ตอนที่ 211-2 ทูตจากทั้งสามแคว้นเดินทางมาถึง

ชายาเคียงหทัย

“อาหลีพูดถูก เมื่อมีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นก็ถือว่ามีบัญชาจากสวรรค์ อีกอย่าง ว่ากันว่าในสมบัติของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนยังมีตำราพิชัยสงครามลับและสมบัติที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนอยู่ด้วย” ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ

 

 

ในสายตาของคนพวกนั้นแล้ว สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดเกรงว่าคงจะมิใช่สมบัติเหล่านั้น แต่เป็นตำราพิชัยของปฐมฮ่องเต้กระมัง ลองถามดูว่า หากเป็นเรื่องกลยุทธ์ทางการทหารแล้ว มีผู้ใดที่กล้าอวดอ้างว่าทัดเทียมกองทัพตระกูลม่อบ้าง เดิมทียังมีเจิ้นหนานอ๋องอีกคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามแห่งซีหลิง แต่ตั้งแต่เจิ้นหนานอ๋องพ่ายแพ้ให้กับชายาติ้งอ๋อง ในสายตาของทหารซีหลิง ก็คงเห็นว่ากองทัพตระกูลม่อเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจิ้นหนานอ๋องเท่านั้น

 

 

เจิ้นหนานอ๋องที่ไม่มีคู่แข่งมาทั้งชีวิต กลับพ่ายแพ้ติดๆ กันให้กับกองทัพตระกูลม่อ เขาพ่ายแพ้ให้กับม่อหลิวฟางก็ยังไม่เท่าไร เพราะถึงอย่างไรตำหนักติ้งอ๋องที่ได้รับการสืบทอดความรู้มาอย่างม่อหลิวฟาง ก็เป็นอัจฉริยะแห่งยุค แต่เมื่อมาพ่ายแพ้ให้กับชายาติ้งอ๋องอีกครั้ง ก็คงแก้ตัวไปไม่ได้แล้ว สตรีสาวอายุเพียงสิบกว่าปีที่เกิดในตระกูลบัณฑิต สามารถเอาชนะเจิ้นหนานอ๋องที่ชั่วชีวิตกรำศึกมาแล้วกว่าร้อยศึกได้ หากมิใช่ศัตรูคู่แค้นกันมาตั้งแต่เกิด แล้วจะเป็นอันใดไปได้

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ครานี้ถานจี้จือจะมาที่ซีเป่ยด้วยหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ยามนี้ซูม่านหลินยังอยู่ในหรู่หยาง นอกจากถานจี้จือไม่คิดอยากได้ตัวนางแล้ว อย่างไรเขาจะต้องมาอย่างแน่นอน”

 

 

“ซูม่านหลิน?” สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมเลิกคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่าธิดาเทพแห่งหนานเจียงเดินทางมาถึงซีเป่ยตั้งแต่เมื่อใด

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ลืมเล่าให้พี่ใหญ่ฟังไปเลย จะว่าไปพี่ใหญ่กับธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็ถือว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ก่อนหน้านี้ธิดาเทพแห่งหนานเจียงยังเคยเอ่ยถึงพี่ใหญ่กับหลีเอ๋อร์ พี่ใหญ่อยากไปพบนางสักหน่อยหรือไม่”

 

 

สวีชิงเฉินได้แต่ยื่นมือไปลูบศีรษะเยี่ยหลี ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของม่อซิวเหยา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อย่าเลย เชื่อว่านางก็คงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่านางอยู่ที่นี่”

 

 

ธิดาเทพแห่งหนานเจียงมิอาจออกจากวังหลวงของหนานจ้าวได้ หากคนหนานเจียงรู้เข้า การเป็นธิดาเทพของซูม่านหลินก็คงจบลงทันที

 

 

 

 

ภายเมืองหรู่หยาง แขกเหรื่อที่มาร่วมงานจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้เขตซีเป่ยที่เดิมไม่ถือว่าเป็นเขตที่เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก กลายเป็นเมืองที่กิจการรุ่งเรืองและคึกคักขึ้นมาทันตา

 

 

