ตอนที่ 212-1 แสดงฝีมือการยิงธนูในลานประลอง

ชายาเคียงหทัย

เวทีลานประลองตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม เยื้องกับหนิงเซียงเก๋อ เยี่ยหลีเดินเข้าไปก็เห็นว่าบนเวทีมีดาบฝังเพชรนิลจินดาวางเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวที หากอีกฝ่ายมิได้มีความมั่นใจในฝีมือการยิงธนูของตนอย่างมากแล้ว ก็คงมีเงินมากจนไม่รู้จะเอาไปทำอันใด

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าดาบเล่มนั้นเป็นอย่างไร เพียงแค่อัญมณีสารพัดชนิดที่ฝังอยู่บนดาบทั้งทับทิม ไพลิน หยกเขียวบนดาบก็เรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้แล้ว

 

 

“ฉินเฟิง” เยี่ยหลีเอ่ยเรียงเสียงเบา

 

 

ฉินเฟิงที่ติดตามนางอยู่ด้านหลังก้าวขึ้นมาหา เอ่ยเสียงต่ำว่า “พระชายา มีอันใดจะสั่งการพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดนักรบของเป่ยหรง “สืบประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ที”

 

 

ฉินเฟิงหันมองชายบนเวที พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “รับบัญชา”

 

 

ทั้งสามยืนดูเหตุการณ์เวทีอยู่ด้านหลังฝูงชน อวิ๋นถิงที่อยู่ด้านหน้ากระโดดขึ้นไปบนลานประลองแล้ว เขามองชายเป่ยหรงผู้นั้นด้วยสายตาถือดี “เจ้าว่ามาเถิด เวทีประลองนี้ต้องประลองอย่างไร”

 

 

ชายเป่ยหรงผู้นั้นกวาดตามองอวิ๋นถิงขึ้นลงทีหนึ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ก็จะมาประลองด้วยเช่นกันหรือ คงไม่แม้แต่สายธนูก็ยังดึงไม่ไหวหรอกนะ ธนูกล้าของพวกเราเป่ยหรงไม่แพ้ของต้าฉู่หรอกนะ”

 

 

อวิ๋นถิงยิ้มเย็น เอ่ยว่า “หากไม่ประลองแล้วข้าจะขึ้นมาทำไม มาคุยเล่นกับเจ้าหรือ” ก่อนออกเดินไปยังจุดที่วางคันธนูอยู่พร้อมหยิบลูกธนูขึ้นมาด้วยดอกหนึ่ง เขาง้างออกแล้วยิงไปทางเสาข้างเวทีที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ ทันที ได้ยินเพียงเสียงดังฉึก ลูกธนูก็ปักเข้าไปอยู่ในเนื้อไม้ถึงสามส่วน

 

 

แขกที่ดูอยู่ด้านข้างก็ต่างพากันตะโกนว่าดีๆ ไม่ได้หยุด

 

 

ชายเป่ยหรงเองก็ปรบมือให้ ยิ้มเอ่ยว่า “ดี ไม่คิดว่าคุณชายท่านนี้จะมีฝีมือเป็นเลิศเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็มาเริ่มกันเถิด”

 

 

อวิ๋นถิงส่งเสียงหึเบาๆ ก้มหน้าลงมองคันธนูในมือ โดยมิได้สนใจอีกฝ่าย

 

 

ชายเป่ยหรงผู้นั้นก็มิได้สนใจ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “กฎมีอยู่ง่ายมาก ข้าน้อยได้ยินมาว่า ที่จงหยวนของพวกท่านมีคำกล่าวที่ว่า ยิงใบไม้ขณะก้าวเดิน พวกเราชาวเป่ยหรงไม่ชอบเล่นอันใดเดิมๆ เหล่านั้น ยิงใบไม้ขณะก้าวเดินไม่เอาก็แล้วกัน คุณชายเชิญดูทางนั้น”

 

 

เมื่อมองตามมือเขาไปก็เห็นว่า ห่างจากเวทีประลองไปประมาณเจ็ดแปดสิบก้าว มีต้นไม้ขนาดใหญ่มหึมาอยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้นั้นมีเชือกห้อยลงมาอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และปลายเชือกทุกเส้นก็มี ลวดทองแดงห้อยต่อท้ายอยู่ ยามนี้ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ถึงแม้จะมีการจุดไฟกันเต็มท้องถนนจนสว่างไสวประหนึ่งยามกลางวัน แต่ถึงอย่างไรก็สว่างสู้เวลากลางวันจริงๆ ไม่ได้ หากไม่เพ่งมองให้ดี แม้แต่เชือกที่ห้อยลวดทองแดงอยู่ก็ยังมองไม่ชัด ลมอ่อนๆ ยามค่ำคืนที่พัดผ่าน ทำให้ลวดทองแดงพัดมากระทบกันจนเกินเป็นเสียงกังวานใส

