หลังผ่านไปหนึ่งวัน ข่าวที่คณะศิงขรโดนลู่ฝานจัดการด้วยตัวคนเดียว ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊
“ได้ยินหรือยัง ค่ายกลปราณมังกรของคณะศิงขรถูกทำลายแล้ว ทำลายค่ายกลด้วยตัวคนเดียว พละกำลังของลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวแข็งแกร่งมาก!”
“ใช่ ตอนนี้ลู่ฝานอยู่ที่ 9 ในรายชื่อบู๊แล้ว คณะหนึ่งเดียวมีคนที่เจ๋งสุดยอดออกมาแล้ว”
“พวกนายจะไปรู้อะไร ฉันได้ยินว่าลู่ฝานเป็นน้องเล็กสุดในคณะหนึ่งเดียว ศิษย์พี่ของเขาก็พละกำลังไม่ด้อยเหมือนกัน”
“จริงเหรอ แล้วทำไมหลายปีก่อนศิษย์พี่เขาถึงไม่อยู่ในรายชื่อบู๊ล่ะ”
“พวกนายจะไปรู้อะไร หลายปีก่อนคณะหนึ่งเดียวของพวกเขา สู้ทั้งหมดแค่สามคน ศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหนึ่งเดียวไม่เคยลงมือเลย”
“โอ๊ย พูดแบบนี้ คณะหนึ่งเดียวมีความสามารถจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ ดูเอาแล้วกัน พวกเขาจะสู้ต่อไปเรื่อยๆ”
……
เสียงพูดคุยถกเถียงเช่นนี้ ได้ยินอยู่ในทุกคณะของสถาบันสอนวิชาบู๊
หลังจากเอาชนะคณะศิงขรได้ ความเย่อหยิ่งและอคติที่มีต่อคณะหนึ่งเดียว ล้วนหายไปจนหมด
การแสดงออกของลู่ฝานที่คณะศิงขร พูดกันแบบเกินจริงไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊
บางทีสถานการณ์การต่อสู้ในครั้งนั้นอาจจะหมดไปในคำพูดปากต่อปาก แต่รายชื่อบู๊อันดับ 9 ของลู่ฝาน เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน
ขนาดนักเรียนคณะศิงขรพูดถึงลู่ฝาน ยังเปรียบเทียบด้วยคำพูดที่ดุดัน
นี่คือการยอมรับโดยแท้จริง แต่พละกำลังที่ลู่ฝานแสดงออกมา ก็มีค่าพอให้พวกเขายอมรับจากใจจริง
ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวอยู่อันดับ 7 ปลายกระบี่ชี้ไปที่คณะสงบใจที่อันดับ 6
เดิมทีคณะสงบใจจะไปสู้กับคณะกำแหง หลังได้ยินข่าวคณะศิงขรโดนจัดการด้วยคนคนเดียว จึงเงียบลง
ราวกับเงียบรอให้คณะหนึ่งเดียวมาท้าประลอง
ในคณะสงบใจ ตอนนี้หลิงเหยาที่เป็นศิษย์พี่รองในคณะ กำลังแต่งหน้าหวีผมอยู่
ด้านนอก ศิษย์พี่หมิงจูเคาะประตูเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา ฉันเข้าไปได้ไหม”
หลิงเหยาหันมายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หมิงจูเหรอคะ เข้ามาได้เลย”
หมิงจูเดินเข้ามาช้าๆ รูปร่างงดงาม ชุดคลุมลายดาวยาวลากพื้น แต่กลับไม่เปื้อนฝุ่นสักนิด
“ศิษย์น้องหลิงเหยา ได้ยินอาจารย์พูดว่า เธอเสนอว่าอย่าไปสู้กับคณะกำแหง เพื่อรอให้คณะหนึ่งเดียวมาก่อน บอกเหตุผลศิษย์พี่ได้ไหม”
หลิงเหยายิ้มงดงาม จับมือหมิงจูทั้งสองนั่งลงบนเตียง
“ศิษย์พี่ แม้พละกำลังของคณะสงบใจไม่เลว แต่คณะกำแหงก็ไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ ถ้าเราบาดเจ็บตอนสู้กับคณะกำแหง กลับมาเจอคณะหนึ่งเดียวท้าประลองอีก นั่นจะทำให้เสียอันดับที่ได้มาอย่างยากลำบากไม่ใช่เหรอ สู้รอให้คณะหนึ่งเดียวมาสู้ก่อน สู้กับพวกเขาเสร็จ ค่อยพูดเรื่องสู้กับคณะกำแหงก็ได้”
หมิงจูส่ายหน้าพูดว่า “ฉันไม่ได้ต้องการเหตุผลนี้”
หลิงเหยาอ้าปากแดงเล็กน้อย พูดอย่างตกใจว่า “ศิษย์พี่ เหตุผลนี้ไม่พอเหรอ”
หมิงจูพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องพอหรือไม่พอ แต่ฉันต้องการเหตุผลที่แท้จริงของเธอ ลู่ฝาน……”
หลิงเหยาหน้าแดงระเรื่อทันที หมิงจูเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะเหมือนเสียงนกขมิ้น ไพเราะน่าฟังมาก
“โอเค เหมือนฉันเดาถูกแล้วล่ะ เธออยากรอคนรักมาหาที่บ้านสินะ”
“โอ๊ย ศิษย์พี่!”
หลิงเหยาตะโกนอย่างงอนๆ หมิงจูยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “โอเคๆ ฉันไม่บอกใครหรอก อาจารย์ดูออกแล้ว เลยให้ฉันมาถามจริงเท็จ เสียเปรียบเด็กน้อยลู่ฝานจริงๆ รอเขามา ฉันจะช่วยเธอสอบถามเบื้องลึกของเขาอย่างเต็มที่ ถ้านิสัยใช้ไม่ได้ หรือหน้าตาใช้ไม่ได้ ศิษย์พี่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่ความปรารถนาที่เธอรออยู่ที่นี่ คงจะสูญเปล่าแล้ว สองสามวันนี้คนของคณะหนึ่งเดียวไม่มาหรอก”
หลิงเหยาถามอย่างตกใจ “ทำไมเหรอคะ พวกเขาไม่สู้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วเหรอ”
หมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเธอร้อนใจสิ ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาไปคณะหลักแล้ว เห็นว่าท่านผอ.เรียกพวกเขาไป สองสามวันนี้คงกลับมาไม่ได้”
“ท่านผอ.เรียพวกเขาไปทำอะไร”
หลิงเหยาขมวดคิ้วเบาๆ
หมิงจูพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ”
……
คณะหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊
ลู่ฝาน หานเฟิง ฉู่สิงเดินมาที่โถงหลัง ภายใต้การนำของอาจารย์อี้ชิง
“วันธรรมดาคณะหลักสงบมาก มีแค่ไม่กี่คนเอง!”
หานเฟิงเดินอย่างสบายใจ มองไปทั่ว
ฉู่สิงพูดขึ้นข้างๆ ว่า “คณะหลักไม่รับนักเรียน เป็นสถานที่ให้ครูที่ไปปฏิบัติงานข้างนอก กลับมาพักผ่อนและฝึกฝน จึงไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร ฉันได้ยินว่าคณะหลักมีของดีไม่น้อย ถ้าถือโอกาสได้มา 1-2 ชิ้น คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “โอ๊ย ศิษย์พี่ฉู่สิงคิดเหมือนผมเลย”
หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “หรือว่าอีกเดี๋ยวเราจะไป……เดินเล่นกันดี”
ฉู่สิงก็หัวเราะตาม