชายของจิ่งเหวินไปยกไม้ด้วยกัน ทั้งสองเป็นผู้ชายจึงไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย เนื่องจากกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บสะสมของฉินซิวเฉินที่เล่นละครมาตลอดทั้งปี ทั้งสองจึงยกแค่ท่อนไม้ท่อนเดียว
เมื่อครั้งที่กำลังเดินขึ้นเขา กลับพบว่าฉินหร่านก็กำลังเดินมาทางนี้
น้องชายของจิ่งเหวินกดเสียงต่ำพูดอย่างรำคาญว่า: “ทางเดินอยู่ตรงนั้นเธอมองไม่เห็นเหรอ”
ฉินหร่านหยุดอยู่ที่ท่อนไม้ท่อนสุดท้ายด้านข้าง เธอคายหญ้าที่คาบในปากก่อนมองน้องชายของจิ่งเหวิ่นด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง: “เงียบปากน่า”
เธอพูดพลางก้มลง ยื่นมือยกท่อนไม้ท่อนสุดท้ายขึ้นมา ก่อนแบกขึ้นไหล่ด้วยท่าทีเบาสบาย ราวกับยกท่อนไม้ปลอมอยู่อย่างงั้น
เมื่อเดินมาถึงข้างตัวฉินซิวเฉิน เธอก็หยุดเดิน “ให้ช่วยไหมคะ?”
ฉินซิวเฉิน: “……”
น้องชายของจิ่งเหวิน: “……”
กองผู้กำกับก็เงิบไปตามๆ กัน พวกเขาเห็นสถานการณ์ชัดเจนยิ่งกว่าใครๆ นี่ไม่ใช่ไม้ปลอม และไม่ใช่อุปกรณ์ประกอบฉากอย่างแน่นอน! พูดอย่างไม่ปิดบังท่อนไม้นั่นหนักถึงร้อยกิโลเลยนะ!
แต่โดนเด็กผู้หญิงคนนั้นกลับแบกขึ้นบนบ่าราวกับว่าไม้มีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งร้อยกิโลเนี่ยนะ? ?
ฉินหร่านแบกไม้ท่อนหนึ่ง เดินตัวปลิวอย่างรวดเร็ว ฉินซิวเฉินและน้องชายของจิ่งเหวินก็ไม่รอช้า พวกเขารีบตามไป๋เทียนเทียนที่เดิมนำพวกเขาไปก่อนหน้านี้
ผ่านไปสิบนาที ในที่สุดก็ถึงฐานที่ตั้ง น้องชายจิ่งเหวินและฉินซิวเฉินวางท่อนไม้ลงก่อนเดินไปที่ท่อนไม้ท่อนนั้นที่อยู่ข้างตัวฉินหร่าน พลางลองยกขึ้น……
เมื่อลองยกดูแล้ว ก็ต่างมองหน้ากัน
แม้แต่จิ่งเหวินก็อดใจไม่ไหวเดินเข้ามา หลังจากลองยกดูแล้วก็มองฉินหร่านอย่างเคร่งขรึม: “ที่แท้คุณต่างหากที่เป็นหญิงจอมพลัง! เสียมารยาทแล้วเสียมารยาทแล้ว!”
โจทย์ข้อที่สองต้องรอให้คนมาครบก่อนถึงเปิดได้ น้องชายจิ่งเหวินมองลงเขารอบหนึ่ง “พี่ครับ ผมไปช่วยฝั่งไป๋เทียนเทียนนะ”
“เธอไปเถอะ” จิ่วเหวินโบกมือ
เขาไปช่วยไป๋เทียนเทียนยกไม้ท่อนสุดท้ายขึ้นมา ก่อนที่คุณลุงนอกฐานที่มีท่าทีสุขุมมาดนิ่งเป็นผู้เปิดเผยปริศนาของฐานแห่งนี้
บนโต๊ะด้านล่างมีกล่องเล็กกล่องหนึ่ง ด้านบนของกล่องเหล็กมีโซ่ล็อกไว้อยู่ “ในนี้มีการ์ดภารกิจ”
“กุญแจล่ะ?” น้องชายจิ่งเหวินเงยหน้า หาของบริเวณรอบ ๆ
คุณลุงมาดขรึมหมุนตัว ก่อนเปลี่ยนสีพื้นบริเวณหลังเป็นสีดำ ด้านบนที่ติดอยู่คือคำถามฟิสิกส์ข้อหนึ่ง มีสายไฟเส้นเล็กเส้นหนึ่งนำพาประจุไฟฟ้ารูปทรงกลมอันหนึ่ง มีสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ด้านหลังถามเรื่องความต่างศักย์ไฟฟ้าABสองจุด? ?
จากนั้นมีตัวเลือกอยู่สี่ข้อ? ?
ซุปตาร์ฉินที่เรียนจบมาหลายปีแล้วหันไปมองด้านหลัง: อะไรคือความต่างศักย์ไฟฟ้า? ?
ทันใดนั้นจิ่งเหวินก็นึกถึงไป๋เทียนเทียนศิลปินหน้าใหม่ของกองถ่ายนี้ว่าไป๋เทียนเทียนคือเด็กพิเศษที่ตระกูลเจียงส่งมา ตระกูลเจียงเป็นถึงหัวหน้ายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง การที่ทางทีมงานตั้งคำถามข้อนี้ต้องการแสดงให้เห็นว่าภูมิหลังของไป๋เทียนเทียนคือเด็กอัจฉริยะ
ต้องบอกไป๋เทียนเทียนให้รู้ล่วงหน้าก่อน
เธอรีบเปิดปากพูดขึ้น “คำถามแบบนี้ต้องให้เทียนเทียนเท่านั้นแล้ว ปีนี้เทียนเทียนก็เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายนี่? ทั้งยังเป็นนักเรียนหัวกะทิด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงด้วย”
ไป๋เทียนเทียนหัวเราะอย่างขัดเขิน จากนั้นหยิบปากกา ทำท่าราวกับคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็วางปากกา น้องชายจิ่งเหวินกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม: “เร็วขนาดนั้นเชียว?”
ไป๋เทียนเทียนพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน: “ข้อbค่ะ”
ฉินหร่านที่นั่งอยู่บนหินตั้งแต่แรก ในปากกัดใบไม้อยู่ เมื่อได้ยินคำตอบ เธอก็กวาดตาไปมา พลางเท้าคางด้วยท่าทีเกียจคร้าน: “ผิดแล้ว”