เงาสีม่วงกับฮ่องเต้เซิ่ง
“ใช่แล้ว เดิมทีสองสามหมื่นปีให้หลังถึงจะมีการโจมตีเมืองเกิดขึ้น แม้กระทั่งอาจจะมีสงครามร้อยเผ่าในตำนานปะทุขึ้น ล้วนเป็นเพราะเหตุนี้” ภิกษุชราเอ่ยพึมพำ

 

 

“เหตุใดพี่จินเย่ว์ต้องอ้อมค้อมด้วย เรื่องเหล่านี้ข้านั้นรู้อยู่แล้ว แต่เกี่ยวอันใดกับเรื่องที่เราปรึกษากันเมื่อครู่ ตอนนี้ที่เผ่าต่างๆ กำลังหวาดกลัว ก็เพราะกลัวถูกโยงเข้าไปในเรื่องนี้มิใช่หรือ?” นักพรตยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจ

 

 

“กลัวถูกโยงเข้าไป? หึๆ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว มีเผ่าใดบ้างที่หลบเลี่ยงได้ ว่ากันว่าตามธรรมเนียมในอดีตหากสมบัติทมิฬสวรรค์ปรากฏขึ้น จะก่อให้เกิดฝนโลหิตและพายุโหมกระหน่ำที่แท้จริงขึ้น และเผ่าสุดท้ายที่ได้สมบัติชิ้นนี้ไป ก็ต้องอาศัยการเซ่นไหว้บูชาให้สมบัติชนิดนี้ หาผู้ที่อยู่ในระดับวิญญาณเที่ยงแท้มาปกป้องเป็นผู้พิทักษ์ประจำเผ่าของตนเอง ดังนั้นจึงกลายเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งในแดนวิญญาณ ระดับวิญญาณเที่ยงแท้เหล่านี้ อาจจะต้องแข่งขันกับเซียนในแดนเทพเซียน แน่นอนว่าก่อนที่วิญญาณเที่ยงแท้อันแข็งแกร่งจะปรากฏตัว เผ่าที่ได้สมบัติชนิดนี้ไปก็ต้องมีพลังที่จะรักษาสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ หากเผ่าที่ได้สมบัติชิ้นนี้ไปก่อนค่อนข้างอ่อนแอ บางครั้งก็จะรีบส่งมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เผ่าอื่นที่แข็งแกร่งรักษาเอาไว้ด้วยความลนลาน บ้างก็โยนทิ้งไว้ในแดนป่าเถื่อนอันแสนไกล เพื่อไม่ให้ถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์” ภิกษุชราเอ่ยอย่างสนใจแต่เรื่องของตนเอง

 

 

นักพรตยังคงไม่เข้าใจ แต่ครานี้กลับไม่ได้เอ่ยปากตัดบทภิกษุชรา

 

 

หลังจากที่ภิกษุหยุดชะงักเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกว่า

 

 

“ตามหลักการแล้วสมบัติทมิฬสวรรค์ถือกำเนิดในเผ่าใด เดิมทีก็เป็นสิ่งที่สองเผ่าอย่างพวกเรายากจะคาดเดาแล้ว แต่ครั้งนี้ในเผ่าปีศาจมีผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ซึ่งมีความสามารถในการทำนาย รู้ตัวว่าไม่มีหวังที่จะข้ามผ่านด่านเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้ จึงยอมกระตุ้นศักยภาพ ใช้ลมปราณทั้งชีวิตทำนายเบาะแสของสมบัติชิ้นนี้ ผลคือในตำราสำแดงว่ากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ที่ปลายสุดทิศตะวันตกเฉียงเหรือของแผ่นดินเฟิงหยวน ถึงแม้ว่าแผ่นดินเฟิงหยวนจะเป็นแผ่นดินที่เล็กที่สุดในสามแผ่นดิน แต่เป็นที่ที่มีเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่มากกว่าแผ่นดินอื่น ที่ปลายสุดของทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเผ่าอย่างเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่าวิญญาณ เผ่าพฤกษา เผ่ายักษา เผ่าเงาต่างๆ อยู่หกถึงเจ็ดเผ่า นั่นหมายความว่าสมบัติทมิฬสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ อาจจะถือกำเนิดในเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ครานี้ข่าวนี้มีแค่เผ่ามนุษย์และปีศาจเท่านั้นที่รู้ แต่คิดดูแล้วคงปิดได้อีกไม่นาน ถึงอย่างไรเสียในบรรดาคนของสองเผ่าอย่างพวกเราก็ต้องมีสายลับของเผ่าอื่นแฝงตัวอยู่แล้ว ในยุทธภพนี้มีกำแพงใดบ้างที่ไม่มีช่องลม หากเผ่าประหลาดอื่นๆ รู้เข้า ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เจ้าก็น่าจะรู้ดีสินะ”

