บทที่ 390 พบกันใหม่ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 390 พบกันใหม่ (2)

‘ต่อจากนี้สมควรไปดูสถานการณ์ทางบ้านแล้ว จากนั้นค่อยกำหนดผู้รับผิดชอบเบื้องต้น เราแค่คนเดียวแยกร่างไม่ได้ เรื่องราวมากมายต้องมอบให้บริวารจัดการ ถึงจะประหยัดเวลาได้มาก ทางสำนักมารกำเนิดยังมีคนสองคนที่รับหน้าที่ไว้ได้…’ ลู่เซิ่งคล้ายนึกอะไรได้จึงหยีตาเล็กน้อย

ขอแค่ได้อาวุธเทพธาตุน้ำระดับใบไม้ทองคำมาอีกชิ้น เขาก็จะเลื่อนสู่ระดับถัดไปได้ทันที

หากยึดตามผลลัพธ์ของการเรียนรู้ ระดับหกหรือรวบรวมยอดศัสตราเทียบได้กับแต่ละขอบเขตในระดับอริยะเจ้า ทุกๆ ระดับชั้นแบ่งเป็นใบไม้ทองคำ ดาวหยก เทวปัญญาสามระดับ ถ้าหากไปถึงระดับเทวปัญญาได้ ก็หมายความว่าไปถึงจุดสูงสุดของอริยะเจ้าแล้ว ในโลกใบนี้ นอกจากเจ้าแห่งอาวุธหรือจักรพรรดิมาร ก็ไม่มีใครรับมือได้อีก ต่อจากนั้นหากเลื่อนสู่ระดับต่อไป ก็จะบุกเข้าสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธได้

เมื่อเทียบกับระบบวิชาไร้ขอบเขตกับระบบดั้งเดิมอย่างอาวุธเทพศัสตรามาร ความได้เปรียบที่เห็นชัดที่สุดอยู่ที่ความเป็นอิสระ

ความเสียเปรียบที่เห็นชัดสุดอยู่ที่ใช้เวลายาวนานเกินไป…

ถ้าลู่เซิ่งไม่มีดีปบลู ก็ไม่อาจฝึกกายเนื้อที่เหี้ยมหาญแบบนี้ได้ ยิ่งไม่อาจเดินมาถึงขั้นรวบรวมยอดศัสตรา และการกลืนกินอาวุธเทพศัสตรามาร หากเล่าออกไปเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ

เมื่อคำนวณอย่างละเอียด ถ้ารวบพลังฝึกปรือแต่ละวิชาของลู่เซิ่งในตอนนี้เข้าด้วยกัน ก็แทบจะไปถึงระดับเกือบหมื่นปีแล้ว หรือหมายความว่า ต้องให้อัจฉริยะเก่งกาจสักคนฝึกฝนวิชาไร้ขอบเขตเป็นเวลาหมื่นปีโดยที่เลื่อนระดับอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีข้อจำกัด จึงจะมาถึงพลังฝึกปรือในขอบเขตนี้ของเขา

วิชาไร้ขอบเขตมีความยากน้อยกว่าอาวุธเทพศัสตรามารมากจริงๆ ทว่าคิดจะฝึกฝนวิชาไร้ขอบเขตจนสำเร็จ ท่านต้องมีชีวิตอยู่ให้นานพอเสียก่อน…

ต่อให้เข้าหอคอยวิญญาณจริงแท้ ยืดเวลาในโลกภายนอกออกไป ทว่าเวลาที่ผันผ่านบนร่างก็ยังคงอยู่ ไม่มีใครอยู่ได้มากกว่าหมื่นปี แม้จะเป็นอริยะเจ้าก็ตามที

ในบันทึก เจ้าแห่งอาวุธที่อายุยืนที่สุดมีอายุไม่เกินห้าพันปี จักรพรรดิมารยิ่งอายุสั้นกว่า ไม่เกินสี่พันปีก็จะถูกคนใหม่จากเบื้องล่างกำจัดทิ้งและแทนที่แล้ว

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเข้าใจว่า ความจริงแล้ววิชาไร้ขอบเขตของตนเป็นมหาวิถีที่เหมาะกับตนเพียงคนเดียว คิดจะยกระดับพลังบริวารของตนเอง ยังต้องเสาะหาเส้นทางอื่น