 

 

ได้ยินเพียงชายผู้นั้นเอ่ยว่า “ด้านบนนั้นมีลวดทองแดงอยู่ทั้งหมดสามสิบเส้น ขอเพียงคุณชายสามารถยิงทั้งหมดลงมาได้ ดาบเล่มนี้ก็จะเป็นของท่าน กำหนดเวลาที่ครึ่งก้านธูป ลูกธนูสิบดอก”

 

 

ความหมายก็คือ ภายในเวลาครึ่งก้านธูป จะต้องยิงเชือกทองแดงทั้งหมดสามสิบเส้นให้ได้โดยใช้ลูกธนูเพียงสิบดอก

 

 

“อวิ๋นถิง…” เฉินอวิ๋นที่อยู่ด้านล่างเวทีขมวดคิ้ว ด้านทักษะการยิงธนูเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าอวิ๋นถิง แต่เท่าที่เขาดูแล้ว การใช้ลูกธนูสิบดอกยิงลวดทองแดงสามสิบเส้นนั้นเป็นไปไม่ได้ และเชือกทองแดงเหล่านี้ ก็ผูกไว้สูงต่ำต่างกัน หากคิดจะยิงหลายๆ เส้นให้ตกพร้อมกันโดยใช้ลูกธนูดอกเดียว แค่คิดก็รู้แล้วว่ายากเพียงใด หากเทียบกับการยิงใบไม้ขณะก้าวเดินแล้ว ความยากของการประลองนี้ไม่รู้ว่ายากกว่าสักกี่เท่า

 

 

อวิ๋นถิงจ้องมองต้นไม้ใหญ่ที่ห่างไปหลายสิบก้าวอยู่พักใหญ่ เขาส่งเสียงหึเบาๆ แล้วยกธนูขึ้นง้าง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้อง ลูกธนูทะยานออกจากคันธนู พุ่งตรงไปทางเชือกทองแดงที่อยู่ใต้เงาไม้ทันที

 

 

เสียงเล็กกังวานใสดังขึ้นสามสี่ที เชือกทองแดงเส้นหนึ่งก็ถูกยิงทะลุผ่าตรงกลางไป ลูกธนูมีพละกำลังพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรง ลวดทองแดงจึงแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยหลายชิ้นตกลงกับพื้น พลังของธนูดอกนั้นยังไม่หมด พุ่งเข้าตัดลวดทองแดงอีกเส้นที่แขวนอยู่ก่อนไปปักเข้ากับต้นไม้

 

 

“ดี!” คนที่ดูอยู่ด้านล่างพากันตะโกนต่อๆ กันว่าดีๆ ไม่ได้หยุด ค่ำมืดเช่นนี้แต่ยังสามารถยิงธนูดอกเดียวโดนเชือกสองเส้นได้ ฝีมือธนูเช่นนี้ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าประโยคที่ว่ายิงใบไม้ขณะก้าวเดินแน่

 

 

ชายเป่ยปรงที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกลับมิได้ดูตื่นตกใจแม้แต่น้อย อวิ๋นถิงที่อยู่บนเวทีและเฉินอวิ๋นที่อยู่ด้านล่างก็ต่างมิได้พูดอันใด คนที่รู้จักการยิงธนูต่างรู้ดีว่า ยิ่งยิงไปหลังๆ ยิ่งยาก ฝีมือการยิงธนูของอวิ๋นถิงไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะยิงถูกทั้งหมดสามสิบเส้น

 

 

เมื่อเห็นอวิ๋นถิงยกคันธนูขึ้นเล็งยิงอีกครั้ง สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปยังลวดทองแดงใต้ต้นไม้ จนเมื่ออวิ๋นถิงยิงไปจนถึงดอกที่เจ็ด ก็มีลวดทองแดงใต้ต้นไม้เหลืออยู่สิบห้าเส้น

 

 

ฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นข้างกายเยี่ยหลีอย่างไร้ซุ่มเสียง เหยาจีที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีถึงกับสะดุ้งเฮือก

 

 