 

 

ครั้นเมื่อภิกษุชราเอ่ยจนมาถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น

 

 

“อะไรนะ คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นก็หมายความว่า หากเผ่ามนุษย์ของเราไม่ระวังก็อาจจะถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ได้” นักพรตมีสีหน้าเขียวคล้ำ

 

 

“ตามตำนานภายในระยะเวลาหนึ่งหากที่ใดมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งถูกสังหารจำนวนมาก ก็จะสามารถเรียกสมบัติทมิฬสวรรค์มาที่นั่นได้ ด้วยวิธีการบวงสรวงที่ลึกลับ จากกำลังของเผ่าต่างๆ อย่างเรา เผ่าที่แข็งแกร่งเหล่านั้นก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารพวกเราทิ้งเพื่อบวงสรวงหรอก สงครามร้อยเผ่าครั้งที่แล้ว ไม่ได้มี ‘โล่แปลงสวรรค์’ ที่ติดหนึ่งในสี่ของทุกวันนี้ปรากฏขึ้น และถูกเจ้าของเดิมของมันสังหารเผ่าต่างๆ ที่หนีเตลิดเปิดเปิงมานับหมื่นปีในสามแผ่นดินใหญ่ไปเจ็ดแปดส่วน และเผ่าเล็กอันอ่อนแอที่ถูกสังหารเหล่านั้น ก็แทบจะกลายเป็นผู้ถูกบวงสรวงโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าสมบัตินี้จะอยู่ในมือของเผ่าใด ขอแค่เผ่าต่างๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือรู้ตำแหน่งของสมบัติชิ้นนี้ เพื่อหนีจากการบวงสรวงโลหิต ก็จะระเบิดสงครามขึ้นในทันที เพื่อให้เผ่าอื่นๆ ถูกบวงสรวงโลหิต” ภิกษุถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…พวกเจ้าให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบินขึ้นมาสองสามคนออกจากเมืองเทวะสวรรค์ ไปยังแดนของเผ่าประหลาด หรือว่าสงสัยว่า…” ฉับพลันนั้นนักพรตพลันถึงบางอ้อ

 

 

“ใช่! สมบัติทมิฬสวรรค์เป็นสมบัติระดับใด เป็นสมบัติเหนือชั้นที่มีพลังในการพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของของเผ่าวิญญาณของพวกเรา แต่อาจจะเป็นสมบัติทมิฬสวรรค์ที่เอาขึ้นมาจากแดนล่าง ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะน้อย แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีจุดน่าสงสัยซึ่งบินขึ้นมาในรอบร้อยปีนี้ ล้วนถูกข้าต้อนออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์ ไปรับภารกิจที่อันตรายที่สุดที่เผ่าประหลาดแล้ว ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพบว่าตนเองไม่มีทางกลับมาในเมืองเทวะสวรรค์ได้ในระยะเวลาอันสั้น แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นที่น่าสงสัยก็ถูกสลัดออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์เช่นกัน ถูกส่งออกไปยังแดนป่าเถื่อนด้วยเหตุผลต่างๆ นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือชั้น มีพลังที่น่าตกตะลึงกลุ่มหนึ่งก็จะถูกโยกย้ายไปในแดนป่าเถื่อน ผลดีของการกระทำเช่นนี้ หากพวกเขาคนหนึ่งมีกระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ ก็จะทำให้ภัยพิบัติเคลื่อนย้ายไปได้ หากข้าน้อยอยู่ในสงคราม แล้วทั้งสองเผ่าเกิดเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ คนกลุ่มนี้ก็อาจจะเป็นความหวังในการสืบทอดเผ่าทั้งสองของพวกเราอีกครั้ง” ภิกษุเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

 

 

“เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนั้น หากอยากตรวจสอบว่าสมบัติทมิฬสวรรค์อยู่ในมือคนเหล่านั้นหรือไม่ พวกเราก็…”

 

 

“ใช้เคล็ดวิชาลับกระชากจิตวิญญาณ แล้วตรวจสอบสินะ แต่การหาว่ากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณอยู่ในมือของผู้ใดแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมา? ของสิ่งนั้นมันคือเผือกร้อน! เจ้ารับประกันได้หรือว่าในผู้พิทักษ์หรือแม้กระทั่งอาวุโสจะไม่มีเผ่าประหลาดแฝงตัวอยู่ หากข่าวแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงเผ่ามนุษย์ของพวกเราจะตกเป็นเป้าภายในระยะเวลาอันสั้น แม้กระทั่งเผ่าปีศาจก็อาจจะยกเลิกการเป็นพันธมิตรกับเราเพื่อปกป้องตนเอง ถึงครานั้นเผ่ามนุษย์ของพวกเราก็ต้องสูญพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย”

