ตอนที่ 8 - 1 เจ้าทับข้ามาข้าทับเจ้าคืน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ขันทีผู้นั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก โอบกอดจิ่งเหิงปัวไว้แล้วเกลือกกลิ้งหลายครั้งติดต่อกัน จนใกล้ร่วงลงจากชานระเบียง

จิ่งเหิงปัวเกลือกกลิ้งจนมึนงงวิงเวียน ทันได้ทำร้ายคนอื่นอีกเสียที่ไหน นางจึงรีบเร่งเก็บหนามลับไว้จะได้ไม่ทำตนเองบาดเจ็บระหว่างเกลือกกลิ้ง

ครู่หนึ่งที่ใกล้จะกลิ้งลงจากชานระเบียง พอนางเชิดสายตาขึ้นก็มองเห็นเรือนร่างของยงซีเจิ้งเหินขึ้นมาแล้วเอื้อมมือคว้าทางแผ่นหลังของขันทีพอดี

จิ่งเหิงปัวตะโกนขึ้นว่า “เหอหว่าน! คู่หมั้นเจ้าจะสังหารข้า!”

ยงซีเจิ้งหัวเราะเยาะกลางอากาศ เอ่ยว่า “อย่าเล่นลูกไม้…”

เขาพลันชะงัก พลิ้วกายลงสู่พื้นแล้วหันหน้ากลับไปมองดู

เหอหว่านยืนอยู่ปากประตูตำหนักไม่รู้ตั้งแต่ยามใด นางตื่นขึ้นมาแล้ว มองดูเขาด้วยสีหน้าซีดเผือด คนปิดหน้าสองคนยืนอยู่ทั้งซ้ายทั้งขวาข้างกายนาง

จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าสองคนนั้นคือเหยียลี่ว์ฉีกับเทียนชี่จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เจ้าสองคนนี้พบเจอเบาะแสของนางต่างรีบตามมาแล้ว

ขณะที่กำลังคิดจะร้องตะโกน เรือนร่างก็ล้มไปข้างหลังอย่างกะทันหัน ถูกคนลากไว้ร่วงสู่พุ่มดอกไม้ดังพลั่ก!

นางแอบร้องว่าแย่แล้ว ขันทีโง่เขลาคนนั้นยังคิดจะช่วยนาง!

คิดจะช่วยนางหรือทำร้ายนางกันแน่? มองไม่เห็นหรือว่าคนของนางมาช่วยแล้ว?

นางอยากร้องตะโกน อยากดิ้นรน แต่ยาพิษก็กำเริบจนไม่มีเรี่ยวแรงด้วยซ้ำ เข็มขัดที่บรรจุยาไว้ยังอยู่ในมืออีกฝ่าย นางร่วงลงไปด้วยความมึนงงวิงเวียน โชคยังดีที่ขันทีอยู่ข้างใต้นาง อีกทั้งชานระเบียงนั้นไม่สูงนัก พอร่วงหล่นลงไปก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แค่กลืนดินโคลนเข้าปากไปไม่น้อย

พอขันทีผู้นั้นร่วงสู่พื้นก็พลันรีบร้อนลุกขึ้นหามนางเดินจากไปในครั้งเดียว จิ่งเหิงปัวกระวนกระวาย นางถุยโคลนดังถุ้ยๆๆ อยากจะร้องตะโกนออกมา แต่เมื่อนางถุยโคลนจนเกลี้ยง ขันทีที่วิ่งเก่งเหลือเกินคนนั้นก็หามนางออกมาจากวังบรรทมของเหอหว่านแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นแสงตะเกียงภายในวังบรรทมของเหอหว่านค่อยๆ ลุกโชนขึ้น เสียงตวาดของยงซีเจิ้งดังสะท้อนภายในตำหนัก องครักษ์ทั่วทั้งพระราชวังถูกระดมพล คบเพลิงแสงไฟฝูงชนรวมตัวกรูกันเข้ามา นางรู้ได้ในทันทีว่าเรื่องเฮงซวยที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ตะโกนร้องออกไปตอนนี้ก็คงไม่ฉลาดเฉลียว ได้แต่จำต้องหุบปาก