ริมถนนมีร้านค้าแผงลอยจากต่างถิ่นมาตั้งแผงกันจำนวนมาก ตะโกนร้องขายสินค้าทั้งจากในด่าน หรือไม่ก็จากซีหลิง เป่ยหรง และหนานจ้าวให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา โรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาภายในเมืองก็มีแขกมาเข้าพักกันจนเต็มเอี๊ยด

 

 

ทุกๆ วัน มิได้มีเพียงคณะทูตจากราชสำนัก แต่ยังมีพ่อค้าจากทุกพื้นที่ จอมยุทธจากเจียงหู หรือแม้กระทั่งนักเดินทางที่เข้าเมืองกันมาไม่หยุด ทั่วทั้งเมืองหรู่หยางจึงคึกคักและกิจการรุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

หนิงเซียงเก๋อเป็นโรงละครแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดกิจการได้ไม่นานของเมืองหรู่หยาง แต่ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือน ก็สามารถผลักดันตนเองขึ้นเป็นโรงละครอันดับหนึ่งของซีเป่ยได้ แต่หนิงเซียงเก๋อไม่เหมือนกับหอนางโลมและหอหญิงคณิกาทั่วๆ ไป แม่นางทุกคนในหนิงเซียงเก๋อขายเพียงความสามารถแต่ไม่ขายร่างกาย หากจะเรียกว่าที่นี่เป็นโรงละคร เรียกว่าเป็นโรงเหล้าอาจจะฟังดูเหมาะสมกว่า

 

 

ที่แห่งนี้มิได้มีเพียงสตรีที่งดงามที่สุดเท่านั้น แต่ยังมีสุราที่ดีที่สุด และอาหารรสเลิศที่สุดอีกด้วย ที่นี่แขกสามารถเรียกหาแม่นางมาขอเพลงให้พวกนางร่ายรำได้ แต่ไม่สามารถเรียกให้แม่นางเหล่านั้นมาร่ำสุราเป็นเพื่อนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบริการพิเศษด้านอื่นๆ ดังนั้นที่หนิงเซียงเก๋อ จึงมิได้ต้อนรับเฉพาะแขกที่เป็นบุรุษ แต่ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับแขกที่เป็นสตรีเช่นกัน

 

 

แต่มนุษย์อย่างไรก็มักมีนิสัยอย่างหนึ่ง ยิ่งห้ามไม่ให้ทำนู้นทำนี่เท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถึงแม้จะเป็นการฟังเพลง ดื่มสุราและชื่นชมหญิงงามเช่นเดียวกัน แต่การไปเข้าหอนางโลมกับการมาจิบชา ดื่มสุราที่หนิงเซียงเก๋อ อย่างไรก็ดูมีสง่าราศีมากกว่า

 

 

อีกทั้งหญิงงามในหนิงเซียงเก๋อล้วนเป็นหญิงงามที่แท้จริง มิใช่หญิงงามที่แต่งหน้าแต่งตัวจัด คอยส่งเสียงออดอ้อนเช่นในหอนางโลม หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองงดงาม ใบหน้าอ่อนหวาน สวมชุดแบบเดียวกันสีเดียวกันคอย…ถือถาดอยู่ในหนิงเซียงเก๋อ ส่วนหญิงงามที่ทำการแสดงฉิน หมาก เขียนอักษร วาดภาพ แต่งโคลงกลอน และร่ายรำ ยิ่งเป็นหญิงงามในหมู่หญิงงามขึ้นไปอีก

 

 

อย่าว่าแต่ในเขตซีเป่ยที่ไม่ค่อยมีหญิงงามเลย ต่อให้เป็นผู้มีความรู้จากเจียงหนานที่มีหมู่บ้านสาวงาม ก็ยังต้องมัวเมากับสาวงามของที่นี่

 

 

เยี่ยหลีนั่งอยู่ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของหนิงเซียงเก๋อ นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ยามนี้ก็เป็นเวลาค่ำคืนแล้ว แต่ทั่วทั้งเมืองหรู่หยาง ยังคงจุดโคมไฟกันสว่างจ้าประหนึ่งในเวลากลางวัน

 

 

ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน มีการจัดเวทีแสดง และดูเหมือนมีการเล่นอันใดสักอย่างกันอยู่ ด้านล่างผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ดูจะครึกครื้นยิ่งกว่ายามกลางวันเสียอีกหลายส่วน

 

 

“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดพระชายาถึงยังออกมาอีกหรือ” เหยาจีอยู่ในชุดหลัวสีแดง ความงามที่เคยมีฟื้นฟูกลับมาแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ถึงแม้ดูแล้วจะยังไม่งดงามหยาดเยิ้มเท่าแต่ก่อน แต่กลับดูอ่อนหวานตราตรึงใจขึ้นหลายส่วน

 

 

เมื่อผลักประตูเข้ามา เหยาจีก็เอาหลังพิงประตู พร้อมเอ่ยถามกลั้วหัวเราะขึ้น

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พอดีอยู่ว่างๆ ไม่มีอันใด จึงออกมาดูเสียหน่อย เจ้าทำหนิงเซียงเก๋อได้ไม่เลวทีเดียว”

 

 

เหยาจีเบ้ปากเอ่ยว่า “ไม่เลวจริงๆ ต้องขอบคุณพระชายาที่สงสารและเห็นใจสาวงาม มิเช่นนั้นหากหญิงงามจำนวนมากในหนิงเซียงเก๋อตกไปอยู่ในวังวนของหญิงคณิกาแล้ว คงน่าเสียดายไม่น้อย”

 

 

เยี่ยหลีมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ผู้ใดบอกว่ามีหญิงงามก็ต้องเปิดหอนางโลมเล่า หอนางโลมภายใต้เทียนอี้เก๋อมีอยู่ตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องเปิดเพิ่มอีกหรอก อีกอย่างไม่แน่ว่าหนิงเซียงเก๋อจะทำเงินได้น้อยกว่าโรงละครชิงเฉิงของเจ้า?”

 

 

เหยาจียิ้มพยักหน้า “พระชายากล่าวได้ถูกต้องนัก” ค่าใช้จ่ายในหนิงเซียงเก๋อสูงลิบลิ่วจนเหยาจีที่เคยเปิดกิจการหอนางโลมอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยังถึงกับต้องกัดลิ้น แต่กระนั้น กิจการช่วงสองสามวันนี้กลับไม่เลวเลยทีเดียว ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็หาเงินได้จนเต็มไห ดังนั้น มีประโยคหนึ่งพูดไว้ได้ไม่เลวว่า มนุษย์เรานี่หนา…เกิดมาก็มักฝักใฝ่ทางต่ำ!

 

 

“เจ้าจำไว้ว่า คนที่คิดอยากได้แม่นางไว้อยู่เป็นเพื่อน ให้พวกเขาออกไปตามหาตามโรงละครพวกนั้นเอาเอง ที่หนิงเซียงเก๋อเรามีแต่สุราที่รสเลิศที่สุด อาหารที่รสชาติดีที่สุด ดนตรีที่ไพเราะที่สุด การร่ายรำที่งดงามที่สุดและการแสดงความสามารถที่สวยงามที่สุดไว้คอยบริการเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีทั้งสิ้น!” เยี่ยหลีมองบรรยากาศด้านล่างไปพลาง เอ่ยสั่งการไปพลาง

 

 

เหยาจีพยักหน้า “เหยาจีเข้าใจแล้ว จะว่าไป…วันนี้ตอนกลางวัน หลีอ๋อง กับองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงกับเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งซีหลิงมากันที่นี่ด้วยนะเพคะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “หนิงเซียงเก๋อมีชื่อเสียงขึ้นมาเร็วเกินไป พวกเขาไม่มาสิถึงจะแปลก ไม่ต้องสนใจพวกเขา ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น”

 

 

เหยาจีปิดปากยิ้ม “ยามนี้ข้าเชื่อที่พระชายากล่าวว่า หนิงเซียงเก๋อมีไว้เพื่อหาเงินแล้วเพคะ เพียงแต่ ช่วงนี้คงคึกคักมากหน่อย แต่หากคนเหล่านี้ไปกันหมดแล้ว…”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “เจ้าวางใจเถิด ครานี้คนจำนวนมากเช่นนี้มากันแล้วก็จะไม่ไปที่อื่นกันหรอก ต่อจากนี้จะมีคนมาที่นี่มากกว่านี้เสียอีก แล้วคงต้องให้หนิงเซียงเก๋อช่วยอีกแรง บอกพวกคนมีเงินเหล่านั้น ถึงข้อดีของการลงหลักปักฐานและทำการค้าในเมืองหรู่หยาง…”

