ซูอี้มองดูหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงเล็กน้อย คล้อยหลังในใจก็ค่อยเข้าใจขึ้นมาอย่างเลือนราง

 

เขาหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวมอย่างสบายๆ ทั้งยังกล่าวถามอย่างไม่ใส่ใจไปพลาง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

 

“ด้าน…ด้านนอก…” หญิงสาวคนนั้นเผยสีหน้าซีดเผือด ชี้นิ้วที่สั่นเทาออกไปยังทิศทางประตูใหญ่

 

ซูอี้กวาดสายตามองไป สาวใช้ที่พูดก่อนหน้านี้ว่าจะคอยอยู่ด้านนอกได้เดินออกไปอย่างไม่เห็นเงาแล้ว

 

มิเช่นนั้น ก็คงไม่ปล่อยให้หญิงสาวผู้นี้พุ่งเข้ามาได้หรอก

 

ด้านของเขานั้นเมื่อจัดแจงใส่เสื้อผ้าอย่างเอื่อยเฉื่อยเสร็จแล้ว นอกเรือนก็ได้ยินเสียงสาวใช้คนก่อนหน้าพูดขึ้น “คุณชายรอง ท่านเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วหรือยัง…”

 

ขณะที่พูดก็เดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน

 

ประตูห้องนี้เปิดออกกว้าง นางมองเข้ามาก็ตกใจเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อเห็นหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้าซูอี้ก็ตกใจมากขึ้นไปอีก แววตานั้นประกายความตื่นตระหนก โพล่งออกไป “นี่…”

 

พูดจบก็สั่นสะท้าน หมุนกายเพื่อเตรียมจะออกไปด้านนอก แต่กลับช้าไปหนึ่งก้าว

 

ด้านนอกปรากฏเสียงหัวเราะร่าขึ้นมา ชิ่งเฟยได้นำเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ไม่กี่คนเดินผ่านมาอีกครั้งอย่าง ‘บังเอิญ’ พอดี

 

มีคนกวาดสายตาเข้ามาด้านในเรือนนี้ ก็พบถึงความผิดปกติอย่างทันที

 

“นั่นไม่ใช่คุณชายรองซูหรือ ที่นี่คือ…” ฮูหยินคนหนึ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ

 

ทั่วทั้งใบหน้าของชิ่งเฟยชะงักค้างไป ยืนอยู่ตรงนั้นค่อนวันก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้…

 

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

 

ฉู่เยว่ซินรับปากนางอย่างชัดเจนว่าทั้งหมดล้วนจัดการอย่างเรียบร้อยแล้ว!

 

ซูอี้ใช้สายตาแหลมคมสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง ก็กระจ่างใจทันที ยกชุดคลุมขึ้นก้าวเดินออกไปหาอย่างไม่รีบร้อน เผยรอยยิ้มทั้งยกมือประสานคารวะ “พระชายา ฮูหยินทุกท่าน ช่างบังเอิญเสียจริงที่เจอท่านทั้งหลายที่นี่อีกครั้ง”

 

คำพูดนี้แน่นอนว่าย่อมกล่าวให้ชิ่งเฟยฟัง

 

ชิ่งเฟยบังคับสติกลับคืนมา เดิมนางคิดอยากจะก้าวเท้าเข้าไปในเรือนนั้น ทว่าซูอี้กลับขวางอยู่ที่หน้าประตูพอดี หากนางเข้าไปใกล้ก็จะดูเหมือนว่าจงใจ จึงทำได้เพียงยืนกล่าวอยู่ด้านนอก “คุณชายรองซูไม่ใช่ว่ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกหรือ? ด้านในนั้นคือ…”

 

แม้ว่าในห้องนั้นจะมีเด็กสาวคนหนึ่ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หลัวอวี่ก่วน

 

ตอนนี้สาวใช้สุ่ยอวี้คนนั้นของฉู่เยว่ซินก็ยังยืนอยู่ในเรือน เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นฝ่ายของฉู่เยว่ซินที่เกิดปัญหา

 

“ไม่ทราบเช่นกัน!” ซูอี้หันกลับไปมองหนึ่งที กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนอันใด “จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา ข้าจึงยังไม่ทันได้ถามอะไร!”

 

ขณะที่พูดก็หันกลับมาโบกมือเรียก “เจ้าออกมาพูดให้ชัดเจนสิ!”