ขันทีผู้นั้นคล้ายลุกลี้ลุกลนแล้วเช่นกัน เขาล้มลุกคลุกคลานวิ่งวนมั่วซั่วระลอกหนึ่ง วิ่งไปท่ามกลางความมืดมิดลับตาคน สุดท้ายแล้วก็เข้าสู่ลานตำหนักมืดครึ้มแห่งหนึ่ง

พอเข้าไปก็ได้กลิ่นเหม็นอับเต็มจมูก อบอวลจนจิ่งเหิงปัวจามออกมาหลายครั้ง ดูท่าทางถ้าไม่ใช่ตำหนักที่ทิ้งรกร้างเป็นเวลานาน ก็คงเป็นตำหนักเย็นอะไรนั่น ขันทีคนนั้นแบกนางไว้ตรงไปยังตำหนักหลวง เมื่อบานประตูเปิดออกฝุ่นธุลีก็ร่วงหล่นเต็มศีรษะของจิ่งเหิงปัว

ข้างนอกมีเสียงคนดังเอะอะ ทว่าห่างไกลจากที่นี่ยิ่งนัก แสงสว่างเลือนรางจากคบเพลิงส่องสะท้อนบนกระดาษหน้าต่าง มองเห็นเค้าโครงด้านข้างของขันทีธรรมดาผู้นั้นได้เพียงรำไร

เขาวางจิ่งเหิงปัวไว้บนเตียง ทว่ากิริยาท่าทางไม่ได้อ่อนโยนเฉกเช่นก่อนหน้านี้ แผ่นหลังของจิ่งเหิงปัวกระแทกบนไม้พื้นเตียงเตียนโล่งจนดังพลั่กเสียงหนึ่ง

นางที่หงุดหงิดอยู่แล้ว ก็เกิดโมโหตวาดออกไปว่า “เจ้าคือผู้ใดกัน?!”

ขันทีไม่เอ่ยตอบ ประชิดใกล้หน้าต่างฟังความเคลื่อนไหว

“ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้” จิ่งเหิงปัวสะกดกลั้นความโกรธเคืองแล้วกล่าวว่า “ทว่าสหายของข้ามาช่วยข้าแล้ว เจ้าเอาเข็มขัดของข้าคืนมาแล้วรีบกลับไปเถิด เมื่อครู่ยงซีเจิ้งน่าจะมองเห็นเจ้าได้ไม่ชัดเจน ประเดี๋ยวข้าจะบอกเหอหว่านให้นางปกป้องเจ้า”

ขันทีหันหลังกลับมาจากข้างหน้าต่าง มองดูนาง แววตาเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิด

ได้มองเห็นแววตาแบบนี้ของคนแปลกหน้าภายในตำหนักเก่าแก่มืดมน จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจทันที

ความคิดหนึ่งเฉียดผ่านสมองนางปานสายฟ้าแลบ

ขันทีคนนี้…คงไม่ได้แอบวางแผนชั่วอยู่หรอกมั้ง?

เขาช่วยนางกะทันหันทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ทั้งที่รู้ว่าคนช่วยนางมาถึงแล้วแต่ไม่ได้สนใจ ลักพาตัวนางมายังตำหนักร้างไกลโพ้นด้วยตนเอง ทำไมเหตุการณ์นี้มันเหมือนโครงเรื่องนิยายน้ำเน่ากับข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ขนาดนี้ล่ะ?

‘นักศึกษาถูกตาเฒ่าโสดลักพาตัวเป็นทาสกามแปดสิบวัน’

‘เฒ่าชราวิปริตแสร้งใจดีด้วยก่อนกักขังสาวน้อย’

‘หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดวันที่ฉันตายทั้งเป็นอยู่ในอุโมงค์’

จิ่งเหิงปัวยิ่งคิดยิ่งเครียด ปกตินางใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็จัดการพวกบ้ากามแบบนี้ได้แล้ว เขวี้ยงข้าวของลึกลับออกไปสักครั้ง ถ้าเขวี้ยงแล้วไม่สำเร็จก็ยังหายตัวหนีไปได้ แต่ตอนนี้พิษกำเริบไร้เรี่ยวแรง พวกเหยียลี่ว์ฉีคงถูกยงซีเจิ้งขัดขวางไว้แล้ว หวังจะตามหานางท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดภายในพระราชวังที่ไม่คุ้นเคยจนเจอย่อมต้องใช้เวลา กว่าจะรอให้พวกเขาหาเจอคงช้าไปไม่ทันการณ์แล้วไม่ใช่เหรอ