นครเขตจันทราสารท คฤหาสน์ลู่

ลู่เฉวียนอันนำคนในตระกูลลู่มายืนอยู่กลางเรือนด้านในตรงประตูใหญ่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับมองดูรถลากที่ขับเข้ามาจากประตูที่อ้าอยู่อย่างช้าๆ

บนรถลากสีทองเข้มมีคำว่าพันตัวใหญ่ติดอยู่ เป็นรถของสำนักพันอาทิตย์ ยังไม่ต้องพูดถึงรถม้าวิจิตรงดงาม สิ่งที่เทียมรถอยู่คือสัตว์ประหลาดสีดำปลอดสี่ตัว ที่มีเขาข้างหนึ่งงอกบนหัว ส่วนท้องคล้ายมีกรงเล็บมังกร ภายนอกเหมือนกับแรด

รถค่อยๆ หยุดลงตรงประตูคฤหาสน์ ประตูรถเปิดออก บุรุษหนุ่มยิ้มแย้มและมีสีหน้าสดใสกระโดดลงมา

“ไม่ใช่เจ้าเซิ่ง…” ลู่เฉวียนอันส่ายหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย ด้านหลังเขามีเสียงถอนใจดังมาเบาๆ เช่นกัน

บุรุษที่ลงรถมาก่อนผู้นั้นกลับถอยไปอยู่ด้านข้าง ด้านในรถม้ามีบุรุษสูงใหญ่ร่างกำยำและบุคลิกดุร้ายเหี้ยมหาญคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ

บุรุษไว้ผมยาวสีดำถึงไหล่ ไหล่หนาเอวเล็ก สายตาดุจดาบ แม้ผิวจะขาว แต่กล้ามเนื้อซึ่งมีเค้าโครงชัดเจนบนร่างกลับทำให้ดูดุร้ายกว่าเดิม

ทุกคนที่อยู่รอบๆ แม้แต่ลู่เฉวียนอันจิตใจสั่นไหวเล็กน้อยในตอนที่สัมผัสได้ถึงสายตาของบุรุษ จึงไม่กล้ามองต่ออีก

กลับนึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะชูแขนขวาขึ้น

พรึ่บๆๆ!

เกิดเสียงดังเบาๆ ติดต่อกัน ควันสีดำไร้รูปร่างที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรือน ลอยมาอย่างรวดเร็วด้วยตัวเองหมือนกับเจอที่พึ่งหลัก ก่อนจะเกาะกับแขนขวาของเขาแล้วหายไป เหมือนกับหลอมรวมเข้าไปในผิวกาย

“ท่านพ่อ ไม่เจอกันนาน เป็นอะไรไป จำลูกชายไม่ได้แล้วหรือ” จากนั้นบุรุษค่อยลดมือลง แล้วมองลู่เฉวียนอันด้วยสีหน้าอบอุ่น

“เจ้าคือ…เจ้าเซิ่งหรือ” ลู่เฉวียนอันงุนงง ไม่ใช่ว่าเขาจำไม่ได้ แต่ลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ใบหน้าเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ใช่อย่างในปัจจุบัน รายละเอียดมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย

“เป็นลูกเอง” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปสองสามก้าว ก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งให้ลู่เฉวียนอัน “ทำให้ท่านพ่อตกใจแล้ว เดินทางลำบากตลอดทาง ลูกมาช้าไปก้าวหนึ่ง…”

ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถูกมารดารองที่เดินมาจากด้านข้างกอดไว้ในอ้อมอก

มารดารองเป็นผู้เลี้ยงดูลู่เซิ่งมาตั้งแต่เด็ก มารดาของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ทุกเรื่องราวล้วนมีมารดารองเป็นคนจัดการ นางปฏิบัติกับลู่เซิ่งเหมือนลูกแท้ๆของตัวเอง

ที่ลู่เซิ่งคุณชายใหญ่ลู่กลายเป็นลูกผู้ดีมีเงินได้ ความจริงเป็นผลงานยิ่งใหญ่ของนาง

แต่ว่าลู่เซิ่งในตอนนี้ย่อมไม่สนใจเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้