 

หญิงสาวคนนั้นหยัดกายขึ้นด้วยตัวสั่นงันงก แข้งขาอ่อนแรงทั้งยังซวนเซอยู่บ้าง ถลาออกมาอย่างตื่นตกใจ นางไม่ได้มาทางประตูด้านนี้ แต่กลับพุ่งไปดึงประตูห้อง ชี้ไปทางสวนดอกไม้มุมหนึ่งของเรือน กล่าวด้วยเสียงสั่น

 

“ที่นั่น…ที่นั่นมี…มีคนตายเจ้าค่ะ!”

 

คำพูดเช่นนี้เมื่อออกมา ต่างก็พาทุกคนตกอกตกใจ

 

ซูอี้ขมวดคิ้ว บิดตัวก้าวเข้าไปในเรือนเป็นคนแรก เดินเข้าไปแหวกพุ่มดอกไม้ด้านนั้นดู ก็พบกับหญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูอ่อนคนหนึ่งล้มลงอยู่ด้านหลังจริงๆ

 

เพราะว่าคว่ำหน้าอยู่บนพื้น จึงมองไม่เห็นหน้า

 

พวกของชิ่งเฟยค่อยๆ ก้าวเข้ามาจากด้านนอก

 

พวกฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายเมื่อเห็นภาพนั้นใบหน้าพลันซีดขาว ขณะนั้นก็มีคนอุทานด้วยความตกใจทันที

 

“เร็วเข้า! รีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้!”

 

สาวใช้ที่ติดตามมารีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ชิ่งเฟยก็ดูแปลกประหลาดใจไปสักพักหนึ่งเช่นกัน ฉวยโอกาสตอนที่ศพนั้นดึงความสนใจของทุกคนเอาไว้ รีบลอบส่งสายตาแลกเปลี่ยนเป็นนัยกับสุ่ยอวี้

 

สุ่ยอวี้ก็ส่ายศีรษะอย่างมึนงงอยู่บ้างเช่นกัน

 

ไม่นานนักหญิงแก่ที่มีหน้าที่ดูแลคนหนึ่งก็พาองครักษ์ของวังบูรพาเข้ามา ออกคำสั่งให้คนลากหญิงสาวคนนั้นออกมาจากพุ่มดอกไม้ เมื่อยกมือลองวัดลมหายใจ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา “เพียงแค่หมดสติไปเท่านั้นเจ้าค่ะ!”

 

ขณะที่พูดก็เข้าไปจับตัวนาง

 

เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นแล้ว ก็มีคนจำใบหน้าของนางได้อย่างทันที กล่าวอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เซียงเฉ่า สาวใช้ที่คุณหนูหลัวอวี่ก่วนพามาด้วยหรอกหรือ?”

 

สาวใช้ของหลัวอวี่ก่วน?

 

ชิ่งเฟยเมื่อได้ฟังก็ราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หันศีรษะไปมองด้านหลังของห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกกระโปรงขึ้นก้าวเข้าไปอย่างรีบเร่ง

 

“พระชายา!” หลานซีตกใจกับการกระทำที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของนาง รีบร้อนตามเข้าไปด้วย

 

คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ตามเข้าไปโดยสัญชาตญาณ

 

ชิ่งเฟยพุ่งเข้าไปในห้อง ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ห้องโถงใหญ่แต่อย่างใด กลับถลาเข้าไปในห้องนอนด้านใน เปิดแง้มม่านไข่มุกออกครึ่งหนึ่ง มองลอดเข้าไปด้านใน…

 

กลับพบว่าบนเตียงด้านหนึ่งมีเงาของคนนอนอยู่ โดยหันหน้าไปทางด้านในเตียงแกะสลัก ร่างส่วนบนนั้นคลุมไปด้วยผ้าห่ม ส่วนด้านในสวมเพียงชุดตัวในเท่านั้น

 

ชิ่งเฟยตกตะลึง ใบหน้าของนางกลับดำคล้ำขึ้น กล่าวอย่างบันดาลโทสะ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

เมื่อครู่ซูอี้เพียงแต่วุ่นอยู่กับการเปลี่ยนชุดคลุมอยู่ในห้องรับแขกเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าด้านในจะมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่

 

ทว่าก็เหลือบมองคนผู้นั้นไปหนึ่งที แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้า แต่เขาก็หัวเราะออกมา “เอ๋ เหตุใดที่นี่ยังมีอีกคนอยู่ล่ะ? ก่อนหน้านี้ข้าไม่ยักจะสังเกตเห็น!”

