พิณวิญญาณประหลาด

“เรื่องนี้สำคัญมาก จำต้องให้ท่านอาวุโสปรึกษากันอย่างละเอียด เงาสีม่วงตนนี้รู้เรื่องราวไปไม่น้อย ปรมาจารย์จินเย่ว์ต้องสอบปากคำให้ละเอียดสักหน่อย” นักปราชญ์วัยกลางคนพยักหน้า ขยับฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะโยนบาตรหยกในมือออกไป

 

 

“ขอบพระคุณฮ่องเต้เซิ่ง! แค่น่าเสียดายที่คนที่เผ่าต่างๆ ส่งมา เกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี” ภิกษุชรารับบาตรหยกเอาไว้ แล้วเผยสีหน้าเสียดายออกมา

 

 

“เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนแรกก็คงไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้ จึงทำได้เพียงโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เดาว่าเผ่าสีม่วงก็คงจะลงมือกับลูกน้องของพวกเรากลางทาง จึงทำได้เพียงหวังว่าพวกเขาจะโชคดี หนีออกมาได้ แต่สิ่งที่ปรมาจารย์กล่าวเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาช่วงร้อยปีที่ผ่านมา อาจจะมีกระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณจริงหรือ?” ฮ่องเต้เทียนหยวนเซิ่งพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา

 

 

“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร คำพูดเมื่อครู่เป็นความจริงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น หากของทมิฬสวรรค์กำเนิดขึ้นในแดน ก่อนจะมีการกระตุ้น ก็อาจจะถูกพาไปแดนอื่นจริงๆ แต่จุดนี้ หากสมบัติชิ้นนี้ออกจากแดนไป ก็จะสูญเสียสติปัญญา และไม่มีทางเป็นของทมิฬสวรรค์ที่มีสติปัญญาได้ ไม่มีประโยชน์มากนัก และยิ่งไม่อาจจัดอยู่ในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหลได้ ที่ก่อนหน้ากล่าวเช่นนี้ ก็แค่อยากยื้อเวลาเท่านั้น” ภิกษุฉีกยิ้มจางๆ

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ปรมาจารย์คู่ควรกับที่เป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องสมบัติทมิฬสวรรค์มามากที่สุดจริงๆ” นักปราชญ์วัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ออกมา มองไม่ออกว่าเชื่อคำพูดของภิกษุชราจริงๆ หรือไม่

 

 

……

 

 

แน่นอนว่าหานลี่นั้นไม่รู้ว่า ภารกิจของตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปมามากขนาดนี้ ครานี้เขาและคนที่เหลืออีกสี่คนกำลังเปิดฉากสังหารอสูรโบราณวิหคประหลาดอยู่ท่ามกลางเมฆสีขาว

 

 

วิหคประหลาดเหล่านี้มีขนาดตัวประมาณสองสามจั้ง แต่บนแผ่นหลังมีปีกสี่ปีก ร่างกายดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าค้างคาวสองถึงสามเท่า แต่หัวของมันนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับแพะภูเขา เขาที่หงิกงอทั้งสองชี้ไปทางด้านหลัง ขณะที่อ้าปาก พลันมีเขี้ยวแหลมคมโผล่ออกมาเต็มปาก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

 

 

วิหคประหลาดประมาณสองสามร้อยตัว กระพือปีกทั้งสี่ วายุประหลาดสีเทาเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยังมีประจุไฟฟ้าขนาดหนาเท่าปากชามพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง อานุภาพไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมเลย และยิ่งไปกว่านั้นใต้ร่างของวิหคประหลาดเหล่านั้นยังมีกรงเล็บเหล็กสีดำงอกออกมาคู่หนึ่ง น่าครั่นคร้ามมากหากเข้าไปประชิด

 

 

หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ คนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับอสูรโบราณวิหคประหลาดเพียงลำพัง เกรงว่าคงปวดหัวไปเล็กน้อย เพื่อลดความยุ่งยาก ไม่แน่ว่าอาจจะหลบไปก่อนก็เป็นได้

 

 