จากกันมานาน ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง สำหรับเขาอาจจะไม่นับเป็นอะไร การฝึกฝนไม่มีนิยามทางเวลา แต่สำหรับคนทุกคนในคฤหาสน์ลู่ที่เป็นคนทั่วไปกลับเป็นวันเวลาที่ไม่สั้น

“ท่านแม่ ทำให้ท่านลำบากแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวเบาๆ

หลิวชุ่ยอวี้ไม่พูดอะไร เพียงตบหลังของลู่เซิ่งเบาๆ น้ำตาคลอหน่วย

ลู่เฉวียนอันตบไหล่ปลอบหลิวชุ่ยอวี้ “มีคนมองเยอะแยะ พอแล้วๆ ต่อจากนี้ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก รีบร้อนไปทำไม”

หลิวชุ่ยอวี้ค่อยปล่อยลู่เซิ่ง แล้วให้คนอื่นๆ เข้ามาคารวะ

“คุณชายใหญ่!”

“พี่ใหญ่!”

“พี่ใหญ่!”

“ท่านน้า!”

“นายท่าน!”

“ท่านลุงใหญ่!”

ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนมองไปยังเด็กน้อยที่ส่งเสียงร้องดังที่สุดที่อยู่ด้านหลังสุด

เด็กผู้นี้สวมใส่กางเกงเปิดเป้า หน้าตาดำเมี่ยม เครื่องหน้าพอจะนับได้ว่าเป็นสัดเป็นส่วน ไม่ขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงความสวยงาม

สิ่งที่พอจะเพิ่มคะแนนให้ได้ก็คือดวงตาโตที่น่ารักสดใส

พอเห็นลู่เซิ่งมองมา เด็กคนนี้ก็พูดทันทีว่า “ท่านลุงใหญ่ ข้าชื่อลู่เทียนเฉิง! มารดาข้าคือลู่อิ๋งอิ๋ง ลูกผู้น้องของท่าน!”

เด็กน้อยอายุแค่สองขวบกว่าๆ กลับพูดจาคล่องแคล่ว กล่าววาจาฟังชัด ดูเหมือนแม้จะหน้าตาไม่ค่อยดี แต่เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาอยู่ในขอบเขตที่ไม่เลว

ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กผู้นี้

“มารดาข้าบอกว่าข้าหน้าตาขี้เหร่ ดังนั้นต้องพูดเสียงดังหน่อย ท่านลุงใหญ่ถึงจะได้ยิน” ลู่เทียนเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง

“ดีๆ” ลู่เซิ่งอดยิ้มไม่ได้ เขากวาดตามองคนรอบๆ โดยเฉพาะพอเห็นลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดาผุดสีหน้าย่ำแย่ ก็รู้ว่าลู่เทียนเฉิงมีชีวิตอย่างไรในบ้าน

ตอนนั้นลู่อิ๋งอิ๋งท้องเพราะคนของตระกูลหยาง ต่อมาอีกฝ่ายยอมรับผิดชอบ จากนั้นตระกูลหยางไม่น่าจะกล้าสร้างปัญหาอีกแล้ว…เหตุใดเด็กผู้นี้จึงตามตระกูลลู่มาด้วย

“ตระกูลหยางถูกทำลายแล้ว เพราะภัยพิบัติมาร แค่คืนเดียว เหมือนกับ…ในตอนนั้น” ลู่อีอีที่อยู่ด้านข้างอธิบายเบาๆ

ลู่เซิ่งจึงค่อยเข้าใจ หลังจากรับมือเด็กน้อยแล้ว สายตาเขาค่อยจับอยู่บนร่างคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดในฝูงชนเป็นคนสุดท้าย

“อวิ๋นซี…”

เฉินอวิ๋นซีมองเขาเงียบๆ แม้ในดวงตาจะมีความยินดี ทว่าส่วนใหญ่เป็นความห่างเหิน

ทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่หมี่ แต่กลับเหมือนไกลกันราวกับขอบฟ้าและมุมทะเล

“ที่แท้ท่าน…ก็ไม่ใช่ของข้ามาแต่แรก…” เฉินอวิ๋นซีมองลู่เซิ่งในตอนนี้ แค่มองเขาอยู่แบบนี้ สัมผัสของนางที่ฝึกวรยุทธ์มานาน ก็รู้สึกได้ถึงความระมัดระวังของลู่เซิ่งได้อย่างปราดเปรียว