 

 

“พวกเราไม่ใช่เผ่าที่แข็งแกร่งอะไร ไม่มีทางถือสมบัติระดับนั้นเอาไว้จนถึงคราที่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้มาหาเรื่องได้ แม้กระทั่งคิดจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เผ่าที่แข็งแกร่งปกป้อง เดาว่าเผ่าเงาก็คงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปเช่นกัน กลับแสร้งทำเป็นเลอะเลือน ต่อกรกับสงครามที่กำลังจะปะทุก่อนจะดีกว่า ในขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าสมบัติทมิฬสวรรค์อยู่ในมือของผู้ใด การโจมตีพวกเรา ก็อาจจะเกิดขึ้นแค่จากเผ่าพฤกษาและเผ่าเงาร่วมมือกันเท่านั้น จากเผ่ามนุษย์และปีศาจที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเรา ล้วนสามารถต้านทานได้ เผ่าวิญญาณและเผ่ายักษาก็กำลังคึกคัก หลังจากรู้ข่าวนี้ คงจะต่อสู้อย่างหนักหน่วงขึ้น ร้ายแรงสุด เผ่าต่างๆ ของพวกเราก็จะสูญเสียคนไปจำนวนมาก และอาจจะเข้าเงื่อนไขการบวงสรวงสมบัติทมิฬสวรรค์ ไม่ว่าสมบัติชิ้นนี้จะอยู่ในมือของเผ่าใด ขอแค่สมบัติชิ้นนี้ถูกเรียก ถึงครานั้นพวกเราก็ต้องรับมือกับหายนะครั้งนี้ แต่ก่อนที่เผ่าที่แข็งแกร่งเหล่านั้นจะมาสืบหากับพวกเรา ก็ตัดสินแพ้ชนะก่อนจะดีกว่า เดาว่าสงครามครั้งนี้น่าจะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ดำเนินต่อไปเป็นร้อยปี หากเปิดสงครามไม่มีทางรู้ผลได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีแน่ ระดับความอนาถคงมากกว่าในอดีต”

 

 

“หึๆ ผู้ควบคุมของเผ่าอื่น กว่าครึ่งก็คิดไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินว่า คนของเผ่าไหนตั้งใจหากระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณหรือไม่ล่ะ ล้วนแต่เตรียมพร้อมรับสงครามเท่านั้น” ภิกษุชราเอ่ยออกมาอย่างไม่ร้อนรน

 

 

“ข่าวนี้เจ้ารู้มาได้อย่างไร เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เคยได้ข่าวเลย หรือว่าท่านอาวุโสเจตนาปิดบังข้า” ฟังจบ นักพรตก็แววตาเปล่งประกายตะลึงงันอยู่นาน แล้วถึงได้เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้น

 

 

“ง่ายมาก หลังจากที่รู้ว่าฐานะของนายท่านมีปัญหา ถึงได้ทำเช่นนี้ ไม่ทราบว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอรหันต์เหลยหลัวต่อ หรือว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอรหันต์เงาสีม่วง” ภิกษุชราแววตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นน้ำเสียงก็เย็นเยียบอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

 

 

“เงาสีม่วงอะไรกัน ปรมาจารย์จินเย่ว์หมายถึงอะไร?” นักพรตไม่ประหลาดใจเลยสักนิด กลับขมวดคิ้ว

 

 

“หึๆ ดูเหมือนจะถึงเวลาอันสมควรแล้ว น่าจะกำเริบแล้วสินะ” ภิกษุชราไม่สนใจนักพรต กลับกวาดสายตาไป ตกไปบนเชิงเทียนแข็งๆ ที่อยู่มุมห้อง ด้านบนมีธูปหอมถูกจุดอยู่ และเผาไหม้ไปกว่าครึ่งแล้ว

 

 

“ถึงเวลาอะไร? ไม่สิ กลิ่นนี้…” นักพรตแววตาเปล่งประกายสีม่วง สีหน้าเปลี่ยนไป แทบจะในเวลาเดียวกัน บนร่างของนักพรตพลันมีเงาสีม่วงสายหนึ่งบินออกไป กระโจนไปหาภิกษุชราที่อยู่ตรงข้าม

 

 