ส่วนและหานลี่และพวกทั้งห้านั้นทั้งมีลูกศิษย์สายตรงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ และยังมีปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรระดับแปลงกายของเจ็ดมหาเผ่าปีศาจ ประกอบตัวประหลาดอย่างหานลี่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่บ้าคลั่งของวิหคประหลาด และในเวลาเดียวกันยังมีสำเภายักษ์เมฆาวิญญาณปกป้องอยู่ จึงเกิดการสังหารหมู่ด้านเดียวได้อย่างสบายๆ

 

 

สองมือของชายหนุ่มไฝแดงพลันร่ายอาคม ควบคุมสายรุ้งสีขาวยาวสิบจั้งเศษสองสาย ห่อหุ้มอาณาบริเวณเบื้องหน้าเอวไว้ในระยะร้อยจั้งเศษ ไม่รู้ว่าสายรุ้งสีขาวนี้เป็นอาวุธที่น่ากลัวชนิดใด ทุกแห่งที่ลำแสงวิญญาณกวาดผ่านไป ไม่ว่าวายุที่บ้าคลั่งหรือว่าสายฟ้าต่างถูกเขาสับออก ทุกครั้งที่กะพริบ จะต้องมีวิหคประหลาดตัวหรือสองตัวถูกสับออก

 

 

สตรีชุดดำกลับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำที่แผดเผา ไม่เห็นว่าสตรีผู้สำแดงความสามารถใดๆ ออกมา แค่ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ แต่ไม่ว่าพายุเฮอร์ริเคนหรือว่าสายฟ้าโจมตีไปบนร่างของเขา ก็จะจมหายไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทรไม่มีผลเลยสักนิด ส่วนวิหคประหลาดนั้นเมื่อกระโจนเข้ามา ถูกเปลวเพลิงสีดำย้อมร่างแม้เพียงนิด ก็จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

 

 

ถึงแม้ว่าวิหคเหล่านี้จะดุร้ายมาก แต่เมื่อถูกสังหารไปสิบกว่าตัวอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่กล้าเข้ามาประชิดอีก

 

 

ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับมีท่าทีแตกต่าง คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้อาศัยสมบัติใดๆ กระโจนเข้าไปหาฝูงวิหคประหลาด แผ่นหลังของเขามีปีกสีดำมันมะเมื่อมคู่หนึ่งปรากฏขึ้น แขนทั้งสองข้างหนาขึ้น กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ

 

 

ร่างกายของเขากะพริบวาบ เห็นเพียงเงาสีดำก้อนหนึ่งพุ่งตัดผ่านฝูงวิหคไป ทุกแห่งที่มันพุ่งไป ร่างของวิหคประหลาดจะแยกออกเป็นชิ้นๆ ฝนโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นลงมา กลิ่นคาวคละคลุ้งไปหมด

 

 

ส่วนหานลี่กลับแสดงสีหน้าราบเรียบ แค่ปล่อยกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาทั้งหมดออกมา เห็นเพียงลำแสงสีทองยาวสองสามฉื่อบินล้อมรอบร่างของเขาเอาไว้ ไม่เพียงจะต้านทานการโจมตีของวิหคประหลาดเอาไว้ แต่ยิ่งทำให้วิหคประหลาดที่อยู่ใกล้ร่างถูกสับออกเป็นสองส่วน

 

 

ทว่าผู้ที่มีสีหน้าผ่อนคลายที่สุด กลับเป็นหญิงสาวชุดขาวเยี่ยอิ่ง

 

 

สตรีผู้นี้กอดพิณหยกสีเขียวมรกตคันนั้นเอาไว้ นิ้วที่อ่อนนุ่มราวกับก้านต้นหอมทั้งสิบดีดสายพิณเบาๆ วงแหวนลำแสงสีเหลืองเข้มปรากฏออกเป็นชั้นๆ วิหคประหลาดที่อยู่รอบ ถูกวงแหวนลำแสงเหล่านั้นกวาดเข้าไป ผิวก็จะถูกลำแสงสีเทาขาวห่อหุ้มเอาไว้เป็นชั้นๆ จากนั้นก็จะร่วงลงสู่พื้นโดยไม่อาจขยับตัวได้ ทยอยกันกลายเป็นเพียงผงธุลีร่วงลงสู่พื้น

 

 

คาดไม่ถึงว่าพิณคันนี้จะมีความสามารถในการแปลงหินที่หายากอย่างสุดๆ

 

