บทที่ 389 พบกันใหม่ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 389 พบกันใหม่ (1)

‘ไม่ใช่สิ!’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าช้าๆ

‘ถ้าหากกำหนดเป้าหมายในการสร้างได้ตามใจ เราก็ตั้งต้นที่การทำลายจักรวาลได้ แต่มันไม่มีทางเป็นจริงได้โดยสิ้นเชิง’ ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า แทนที่จะบอกว่าความตั้งใจในการสร้างนี้ ยืนยันเป้าหมายให้แก่เครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลู แต่ในความจริงแล้วควรบอกว่าเป็นการกำหนดภารกิจการคำนวณเป้าหมายให้แก่ดีปบลู จากนั้นให้ตัวมันรวบรวมวิธีการ รูปแบบการคำนวณ และข้อมูลแต่ละแบบ มาคำนวณอย่างต่อเนื่องจนได้ผลลัพธ์มาในตอนสุดท้าย เหมือนกับว่ามันเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมากกว่า

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะตั้งเป้าหมายอะไรก็ได้

เป้าหมายที่ตั้งขึ้นจะต้องเป็นจริงได้ จึงจะสามารถกลายเป็นเป้าหมายในการคำนวณของดีปบลูได้ ไม่อย่างนั้น

‘การสร้างเป้าหมายทางทฤษฎีที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล และดีปบลูก็ไม่มีสติปัญญาของตัวเอง เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะปรากฏเงื่อนไขสุดโหดที่ไม่มีทางฝึกฝนได้ จนหยุดชะงักโดยสมบูรณ์ เพราะไม่สอดคล้องกับความจริง…’ ลู่เซิ่งส่ายหน้า ‘เราต้องการเป้าหมายในการสร้างที่ไม่เป็นจริงเกินไป ไม่ชัดเจนเกินไป แต่ก็มีพื้นที่การพัฒนาไร้ขีดจำกัดเช่นกัน แบบนี้ถึงจะทำให้ดีปบลูเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างไร้ขีดจำกัด ต่อให้เป็นจริงไม่ได้ ก็ไม่มีทางเกิดปรากฏการณ์ที่ติดอยู่ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง จนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก’

เขานั่งอยู่บนพื้น ดวงตาเป็นประกาย ความคิดทำงานด้วยความเร็วสูง

‘ข้อมูลวัตถุดิบจำนวนมากที่สุดที่เรารวบรวมได้มากพอในโลกใบนี้ ก็คือวิชาจริงแท้ มรรคายุทธ์ วิชามาร และวิชาลับ และความจริงแล้วต้นกำเนิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดของสิ่งเหล่านี้ก็คือทฤษฎีหยินหยาง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดทุกสิ่งด้วยสารกายของวิชาจริงแท้ การย่อยอาหารเป็นพลังงานของมรรคายุทธ์ หรือการดูดซับพิษเป็นพลังงานของวิชามาร ความจริงแล้วล้วนเป็นอย่างเดียวกัน แก่นหลักของวิชาทั้งหมดคือหยินหยาง’

เมื่อมาถึงระดับของลู่เซิ่งในปัจจุบัน การเก็บรวบรวมจุดเด่นของระบบแต่ละระบบดุจดั่งสมบัติล้ำค่าในบ้านไม่ใช่เรื่องยากอะไร

‘หยางคือมี หยินคือไม่มี ความจริงแล้วหยินหยางสามารถสรุปอย่างง่ายๆ ได้ว่าเป็นการมีและไม่มี ทว่าระดับของนิยามนี้ไม่อาจหาวัตถุดิบที่มากพอให้เรียนรู้ได้ ดังนั้นจึงต่ำกว่าเดิมหนึ่งระดับ’

หยินเป็นตัวแทนผืนดิน ขุ่นมัวและจมลงล่าง หยางเป็นตัวแทนท้องฟ้า เบาโหวงและลอยขึ้น ผืนดินๆ…’