“เจ้า…” นางพยายามทำให้เสียงของตนเองเงียบสงบลง กล่าวว่า “เอายาถอนพิษให้ข้า พาข้าออกไป หลังจากนั้นข้าจะต้องขอบคุณเจ้าเหลือเกินเป็นแน่” นางจ้องมองสีหน้าของเจ้าคนนั้น พลางกล่าวเสริมอีกว่า “เงินทอง ทรัพย์สิน…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการเจ้าจะได้ทั้งนั้น! ต้องการเท่าใดได้เท่านั้น!”

นางไม่กล้ากล่าวคำว่าสตรี กลัวว่าการกระตุ้นอีกฝ่าย แต่เสริมการบอกเป็นนัยมากขึ้น

ขันทียังคงไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว ดวงตาสว่างไสวยิ่งนักท่ามกลางความมืดมิด นางถูกสายตานั้นเสียดแทงจนตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ไม่เชื่อสิ่งที่ข้าเอ่ยหรือ?” นางยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “คู่หมั้นของข้าอยู่แถวนี้เอง คือหนึ่งในนั้นที่จับตัวเหอหว่านมาช่วยข้าเมื่อครู่ เขามาจากตระกูลใหญ่ พอจะมีอำนาจในแคว้นเซียง สรุปแล้วหากเจ้าเชื่อข้า ข้ารับปากว่าจะทำให้ได้แน่”

นี่คือการนำ ‘คู่หมั้น’ ที่ไม่มีตัวตนจริงมาเตือนอีกฝ่ายว่าเดี๋ยวจะมีคนมาช่วยตนเอง คนของตนเองมีทรัพย์สินมีอำนาจ ให้อีกฝ่ายลองไตร่ตรองสักหน่อย

โลกสมัยใหม่นั้นเด็กสาวพบเจอเหตุร้ายเวลาเดินคนเดียวมากมาย โพสต์ประเภท ‘เด็กผู้หญิงจะปกป้องตนเองอย่างไร’ มีอยู่ว่อนอินเทอร์เน็ต จิ่งเหิงปัวที่มักคิดไปเองว่าความงามเลิศล้ำต้องทำให้คนจ้องตาเป็นมันย่อมเคยอ่านอยู่แล้ว

ขันทีไม่เพียงแต่ไม่หวั่นไหว กระทั่งหลังจากได้ยินคำว่าคู่หมั้นคำนี้แล้วยังเดินไปข้างหน้าสองก้าว

เขาก้มลงเล็กน้อย แสงสว่างในแววตาดั่งสาดส่องตำหนักร้างมืดสลัวแห่งนี้ให้สว่างไสวได้

จิ่งเหิงปัวคล้ายรู้สึกได้ว่าลมหายใจร้อนผ่าวของเขากำลังจะกวาดผ่านบนสาบเสื้อหลุดลุ่ยของตนเอง

นางฝืนใจถอยไปข้างหลัง เพียงท่วงท่าเล็กน้อยเท่านี้ หน้าผากพลันมีเหงื่อซึมออกมา นางแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว คืนนี้ยาพิษเหมือนจะกำเริบรุนแรงเป็นพิเศษ

ดวงตาของนางสว่างวูบ มีคนกำลังตะโกนโหวกเหวกท่ามกลางสายลม เสียงแว่วมาไกลโพ้นคล้ายเป็นเสียงของอีชี!

เจ้าคนนี้ออกมาตามหานางแล้วเช่นกัน

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงอยู่ไม่ไกล กัดฟันกรอดคิดจะตะโกน พนันว่าอีชีจะตามหานางจนเจอได้รวดเร็วยิ่งกว่า!

ขันทีผู้นั้นพลันยกมือปิดปากของนางไว้ในคราวเดียว!