 

ถึงแม้ว่าทั้งห้าคนจะไม่ได้สำแดงความสามารถที่ร้ายกาจที่สุดของตนเองออกมา แต่การลงมือครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา วิหคประหลาดสองสามร้อยตัวก็ถูกสังหารจนเกลี้ยง

 

 

จากนั้นคนเหล่านี้จึงเก็บวรยุทธ์กลับไป กลายเป็นสายรุ้งเป็นสายๆ จมหายเข้าไปในสำเภาวิญญาณที่กลายเป็นเมฆก้อนยักษ์แล้วหม่นแสงลง ทั้งห้าคนร่อนลงบนหัวของสำเภาหยก

 

 

“วิหคประหลาดเหล่านี้มีที่มาอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะมองทะลุผ่านสำเภาเมฆาวิญญาณของข้าได้ ช่างน่าแปลกใจนัก” หล่งตงกวาดสายตาไปทางคนอื่นๆ แล้วถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย

 

 

“วิหคประหลาดชนิดนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าแดนป่าเถื่อนกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ อสูรโบราณที่ไม่เคยเห็นก็มีเยอะแยะ พวกเราไม่เคยเห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด จนถึงตอนนี้สำเภาเมฆาวิญญาณเพิ่งจะถูกมองออกเป็นครั้งแรก ข้าก็รู้สึกแปลกใจแล้ว” เสี่ยวหงกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้พวกเราเข้ามาในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนแล้ว ระยะทางต่อจากนี้ คงต้องพบความยุ่งยากไม่น้อยแน่ ถึงแม้ว่าวิหคประหลาดเหล่านี้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็นับว่าต่อกรได้ง่ายมาก หากพบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าพวกเราคงต้องละทิ้งสำเภาวิญญาณลำนี้แล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นขณะเอ่ย

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากพบกับพวกป่าเถื่อนในตำนานอย่างมนุษย์ยักษ์ร้อยตา พวกเราก็ไม่อาจต่อกรได้ แน่นอนว่าต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน พี่หานจากนี้ถึงตาสหายเข้าเวรพอดี เกรงว่าคงต้องลำบากเจ้าแล้ว” หล่งตงหันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

 

หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

หลังจากที่หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเบิกบานแล้ว ฉับพลันนั้นสตรีชุดดำก็เอ่ยถามขึ้น

 

 

“พี่หญิงเสี่ยว ก่อนหน้านี้ที่เจ้าสำแดงพรสวรรค์ของเผ่าหงส์ดำออกมา คงเป็นไฟกัลป์ในตำนานสินะ! เปลวเพลิงนี้มีอานุภาพน่าตกใจดังคาด สมคำร่ำลือจริงๆ!”

 

 

เสี่ยวหงได้ยินหญิงสาวถามเช่นนี้ พลันตกตะลึง หลังจากที่คิ้วดำขลับขมวดมุ่นแล้ว ถึงได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะตอบกลับว่า

 

 

“ใช่แล้ว เพลิงชนิดนี้คือไฟกัลป์ที่ข้าฝึกฝน ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหรอก แต่พิณในมือของสหายเยี่ยกลับทำให้ข้านึกถึงสมบัติในตำนานชิ้นหนึ่ง ว่ากันว่าสองสามหมื่นปีก่อน ในแดนเทียนหลิงมีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ท่านหนึ่งหลอมสมบัติสะท้านฟ้านามว่า ‘พิณวิญญาณประหลาด’ ขึ้นมาได้ จัดอยู่ในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหล สามารถแปลงหิน หลอมทองคำ แช่แข็งได้สามอย่างพร้อมกัน สมบัติที่สหายเยี่ยใช้ก่อนหน้านี้ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสมบัติวิญญาณชิ้นนั้นหรือไม่?”