เยี่ยหลีเอียงศีรษะไปหาฉินเฟิงเล็กน้อย แล้วฉินเฟิงก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นคนเป่ยหรงจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่มิใช่คนเป่ยหรงธรรมดาๆ แต่เป็นแม่ทัพศึกฝีมือดีของเฮ่อเหลียนเจิน อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นยอดนักแม่นธนูของเป่ยหรง ดาบที่เขานำมาเป็นของรางวัลก็ไม่ธรรมดา นั่นเป็นดาบที่เป่ยหรงอ๋องประทานให้เฮ่อเหลียนเจินในยามที่เขายังเป็นที่โปรดปรานอยู่พ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าเพียงลมพัดก็ตัดผมขาดได้ทันที คมกล้าอย่างหาใดเปรียบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“อ้อ?” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว อมยิ้มเอ่ยว่า “ยอมให้นักแม่นธนูของเป่ยหรงมาถึงหรู่หยางเพื่อแสดงความสามารถและจัดการประลองอย่างนั้นหรือ”

 

 

ฉินเฟิงยิ้ม “เขามาจัดเวทีที่นี่ดูจะไม่เกี่ยวกันใดกับเป่ยหรงอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่เฮ่อเหลียนเจินไม่เป็นที่โปรดปราน ก็มีผู้มีอำนาจหลายฝ่ายที่ต้องการเอาเขาไปเป็นพวก แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธกลับมาทั้งหมด ถึงขั้นว่าแม้แต่ตำแหน่งทางการทหารเขาก็ไม่เอา ดังนั้นในยามนี้เขาก็เป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา ขอเพียงเขาไม่กระทำการอันใดที่ผิดกฎแห่งแคว้น เขาอยากจะจัดเวทีประลองที่ใดก็ไม่มีผู้ใดทำอันใดเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ด้วยเพราะซื่อจื่อเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา เมืองหรู่หยางจึงได้ส่งจดหมายเชื้อเชิญออกไปยังทุกพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการประกาศว่า เมืองหรู่หยางยินดีต้อนรับคนจากทุกพื้นที่และทุกแว่นแคว้นให้มาทำกิจการหรือเดินทางท่องเที่ยวที่นี่ได้ ดังนั้นหลายวันนี้จึงมียอดฝีมือจากอู่หลินและนักเดินทางจากเจียงหูเดินทางเข้ามาจำนวนไม่น้อย ที่นี่จึงมีเวทีประลองตั้งขึ้นมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งนักปราชญ์และนักกวี แต่แน่นอนว่าโดยมากมักเป็นพ่อค้าแม่ค้าและนักเดินทางที่เดินทางมาตามข่าวเสียมากกว่า

 

 

เยี่ยหลีหันกลับไปมองเขาทีหนึ่ง อมยิ้มเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเขาก็เป็นคนของเยียหลี่ว์เหยี่ย?”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเย็น “เยียหลี่ว์เหยี่ยตัวดี องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงอีกคน!”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยรู้ทั้งรู้ว่าว่าหรู่หยางเป็นเมืองที่กองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีประจำการอยู่ แต่กลับส่งคนเช่นนี้มาก่อกวน นี่ไม่ได้อยากบอกให้ทุกคนรู้หรือว่า ฝีมือการยิงธนูของกองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มีเพียงเท่านี้?

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีเริ่มมีน้ำโห ฉินเฟิงจึงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “พระชายา ให้ข้าน้อยส่งคนไปจัดการเขาไหมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฝีมือการยิงธนูที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ต่อให้เป็นหน่วยกิเลนก็หาคนทำได้น้อยนัก แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงกับไม่มีเลย ยามนี้ในหน่วยกิเลนที่มีอยู่หลายร้อยคน ก็มีสักเจ็ดแปดคนที่สามารถสู้เขาได้ แต่หากเป็นที่เป่ยหรงก็ไม่แน่ว่าจะมีคนที่มีความสามารถเช่นเดียวกับคนตรงหน้า มิเช่นนั้นแล้ว จะเรียกเขาว่าเป็นยอดนักแม่นธนูแห่งเป่ยหรงได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “ของชั้นเลวเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือหน่วยกิเลนหรอก ไม่แน่ว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยก็คิดอยากเห็นฝีมือของหน่วยกิเลนก็เป็นได้”

 

 

หน่วยกิเลนใช่หน่วยที่ใครคิดอยากจะพบก็พบได้หรือ ที่เรียกว่าหน่วยพิเศษ ไม่ว่าในยุคสมัยใดต่างก็มีชื่อเรียกที่ฟังดูลึกลับทั้งสิ้น หากทุกคนล้วนคาดเดาความสามารถในการรบของพวกเขาได้แล้ว แล้วพวกเขาจะเป็นไพ่ตายลับได้อย่างไร