ความคิดของลู่เซิ่งขยายออกไปมากกว่าเดิม

‘ปราณมารก็ดี ปราณภายในก็ดี แก่นมาร ปราณมาร ความจริงล้วนเป็นตัวแทนด้านหนึ่งของหยาง เป็นเพราะว่าพวกมันล้วนเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ส่วนกายเนื้อ วิถีภายนอกและสภาพแต่ละอย่างของตัวเราเป็นด้านหนึ่งของหยิน พวกมันเป็นวัตถุธาตุอย่างแท้จริง’

หมายความว่า…ระบบนี้สามารถรองรับทุกสิ่งที่เราครอบครองอยู่ในตอนนี้เข้าไปได้หมด’

ความคิดต่างๆ นาๆ รวมตัวไหลเวียนอยู่ในห้วงสมองของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว ปราณจริงแท้ก็ดี ปราณภายในก็ดี วิชาลับหรือวิชามาร ลู่เซิ่งเอามารวมกันโดยไม่นำพา ขอแค่ใช้ได้ ล้วนไม่สนว่าเป็นระบบอะไร นำมาใช้ทั้งหมด

ไม่นาน กรอบแต่ละกรอบบนดีปบลูก็เริ่มจางลง ทั้งวิถีภายนอก ทั้งวิชาจริงแท้ และวิชาลับ

ทั้งหมดพากันสลายหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือวิชาวิชาหนึ่ง

‘เราใช้หยินหยางเป็นความตั้งใจในการสร้าง มีขอบเขตกว้างไกล ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะยืดขยายอย่างไร้สิ้นสุด และใช้ดีปบลูเป็นตัวหลอม ใช้พลังอาวรณ์เป็นไฟ เก็บอาหารกับวัตถุภายนอกไว้ใช้หลอมสร้างจิตใจ หลอมสร้างมหาวิถีหลังจากชุบหลอมแก่นแท้ มหาวิถีนี้จะรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ควรตั้งชื่อว่า…’

‘วิชาไร้ขอบเขต’

ลู่เซิ่งตกลงใจ

ซู่…

ทันใดนั้น ตัวหนังสือใหม่แถวหนึ่งก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นในกรอบของดีปบลู ชื่อวิชาที่นำหน้าเป็นคำว่าวิชาไร้ขอบเขตที่เขียนเติมลงไป

‘วิชาไร้ขอบเขตฝึกฝนหยินหยางพร้อมกัน ควรแบ่งเป็นสี่ขอบเขตในชั้นต้น ขอบเขตธรรมดาตั้งแต่มนุษย์ธรรมดาถึงฟ้ากำเนิด ขอบเขตพันธนาการตั้งแต่ระดับพันธนาการถึงระดับอสรพิษหรือปฐมปฐพี ขอบเขตบรรลุตั้งแต่ปฐมปฐพีถึงผู้ถืออาวุธ รวมถึงขอบเขตวิญญาณตั้งแต่ผู้ถืออาวุธถึงอริยะเจ้าหรือจ้าวแห่งมาร’

พร้อมกับที่ลู่เซิ่งจัดระเบียบความคิดอย่างต่อเนื่อง ก็มีตัวหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิชาไร้ขอบเขตค่อยๆ ปรากฏบนกรอบดีปบลูทีละแถวๆ

ตั้งแต่ขอบเขตธรรมดาไปจนถึงขอบเขตวิญญาณ แทบจะเป็นการขยับขยายเส้นทางทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมาไปทีละก้าวๆ ตอนนั้นลู่เซิ่งเลื่อนระดับอย่างไร วิชาไร้ขอบเขตก็เลื่อนระดับเช่นนั้น

พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการรวมวิธีการเลื่อนระดับและประสบการณ์ในการฝึกฝนทั้งหมดของลู่เซิ่งเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นวิชาอันสมบูรณ์วิชาหนึ่ง

ส่วนที่แตกต่างกับวิชาอื่นๆ ก็คือ วิชาไร้ขอบเขตนี้ มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาอันไร้สิ้นสุด ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ทว่าเมื่อเทียบกับวิถีแปดมารสูงสุดแล้ว เครื่องพันธนาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งไม่อาจยกระดับได้กลับถูกทำลายไปแล้ว

ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า พลังงานแต่ละแบบในร่างกายกำลังหลอมรวมกันอย่างเชื่องช้า ไม่ได้อยู่แยกกันเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีกแล้ว

สี่ขอบเขตเมื่อก่อนหน้าของวิชาไร้ขอบเขต ค่อยๆ ปรากฏบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูเช่นกัน ขอแค่เขามองดู ก็จะเห็นขั้นตอนการแบ่งระดับในแต่ละขอบเขตที่ยืดขยายต่อไปด้านหลัง รวมถึงผลพิเศษและการเสริมความแข็งแกร่งแถวใหญ่ในความเป็นจริงทันที

‘เอาล่ะ…ในเมื่อยืนยันวิชาไร้ขอบเขตแล้ว ก็ควรเรียนรู้ต่อสักทีว่าขั้นตอนหลังๆ สมควรทำอย่างไร…’ สายตาของลู่เซิ่งอยู่บนปุ่มปรับเปลี่ยนบนกรอบด้านล่างสุด ก่อนจะตั้งสมาธิกดลงไปเบาๆ

พรึ่บ

ดีปบลูกะพริบ จากนั้นก็กลับเป็นปกติ

‘ขอบเขตที่สี่ของวิชาไร้ขอบเขตคือจิตวิญญาณและกายเนื้อที่แข็งแกร่งเท่าอาวุธเทพ อย่างนั้นต่อจากนี้สมควรพัฒนาขอบเขตที่ห้าแล้ว’ ลู่เซิ่งย้ายความสนใจอย่างรวดเร็ว โดยมองไปที่ปุ่มเรียนรู้ที่อยู่ด้านหลังวิชาไร้ขอบเขต

‘วิชาไร้ขอบเขต เรียนรู้ขอบเขตที่ห้า’

พริบตาที่กดปุ่มเรียนรู้ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ในทันทีว่าความคิดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

พลังอาวรณ์จำนวนมากถูกอาณาเขตลึกลับที่หน้าอกของเขาฮุบกลืนเข้าไป ดีบปลูเหมือนกับสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ไม่รู้จักอิ่ม กลืนกินพลังอาวรณ์ที่ลู่เซิ่งหามาอย่างยากเย็นด้วยความเร็วสูง

หนึ่งร้อย…สองร้อย…สามร้อย…ห้าร้อย…หนึ่งพัน…สองพัน…สามพัน…

สามพันแปดร้อย!

จนกระทั่งเหลือพลังอาวรณ์แค่หนึ่งพันกว่าๆ การฮุบกลืนที่น่าพรั่นพรึงนี้จึงค่อยๆ ช้าลง

ลู่เซิ่งตกใจเช่นกัน แม้จะเดาออกว่าการเรียนรู้เป้าหมายที่กำหนดไว้เอง จะสิ้นเปลืองพลังอาวรณ์เป็นอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะสิ้นเปลืองมากขนาดนี้

‘กายเนื้อและจิตวิญญาณที่เหนือกว่าอาวุธเทพศัสตรามาร แค่เรียนรู้ไปถึงขั้นต่อไปของอริยะเจ้าก็ใช้พลังอาวรณ์ไปเกือบสี่พันหน่วยแล้ว…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก แม้แต่เขาก็ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง หนำซ้ำการใช้พลังอาวรณ์ในเวลานี้ยังไม่หยุดลงด้วย หากยังคงดำเนินต่อไป

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดอริยะเจ้าหรือจ้าวแห่งมาร มีแค่ในขุมกำลังใหญ่เท่านั้น เป็นเพราะแค่การสิ้นเปลืองอันน่าสะพรึงระดับนี้ก็สุดที่ขุมกำลังทั่วไปจะรองรับได้แล้ว

ขณะที่พลังอาวรณ์กำลังหายไป กรอบของวิชาไร้ขอบเขตก็ยังคงพร่ามัวไม่ชัดเจน

ลู่เซิ่งอดทนรอคอย ดีปบลูใช้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ทฤษฎีทางมรรคายุทธ์ และความรู้ทั้งหมดของเขาในตอนนี้เป็นเชื้อเพลิง แล้วใส่เข้าไปในการเรียนรู้หลอมสร้าง จะพัฒนาวิชาที่เหนือกว่าอาวุธเทพศัสตรามารที่เขาต้องการได้หรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด

รอคอยมากกว่าครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดกรอบของวิชาไร้ขอบเขตก็ชัดขึ้น ลู่เซิ่งพลันยินดีพร้อมกับเงยหน้ามองไป

[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่ห้า:รวบรวมยอดศัสตราระดับหก—ศัสตราวารี ผลพิเศษ: สร้างร่างมารใหม่ วิถีภายนอกไร้ขอบเขต…] วิถีแปดมารสูงสุดเมื่อก่อนหน้าล้วนถูกรวมเข้าไปในวิชาไร้ขอบเขต ทั้งยังรวมถึงพลังฝึกปรือของวิชามากมายเช่นท่าเท้าแสงมายากระทืบพสุธา และวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานด้วย

‘รวบรวมยอดศัสตราหรือ’ ลู่เซิ่งมองไป มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากส่งเข้ามาในสมองของเขาทันที

วิธีการเรียนรู้และกุญแจสำคัญในการเลื่อนสู่ระดับหลังๆ ของดีปบลูอยู่ที่การกลืนกินอาวุธเทพศัสตรามาร! มิหนำซ้ำขั้นแรกในตอนนี้ยังเป็นแค่ระดับเบื้องต้น หากคิดจะฝึกฝนให้สำเร็จ จะต้องกลืนกินอาวุธเทพธาตุน้ำ ความแข็งแกร่งอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับใบไม้ทองคำ

แสดงให้เห็นว่าดีปบลูสัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่ลู่เซิ่งได้จากการกลืนกินดาบแสงจรัสซึ่งเป็นอาวุธชั่วร้ายแล้ว

‘เดิมทีเป็นแค่การทดลองด้วยความโกรธชั่วขณะเท่านั้น กลับนึกไม่ถึง…’ ลู่เซิ่งยิ้มอย่างขื่นขมในใจ วิธีเลื่อนระดับที่เรียนรู้ได้กลับเดินบนเส้นทางนี้

เขาไม่รู้ว่าเจ้าแห่งอาวุธเลื่อนระดับกันอย่างไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความจริงแล้วการกลืนกินอาวุธเทพชิ้นอื่นๆ ก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเหมือนกับเส้นทางของอาวุธเทพศัสตรามารมากกว่า

‘ช่างเถอะ…เดินไปก่อนค่อยว่ากัน’ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ลู่เซิ่งอาศัยเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้จึงได้แต่เชื่อใจผลลัพธ์การเรียนรู้ของดีปบลูอีกครั้ง

‘เราเคยเรียนรู้และสัมผัสกระบวนท่าที่มีความตั้งใจในการสร้างสูงสุดขีดมาก่อน ท่าทำลายดวงดาวก็ได้มาแบบนี้เช่นกัน น่าเสียดาย ถ้าหากตอนนั้นเข้าใจถึงระดับขั้นนี้ ตอนนี้ไม่รู้จะลดทางอ้อมไปได้มากเท่าไหร่’

ลู่เซิ่งยกมือขึ้นมองลวดลายจางๆ ที่ค่อยๆ ปรากฏบนผิวของตัวเอง ลวดลายเหล่านี้เหมือนกับรอยผิวหนังธรรมดา แต่ความจริงกลับสัมผัสได้ถึงความซับซ้อนหลากหลายที่แฝงซ่อนอยู่ด้านใน

เหมือนกับลวดลายเมฆาที่เกิดขึ้นจากการตีอาวุธมีคม

‘วิชาไร้ขอบเขต ในขอบเขตที่ห้า เทียบได้กับการเลื่อนจากอริยะเจ้าไปเป็นเจ้าแห่งอาวุธ การแบ่งระดับหกมีชื่อว่ารวบรวมยอดศัสตรา เกรงว่าเป้าหมายจะเป็นการรวบรวมกลืนกินอาวุธเทพศัสตรามารจำนวนมากพอ ขอแค่กลืนกินอาวุธเทพศัสตรามารจำนวนมากพอ และเสริมด้วยพลังอาวรณ์จำนวนมากพอ ก็จะพัฒนาไปยังขั้นต่อไปได้…วิชาไร้ขอบเขตนี้…น่ากลัวจริงๆ!’ ลู่เซิ่งรำพึงรำพันในใจ

ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังของเขาจะไม่ได้รับการยกระดับขึ้นมากนัก แต่เป้าหมายและทิศทางในการพัฒนาล้วนชัดเจนแล้ว อีกทั้งยังเห็นภาพแผนการและเส้นทางในอนาคตชัดเจนมากขึ้นด้วย

ลู่เซิ่งหลับตาสักพัก ก่อนจะค่อยๆ อ้าปากพ่นควันกลุ่มหนึ่งออกมา

ในควันกลุ่มนี้มีสีสามชนิดหมุนวนห่อหุ้มอยู่ ได้แก่สีขาว สีทอง และสีดำ ควันสามสีเกี่ยวกระหวัดกันและกัน สุดท้ายก็ค่อยๆ หลอมรวมกันกลายเป็นสีเงินอมขาวที่ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและชาด้าน

หลังจากผสมกันเสร็จ ควันก็มุดกลับเข้าไปในร่างลู่เซิ่งผ่านจมูกของเขาอีกครั้ง นี่หมายความว่าปราณเหลวอันเป็นปราณภายใน แก่นมาร และปราณจริงแท้ในร่างเขา สามารถหลอมรวมกันจนกลายเป็นพลังงานอีกชนิดหนึ่งได้โดยสมบูรณ์ พลังงานนี้สามารถเลียนแบบลักษณะพิเศษของพลังงานสามชนิดได้อย่างง่ายดาย กล่าวให้ถูกต้องก็คือมีลักษณะพิเศษของพลังงานสามชนิดในเวลาเดียวกัน และสามารถกระตุ้นมรรคายุทธ์ทั้งหมดของสามระบบใหญ่อย่างวิชาจริงแท้ วิชามาร และวิชาภายในได้

‘หลอมรวมทุกอย่าง แทนที่ทุกสิ่ง พลังงานนี้เป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของธาตุหยางในวิชาไร้ขอบเขต ตั้งชื่อว่าแก่นหยางก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งตั้งชื่อในใจ

หลังจากวิชาไร้ขอบเขตเรียนรู้รวบรวมยอดศัสตราระดับหนึ่งในขอบเขตที่ห้า แก่นหยางจำนวนมากก็เริ่มหลอมรวมกับพลังงานบริสุทธิ์ทั้งหมดในตัวเขาอย่างรวดเร็ว ปราณเหลวอันเป็นปราณภายในก็ดี ปราณจริงแท้ก็ดี แก่นมารก็ดี ล้วนถูกกลืนกินกักเก็บเป็นแก่นหยางสีเงินอมขาวเหมือนกันหมดในเวลาสั้นๆ

ลู่เซิ่งยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้สั่นน้อยๆ พลันปล่อยแก่นหยางหลายสายออกมา

แก่นหยางสีเงินอมขาวกลายเป็นปราณจริงแท้สีแดงทองของสำนักพันอาทิตย์ เกิดสีทองบนปลายนิ้วของเขาก่อน จากนั้นก็กลายเป็นแก่นมารสีดำกลุ่มใหญ่ สุดท้ายค่อยเปลี่ยนเป็นหยดของเหลวอันเป็นปราณเหลวสีขาวบริสุทธิ์

สามระบบใหญ่ถูกดูดซับไว้ทั้งหมด

‘สำเร็จแล้ว…ต่อจากนี้ขอแค่รวบรวมอาวุธเทพศัสตรามาร จากนั้นก็อ่านคัมภีร์แต่ละประเภทจำนวนมากพอ เพื่อมอบวัตถุดิบและสารอาหารให้แก่การเรียนรู้ขั้นต่อไปก็ใช้ได้แล้ว’

ลู่เซิ่งเข้าใจเส้นทางต่อจากนี้ของตนอย่างสมบูรณ์แล้ว

……………………………………….