จิ่งเหิงปัวคิดจะดิ้นรนแต่มือของคนคนนั้นแข็งแรงอย่างยิ่ง มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวของนางขึ้นมาพานางวิ่งออกไปจากตำหนักอีกครั้ง

แสงจันทร์สาดส่องลานแจ้งกลางตำหนักจนสว่างไสว จิ่งเหิงปัวรู้สึกรำไรว่ารูปแบบของตำหนักนี้คล้ายแตกต่างจากตำหนักธรรมดา แต่ตอนนี้ในใจกังวลไม่ทันได้พินิจพิจารณาเช่นกัน

ลานแจ้งกลางตำหนักว่างเปล่า ตรงกลางมีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ริมบ่อน้ำมีต้นชิงไถลายพร้อย กำจายกลิ่นอายเยือกเย็นภายใต้แสงจันทร์

เสียงของอีชีอยู่ไม่ไกลออกไป อย่างมากก็แค่ห่างกันตำหนักหนึ่ง เขากำลังตะโกนร้องห่มร้องไห้ว่า “ปัวปัว! ปัวปัว! เจ้าอยู่ที่ใด! หากวิงเวียนแล้วตะโกนเรียกข้าหน่อย!”

ข้างหลังคือเสียงร้องตะโกนสับสนวุ่นวายหลายระลอก

“หยุดนะ! หยุดนะ!”

“หยุดนะ! หากเจ้าบุกตำหนักบรรทมพระชายาอีกจะยิงธนูสังหารเจ้า!”

“เฮ้ยๆๆ เขาไปตำหนักบรรทมพระราชินีด้วย…”

ท่ามกลางเสียงตวาดยังมีเสียงร้องแปลกประหลาดของอีชีดังว่า “พระชายาแคว้นเซียงของพวกเจ้าอัปลักษณ์ยิ่งยวด! รูปร่างย่ำแย่ยวดยิ่ง! มองแล้วพาให้คลื่นเ**ยน! แตกต่างจากปัวปัวลิบลับ! ปัวปัว! ปัวปัว! หากวิงเวียนแล้วร้องเรียกหน่อย!”

นกกลางคืนตัวหนึ่งตกใจเสียงร้องแปลกประหลาดของเขา กระพือปีกโบยบินจากรอบด้านของท้องฟ้า

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าทันที ใช้พละกำลังที่สะสมอยู่นานจนหมดในพริบตาเดียว

นกกลางคืนตัวนั้นร้อง “แกว๊ก” อย่างแปลกประหลาดเสียงหนึ่ง ปีกนกเอนเอียงดุจถูกคนลากไว้ บินสู่บนหลังคาตำหนักฝั่งหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นนกตัวนั้นจึงดิ้นรนกระพือปีกโบยบินอีกครั้ง

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ…ตอนนี้อาการนางย่ำแย่เกินไป สิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว ต่อไปต้องรอดูว่าอีชีเข้าใจหรือไม่

เพียงแต่นางเหมือนจะโชคดีอยู่บ้าง เสียงของอีชีพลันเงียบงัน จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าสับสนปนเปกันวิ่งมาทางตำหนักแห่งนี้!

“ปัวปัว เจ้าอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เสียงตะโกนของอีชีชัดเจนยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวดีใจเป็นล้นพ้น!

กลางตำหนักแห่งนี้ไม่มีสถานที่อะไรให้หลบซ่อน ขันทีคนนี้ดูท่าทางไม่มีวรยุทธ์เช่นกัน ขอแค่อีชีมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรย่อมช่วยนางหนีไปก่อนได้

แต่ความปีติยินดีของนางถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดรดจนมอดดับในพริบตา

ด้วยเพราะขันทีผู้นั้นไม่ได้ลุกลี้ลุกลนไปด้วย เขาแบกนางไว้ กระโดดสองก้าวบนลานแจ้งกลางตำหนักที่ว่างเปล่า กระโจนพรวดลงกลางบ่อน้ำ!

แทบจะในขณะเดียวกันนั้น ประตูใหญ่เปิดออกดังปัง อีชีถีบประตูเข้ามา ข้างหลังมีพลไล่ล่ายิ่งใหญ่ทรงอำนาจตามมาด้วย

เขาวิ่งห้อเข้ามา กระโดดไปมาภายในตำหนักไม่กว้างใหญ่หลายครั้งอย่างรวดเร็ว ตะโกนอย่างงงงันว่า “ปัวปัว! เจ้าซ่อนอยู่ที่ใดกัน? รีบออกมาเร็ว!”

“มือสังหารจากที่ใด กระทำผิดโดยไม่ละอายเช่นนี้ องครักษ์ ล้อมเอาไว้!”