 

 

“ฮิๆ คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงเสี่ยวจะรู้จักสมบัติของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราอย่างถ่องแท้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าพิณที่อยู่ในมือข้าจะไม่ใช่พิณวิญญาณประหลาดในตำนานคันนั้น แต่ก็เป็นสมบัติโบราณที่ลอกเลียนแบบขึ้น มีความสามารถแค่แปลงหินเท่านั้น อานุภาพไม่อาจเทียบกับของแท้ได้” หญิงสาวตอบกลับพร้อมหัวเราะคิกคัก

 

 

“เช่นนี้นี่เอง! ต่อให้เป็นเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้ก็เพียงพอจะเทียบกับสมบัติวิญญาณแล้ว ถึงอย่างไรเสียความสามารถที่หายากอย่างการแปลงหิน ก็เหนือชั้นนัก” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น

 

 

เมื่อได้ยินสตรีทั้งสองเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีลับลมคมใน หล่งตงก็เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา แต่ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหานลี่ว่า

 

 

“สหายหาน กระบี่บินของเจ้าช่างมีเอกลักษณ์นัก และยังมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองเล่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนเป็นชุดเดียวกัน อานุภาพไม่ธรรมดา นี่ทำให้ข้านึกถึงอาวุโสผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในอดีต ถึงแม้ว่าตอนนั้นคนผู้นั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย แต่อาศัยเขตอาคมกระบี่บินเจ็ดสิบเล่ม ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้อย่างไม่ตกเป็นรอง ตอนนั้นถือว่าสร้างความฮือฮามาก ทว่ากระบี่ลำแสงของอาวุโสผู้นี้เป็นสีเขียว ไม่เหมือนกับกระบี่บินของพี่หาน ไม่ทราบว่ากระบี่บินของสหายหานคือเขตอาคมกระบี่หรือไม่”

 

 

หล่งตงดูเหมือนว่าจะสนใจกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่หานลี่เพิ่งสำแดงออกมาเมื่อครู่เป็นอย่างมาก

 

 

“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นี้มีแซ่ว่าอะไร สำแดงเขตอาคมกระบี่ประเภทใดหรือ ข้าน้อยฝึกฝนกระบี่บินมาจำนวนมาก แต่ก็รู้แค่การนำจำนวนเข้าต่อกรกับศัตรูเท่านั้น ไหนเลยจะเข้าใจเขตอาคมกระบี่” หานลี่ได้ยินแล้วพลันใจเต้น แต่กลับตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

“อ่อ คนที่สหายหล่งพูดถึง ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าอาวุโสที่มีนามว่า ‘ชิงหยวนจื่อ’ คือผู้วิเศษคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาสำแดงเขตอาคมกระบี่ชนิดใด แต่ว่ากันว่าเคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝนเป็นสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ว่ากันว่าอาวุโสผู้นี้เข้าไปในแดนป่าเถื่อนและหายตัวไปเมื่อนานมากแล้ว มิเช่นนั้นจากความชาญฉลาดของท่านอาวุโส เกรงว่าคงบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้” สตรีที่สวมชุดขาวกลับหัวเราะออกมาแล้วชิงเอ่ยต่อ

 

 

หล่งตงเองก็ไม่มีได้น้ำโห แค่หัวเราะออกมาเท่านั้น

 

 

หานลี่ได้ยินคำนี้กลับเงียบไปชั่วครู่ ไม่ว่าจากชื่อและสมบัติ หรือเคล็ดวิชาที่สร้างเอง ชิงหยวนจื่อผู้นี้ ดูแล้วคงจะเป็นอาวุโสจากแดนล่างที่สร้างคาถากระบี่ไผ่เขียวมรกตผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะรู้เบาะแสของคนผู้นี้จากปากของทั้งสอง และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาเลือกหนทางผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรไปแล้ว มิเช่นนั้นจากคาถากระบี่ไผ่เขียวมรกตดังเดิมที่เขาฝึกฝน การคิดหาวิธีให้เคล็ดวิชาที่ชิงหยวนจื่อผู้นั้นถ่ายทอดเอาไว้ ถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่กลับคารวะคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบเล็กน้อย แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายหนึ่ง บินขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดของสำเภาหยก จากนั้นก็นั่งสมาธิลงอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น

 

 

เมื่อเห้นหานลี่มีท่าทีไม่อยากพูดคุยต่อ หลังจากที่เสี่ยวหงและชายหนุ่มไฝแดงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วแยกย้ายกันออกไป บ้างก็กลับไปนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรต่อในห้องทำสมาธิของตนเอง บ้างก็ไปคุยเรื่องอื่นกันตรงที่อื่น