 

 

“ดูท่าอวิ๋นเสี้ยวเว่ยจะแพ้แน่แล้ว” ฉินเฟิงชี้ทางอวิ๋นถิงที่เตรียมจะเล็กธนูดอกสุดท้าย บนต้นไม้ยังมีลวดทองแดงแขวนอยู่อีกสิบสามเส้น ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นถิงก็ไม่มีทางยิงเชือกที่เหลือทั้งหมดตกลงมาได้ภายในธนูดอกเดียว

 

 

เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “คนหนุ่มสาว ดับความหุนหันลงบ้างก็ถือเป็นเรื่องดี แพ้ให้กับยอดนักแม่นธนูแห่งเป่ยหรง เขาเองก็ไม่เสียหาย”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “พระชายากล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ธนูดอกสุดท้ายของอวิ๋นถิงยิงถูกลวดทองแดงถึงสามเส้นในคราเดียว แต่ถึงกระนั้น การประลองครานี้ก็เป็นอวิ๋นถิงที่พ่ายแพ้

 

 

บนใบหน้าอ่อนเยาว์เรียบเย็นประดุจน้ำแข็ง แต่ยังดูมีแววผิดหวังที่สังเกตเห็นได้ไม่ชัดนักอีกด้วย

 

 

“คุณชายท่านนี้ ท่านแพ้แล้ว ห้าสิบตำลึงขอรับ”

 

 

อวิ๋นถิงหยิบเงินก้อนห้าสิบตำลึงออกมาจาหน้าอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วส่งให้ชายเป่ยหรงก่อนก้าวลงจากเวทีไป

 

 

“ไม่รู้ว่ายังมียอดฝีมือท่านใดอยากขึ้นมาลองดูอีกหรือไม่” ชายผู้นั้นเก็บเงินเข้ากระเป๋าก่อนหันไปเอ่ยอย่างยิ้มแย้มให้กับแขกเหรื่อทางด้านล่าง

 

 

“แม้แต่คนของกองทัพตระกูลม่อยังสู้ไม่ได้ แล้วจะยังไม่ผู้ใดสามารถเอาชนะได้อีกหรือ” คนหนึ่งในฝูงชนด้านหน้าเวทีเอ่ยเสียงดังขึ้น แล้วสายตาทุกคู่ก็เลื่อนไปจับจ้องที่อวิ๋นถิงทันที

 

 

ชายบนเวทีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อ้อ? ที่แท้น้องชายท่านนี้ก็เป็นทหารของกองทัพตระกูลม่อหรือ เสียมารยาทไปแล้วจริงๆ ข้าน้อยได้ยินว่าในกองทัพตระกูลม่อ ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือเป็นหนึ่งจากในร้อยที่ได้รับเลือกขึ้นมา ไม่รู้ว่ายังมีทหารของกองทัพตระกูลม่อคนใดที่อยากขึ้นมาชี้แนะอีกหรือไม่ คุณชายท่านนี้ว่าอย่างไร”

 

 

เขามองลงไปที่เฉินอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างอวิ๋นถิง ในน้ำเสียงเขาเจือแววท้าทายอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ฝีมือยิงธนูของเฉินอวิ๋นและอวิ๋นถิงถือได้ว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ในยามนี้จะขึ้นไปก็ไม่ดี ไม่ขึ้นไปก็ไม่ดี อวิ๋นถิงหน้าบี้งลงทันที รู้ตัวว่าด้วยความทะนงตนของตนทำให้เฉินอวิ๋นต้องเดือดร้อนไปด้วย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้น กลับมีมือของเฉินอวิ๋นยื่นมาดึงเขาไว้

 

 

เฉินอวิ๋นใช้ความคิดเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้น ก็ได้ยินเสียงอันไพเราะและกังวานก้องดังมาจากด้านหลัง “ถ้าเช่นนี้ ข้าขอลองดูได้หรือไม่ แม่ทัพฮูเหยียนแห่งเป่ยหรง?”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป เมื่อครู่มัวแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับอวิ๋นถิงที่กำลังยิงธนู และด้วยเพราะเป็นยามกลางคืน เยี่ยหลีและเหยาจียืนกันอยู่ที่ด้านหลังฝูงชนในจุดที่ไม่สะดุดตา คนที่ออกันอยู่หน้าเวทีประลองจึงไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตว่าในหมู่ฝูงชนยังมีสตรีที่งดงามยืนอยู่อีกสองคน