สายตาที่ลู่เซิ่งมองนางมีทั้งความรักถนอมและความละอายเหมือนมองภาชนะที่แตกง่าย ทว่าไม่อาจแสดงออกโดยสิ้นเชิง

ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแท้ๆ แต่กลับมองกันเหมือนคนแปลกหน้า

ความจริงทุกคนล้วนเข้าใจกันดีว่า การแต่งงานของเฉินอวิ๋นซีและลู่เซิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสำหรับฝ่ายไหน ล้วนไม่ใช่เรื่องดี

เฉินอวิ๋นซีอยู่ห่างจากลู่เซิ่งมากเกินไป โลกของทั้งสองในตอนนี้ไม่ใช่แค่ระยะห่างด้านพลังฝึกปรือเท่านั้น ถึงขั้นมีระยะห่างทางคุณสมบัติชีวิต และความแตกต่างของความรู้

แม้แต่การสนทนาพูดคุยก็ยังไม่มีจุดร่วมกัน

ลู่เซิ่งเดินมาโอบกอดเฉินอวิ๋นซีเบาๆ แต่ถูกนางผลักออก

“เดิมทีข้านึกว่าข้าจะตื่นเต้นมาก น่าเสียดาย…พอมาถึงเวลานี้จริงๆ ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น ลู่เซิ่ง พวกเราหย่ากันเถอะ” คำพูดที่เฉินอวิ๋นซีเก็บไว้มานาน ในที่สุดก็ได้พูดออกจากปาก

การแต่งงานของทั้งสองมาถึงขั้นนี้ ไม่ว่าจะสำหรับลู่เซิ่งหรือว่าเฉินอวิ๋นซี ล้วนกลายเป็นข้อผูกมัดอย่างหนึ่ง

ลู่เซิ่งมองคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ รวมถึงบิดาลู่เฉวียนอัน แทบไม่มีใครแสดงความตกใจ แสดงให้เห็นว่า รู้ถึงการตัดสินใจของเฉินอวิ๋นซีมานานแล้ว

“เรื่องนี้ไว้พูดกันทีหลัง” เขาเข้าใจจิตใจของเฉินอวิ๋นซีดี นางไม่ใช่ไม่รักตน หากแต่ไม่อยากสร้างภาระให้

โลกของทั้งสองแตกต่างกันมากเกินไป เฉินอวิ๋นซีไม่มีคุณสมบัติแม้จะเงยหน้ามองเขาด้วยซ้ำ

คำพูดประโยคเดียวของลู่เซิ่งกำหนดสถานการณ์ บรรยากาศรอบๆ คึกคักขึ้นอีกครั้ง

ลู่อีอี ลู่หงอิง ลุงใหญ่ลู่อันผิง มารดาห้าจางเชี่ยนพากันเข้ามากอดลู่เซิ่งทีละคน

หลังจากเสียเวลาในคฤหาสน์ลู่อยู่สองชั่วยาม และจัดการธุระปะปังต่างๆ เสร็จ ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางของขบวนสำนักมารกำเนิดที่อยู่นอกชานเมืองทันที

สำนักพันอาทิตย์ของเขตจันทราสารทมอบอารามใหญ่แห่งหนึ่งให้สำนักมารกำเนิดนอกชานเมือง คนหลายร้อยคนของสำนักมารกำเนิดเข้าไปอยู่มาได้สักระยะแล้ว

ตอนที่ลู่เซิ่งไปถึง ศิษย์หนุ่มสาวสองสามคนที่กำลังกวาดพื้นใต้เงาต้นไม้ บนพื้นที่ว่างนอกอารามก็จำเขาได้ทันที

“เจ้าสำนัก! เจ้าสำนักกลับมาแล้ว!”