 

“คุณชายรองไม่ทันสังเกตเห็น?” ชิ่งเฟยเลิกคิ้วขึ้น ในแววตานั้นแฝงไปด้วยการบีบเค้นอยู่กลายๆ

 

“เมื่อชั่วครู่ ข้าเพียงอยู่ตรงด้านนอกสักพักเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้สังเกตเห็น!” ซูอี้กล่าว เผยรอยยิ้มรับนางอย่างเป็นธรรมชาติ

 

คนอื่นๆ ก็เริ่มซุบซิบคาดเดากันด้วยเสียงเบาขึ้นมา

 

ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ฮูหยินใหญ่ที่ได้รับข่าวก็รีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าได้ยินว่าที่นี่มีคนตาย? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

 

“มิใช่เจ้าค่ะ! เพียงแค่สาวใช้นางหนึ่งเป็นลมไปก็เท่านั้นเจ้าค่ะ!” หญิงแก่ที่คอยดูแลเรื่องก่อนหน้านี้กล่าวอย่างรีบร้อน ขณะที่พูดก็เผยสีหน้าที่แฝงด้วยความร้อนรนใจมองไปในห้อง รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฮูหยินใหญ่ฟัง

 

ไม่คาดคิดว่าแค่ซูอี้เข้ามาเปลี่ยนชุดก็กลับเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ฮูหยินใหญ่จึงรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติของเรื่องนี้อย่างทันที

 

นางเผยรอยยิ้ม ก้าวมาด้านหน้า กล่าวโดยตรงกับซูอี้ “เป็นเพราะบ่าวพวกนั้นสะเพร่า พาคุณชายรองเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรกัน? คงจะไม่ทำให้ท่านตกใจมากหรอกนะ?”

 

“ข้าไม่เป็นไร ฮูหยินใหญ่ไม่จำเป็นต้องกังวล!” ซูอี้กล่าวยิ้มๆ

 

ชิ่งเฟยกลับมิอาจทิ้งโอกาสนี้ไปได้ กล่าวด้วยมุมปากที่ยกยิ้มอย่างเย็นเยียบ “คุณชายรองซูคิดจะปิดบังพวกเราอย่างส่งๆ เช่นนี้น่ะหรือ?”

 

“ความหมายของชิ่งเฟย ข้ามิอาจเข้าใจได้!” ซูอี้ตอบด้วยท่าทีเช่นเคย ทั้งยังคงเผยรอยยิ้มมองตอบนางไปอยู่อย่างนั้น

 

“ในเรือนจู่ๆ ก็มีสาวใช้เป็นลมอย่างแปลกประหลาด ตอนนี้ก็ยังมีคนอื่นปรากฏตัวเวลาเดียวกันกับท่านในห้องด้วยสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเช่นนี้ หรือท่านจะอ้างว่านี่ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นรึ?” ชิ่งเฟยกล่าวเสียงหนัก มุมปากร้อยเรียงขึ้นอย่างได้รูปเป็นรอยยิ้มเย็นขึ้นมา

 

“สิ่งใดที่เรียกว่าเสื้อผ้าหลุดลุ่ย? ข้าไม่กล้าเสียมารยาทเช่นนั้นต่อหน้าพระชายาหรอก!” ซูอี้กล่าว ยกมือปัดไปตามเสื้อผ้าที่คลุมอยู่บนร่างตนอย่างเรียบร้อย

 

ไม่สามารถดึงตัวสองคนมาเชื่อมโยงกันได้ ตัวเองนั้นกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ชิ่งเฟยประกายตาเย็นเยียบมองเขาไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะกล่าวเสียงดังไปยังด้านนอก “นำตัวสาวใช้คนนั้นของคุณหนูหลัวอวี่ก่วนเข้ามา!”

 

ชิ่งเฟยบีบเค้นผู้อื่นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจเป็นอย่างมาก

 

ฮูหยินใหญ่นั้นขมวดคิ้วขึ้นมา กลับไม่สามารถขัดนางอย่างซึ่งๆ หน้าได้

 

มีคนพยุงเซียงเฉ่าที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติเข้ามา เซียงเฉ่าเห็นสภาพของห้องก็ยังคงหน้ามืดตาลายอยู่บ้าง แต่ชิ่งเฟยนั้นรอต่อไปไม่ไหวแล้ว “เจ้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูหลัวอวี่ก่วนใช่หรือไม่?”

 

“เจ้าค่ะ!” เซียงเฉ่าดึงสติกลับมาเพื่อตอบคำถาม ค่อยๆ ฟื้นคืนความจำก่อนหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนท่าทีจะเปลี่ยน เป็นตื่นตระหนก ตะลีตะลานจนถลาลงไปกับพื้น ร้องไห้เสียงดังออกมา “ท่านทั้งหลายช่วยด้วย ได้โปรดช่วยคุณหนูของบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”

 

—————————————————