 

 

“เหยาจีเข้าใจแล้ว” เหยาจีเดินไปที่หน้าต่าง มองตามสายตาเยี่ยหลีไปที่ด้านนอกด้วยความสงสัย “พระชายากำลังมองอันใดอยู่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีชี้ไปที่ลานประลองแสดงฝั่งตรงข้ามที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วเอ่ยถามว่า “นั่นพวกเขากำลังทำอันใดกัน”

 

 

เหยาจียิ้ม “จัดเวทีประลองน่ะสิเพคะ หลายวันนี้คนที่มาหรู่หยางมิได้มีแต่พ่อค้าจำนวนมาก แต่ท่านอ๋อง คุณชายและจอมยุทธ์จากเจียงหูก็มากเช่นกัน เวทีประลองนั้นจัดมาสองวันแล้ว แต่ดูเหมือนคนจัดเวทีประลองจะเป็นคนเป่ยหรง ผู้ชนะจะได้มีดล้ำค่าที่ฝังเพชรนิลจินดาจำนวนหนึ่งเล่ม ค่าประลองหนึ่งครั้ง ห้าสิบตำลึง สองวันมานี้คนจัดเวทีประลองดูจะได้เงินไปไม่น้อย”

 

 

ถ้าเทียบกับมีดอันล้ำค่าที่ฝังเพชรนิลจินดาประดับไว้แล้ว เงินห้าสิบตำลึงย่อมไม่ถือว่ามากมายอันใด แต่หากไม่มีคนสามารถเอาชนะได้ คนที่จัดการประลองนั้นก็เท่ากับไม่จำเป็นต้องเสียอันใดเลย เงินห้าสิบตำลึงนั่นเพียงพอที่จะให้ครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปใช้ชีวิตกันไปสองถึงสามปีเลยทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ประลองอันใดกันถึงได้ยากเพียงนั้น?”

 

 

เหยาจีเอ่ยว่า “ยิงธนูเพคะ”

 

 

“ยิงธนู?” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ดูท่าคนเป่ยหรงที่เป็นจัดการประลองจะมั่นใจในฝีมือการยิงธนูของตนไม่น้อยทีเดียว ต้องบอกก่อนว่า ยามนี้เมืองหรู่หยางเป็นสถานที่เช่นไร กองทัพตระกูลม่อตั้งฐานทัพอยู่ที่นี่ ยอดฝีมือของกองทัพตระกูลม่ออย่างหน่วยเฮยอวิ๋นฉีกว่าครึ่ง ประจำการอยู่นอกเมืองหรู่หยาง และคนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทั้งหมด เรียกได้ว่าหากเลือกมาหนึ่งคนจากร้อยคน จะต้องมีฝีมือการยิงธนูขั้นเทพ

 

 

เหยาจีหันมองไปด้านนอก แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “พระชายา นั่นใช้นายทหารชั้นผู้น้อยของกองทัพตระกูลม่อท่านหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีมองออกไปด้านนอก ก็เห็นว่านายทหารชั้นผู้น้อยที่อายุยังน้อยไปเบียดเสียดกันอยู่ด้านหน้าฝูงชนแล้ว และก็เป็นอวิ๋นถิงกับนายทหารชั้นผู้น้อยในค่ายกองทัพตระกูลม่อที่เคยประมือกับนางมาก่อนจริงๆ ดูท่าสองคนนี้จะมีมิตรสัมพันธ์ต่อกันที่ไม่เลวทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “ไปกันเถิด พวกเราก็ไปดูกัน พลธนูขั้นเทพจากเป่ยหรงผู้นี้ มีตรงใดที่เลิศล้ำกว่าผู้อื่นกัน”

 

 

เหยาจียิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอไปร่วมชมเรื่องสนุกๆ ด้วยนะเพคะ พระชายา เชิญ”