ภิกษุชราที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่เคลื่อนไหว สะบัดแขนเสื้อไปฝั่งตรงข้าม

 

 

เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ภาษาสันสกฤตปรากฏขึ้น

 

 

เงาสีม่วงดูเหมือนจะถูกสิ่งมหึมาโจมตีจนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับกำแพงของห้องลับ ทันใดนั้นก็สั่นคลอนแล้วหดเล็กลง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

 

 

ในครานั้นกำแพงพลันเปล่งแสงสีเขียวออกมา บาตรหยกสีเขียวปรากฏขึ้น คว่ำลง แล้วพ่นลำแสงสีเขียวออกมา ชั่วพริบตาก็ดูดเงาสีม่วงเข้าไปข้างใน

 

 

“ใช่แล้ว ธูปสี่จิตมีผลในการควบคุมเผ่าเงาสมคำร่ำลือ แม้แต่เงาสีม่วงผู้นี้ยังไม่อาจต้านทานได้” บนกำแพงมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ นักปราชญ์วัยกลางคนผู้สง่างามคนหนึ่งปรากฏขึ้น สวมชุดสีขาว เคลื่อนไหวอย่างใจเย็น

 

 

“พี่เทียนหยวน! ต้องขอบคุณเจ้าที่ให้ยืมธูปจิตวิญญาณ มิเช่นนั้นคงกำจัดมารผจญได้ยากจริงๆ” ภิกษุชราเห็นนักปราชญ์ ก็หยัดกายลุกขึ้น สองมือประสานกันคารวะในทันที

 

 

“ปรมาจารย์จินเย่ว์ไม่ต้องมีมารยาทขนาดนั้น ข้าเองโชคดีที่ฝึกเพิ่งฝึกวรยุทธ์ใหม่สำเร็จ ถึงได้พบว่าอรหันต์เหลยหลัวถูกเงาสีม่วงสิงอยู่ น่าเสียดายอรหันต์เหลยหลัวเป็นนักพรตที่ชาญฉลาดในยุทธภพ คาดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้” นักปราชญ์กลับเลื่อนสายตาไปทางนักพรตที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจออกมา

 

 

ชั่วพริบตาที่เงาสีม่วงออกจากร่างของนักพรตผู้นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะถูกกระชากจิตวิญญาณออกไปหมด กายเนื้อเปลี่ยนเป็นผอมแห้ง ไร้ซึ่งไอชีวิต

 

 

ภิกษุเองก็ท่องคาถาเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าโศกเศร้าเสียใจออกมา ทันใดนั้นนิ้วพลันร่ายรำ เปลวเพลิงสีทองพุ่งออกมา

 

 

ชั่วขณะนั้นกายเนื้อของนักพรตพลันหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง

 

 

“ตามหลักการแล้ว ถึงแม้ว่าเงาสีม่วงจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา แต่จากความสามารถของสหายเฒ่าเหลยหลัวแล้ว ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจสิงอยู่ในร่างที่เพลี่ยงพล้ำไปแล้วอย่างเงียบๆ ได้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ร้อยปีก่อนที่สหายเฒ่าวิ่งไปที่แดนป่าเถื่อน จึงถูกจัดการอย่างเงียบๆ เงาสีม่วงนี้ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก กลับมาถึงเมืองแล้วยังไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมาเป็นเวลาหลายปี หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้เซิ่งมองออก เกรงว่าพวกเราก็ยังคงงมโข่งกันอยู่ ช่วงที่ผ่านมาเจ้ามารผจญนี่กำลังรวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา บอกว่าเป็นการปกป้องคุ้มครอง แต่เกรงว่าคงมีเจตนาไม่ดี” ภิกษุชราพลันถอนหายใจ

 

 

ชายวัยกลางคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าของเขตแดนเทียนหยวนที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่ง’

 

 

“ทว่าช่วงที่ผ่านมาเหล่าสหายเก่าแก่ก็ถือหางผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นจริงๆ มิน่าล่ะเจ้าพวกที่บินขึ้นมาถึงได้โกรธแค้น” ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่งกลับฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ

 

 

“นั่นก็เพราะตาเฒ่าเอาแต่กักตนบำเพ็ญเพียร จนละเลยเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้ศัตรูมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว คงไม่อาจสนใจเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ได้ชั่วคราว เงาสีม่วงยึดครองร่างของสหายเหลยหลัวมาหลายปี และไม่รู้ว่าส่งข่าวกลับไปเท่าไหร่แล้ว จะต้องเปลี่ยนแปลงการป้องกันของเมืองเทวะสวรรค์และเขตอาคมมากกว่าครึ่งถึงจะได้” ภิกษุมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น