เหล่าศิษย์ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ทิ้งไม้กวาดในมือแล้วพุ่งไปด้านใน ไม่นานคนกลุ่มใหญ่ก็ทยอยออกมาจากประตูใหญ่ โดยเร่งฝีเท้ามาหาลู่เซิ่ง

ไม่เจอลิ่วซานจื่อมานาน หนวดเคราของเขาขาวโพลนหมดแล้ว มือข้างหนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ด้านข้าง หลังจากได้รับการช่วยเหลือออกมาจากซากปรักหักพังเมื่อก่อนหน้า ร่างกายของเขายังสมบูรณ์ดี เพียงแต่ตอนนี้กลับ…

“อาจารย์ แขนของท่าน…” ลู่เซิ่งกวาดเห็นแขนที่ขาดด้วนข้างนั้น สายตาพลันดุร้ายขึ้นมา

“แค่อุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากใครอื่น เพียงแต่ข้าถูกธาตุไฟเข้าแทรกตอนฝึกฝน จึงต้องตัดแขนทิ้งด้วยความจนใจ” ลิ่วซานจื่อส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “เล่าตอนนี้แล้วยาว คราวหน้าค่อยพูดถึง ตอนนี้เจ้าปลอบโยนศิษย์ในสำนักก่อนเถอะ”

ศิษย์ของสำนักมารกำเนิดที่ออกมาในครั้งนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนใกล้ทะลุหนึ่งร้อยแล้ว อุดปากประตูใหญ่ไว้จนผ่านไม่ได้

พวกศิษย์พี่ใหญ่เหอเซียงจื่อกับสตรีกางร่มยืนอยู่ไม่ไกลออกไป กำลังยืนมองมาทางด้านนี้อย่างสงบนิ่ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ไม่เจอมานาน พลังฝึกปรือของเหอเซียงจื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าสตรีกลางร่มกลับทำให้ลู่เซิ่งอดพิจารณาเพิ่มไม่ได้

ปราณมารอันเหี้ยมหาญทั่วร่างนางใกล้กระจายออกมาแล้ว อยู่ในจุดสุงสุดของระดับสามขั้นบนของขอบเขตพันธนาการอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีกลิ่นอายของอาวุธเทพศัสตรามาร ลู่เซิ่งคงนึกว่านางไปถึงระดับผู้ถืออาวุธแล้ว

นอกจากนี้ยังมีพวกนิ่งซานอีกสามคนที่เป็นตัวแทนสายสำนักอาทิตย์ชาดของพรรควาฬแดงยืนแยกอยู่อีกด้าน รอคอยเข้าไปทักทายลู่เซิ่ง

สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งฉงนใจอยู่บ้างก็คือ รอบนอกฝูงชนที่อยู่ไกลออกไปมีบุรุษวัยกลางคน หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยที่มีผมสีฟ้าตาสีเขียวยืนอยู่

พอรู้สึกได้ถึงสายตาของลู่เซิ่ง บุรุษร่างสูงในนี้ก็ยิ้มน้อยๆ พร้อมกับโค้งตัวคำนับเขา “เจ้าสำนักลู่ที่เคารพ ข้าน้อยราชาแห่งเงามืดสวี่เฝ่ยลา คนผู้นี้คือจิตแยกของข้า” เขาแนะนำบุรุษร่างเตี้ย

ลู่เซิ่งพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็มองชายชราอีกคนที่อยู่ในเงามืดอีกด้าน

ชายชราคนนั้นมีสีหน้าซีดขาว ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย หลังงอเล็กน้อย ไม่ต่างอะไรกับคนแก่ทั่วไป ทว่าหากพิจารณาให้ละเอียด จะพบว่าเขามีร่างที่ล่ำสั้น ทั้งๆ ที่อายุมากแล้ว กลับปล่อยกลิ่นอายเหี้ยมหาญป่าเถื่อนออกมา

กระนั้นลู่เซิ่งกลับสัมผัสได้อย่างปราดเปรียวว่า พลังงานประหลาดและยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดที่ซ่อนอยู่ในร่างอีกฝ่ายเทียบได้กับพลังในระดับผู้ถืออาวุธ

“เจ้าสำนักเรียกข้าว่าสือ (ศิลา) ก็ได้” คนผู้นี้แสดงให้เห็นว่าเป็นราชามารโบราณที่ถูกสะกดอยู่ใต้ตำหนักวิชาลับตนนั้น และอยู่ในระดับผู้ถืออาวุธเหมือนกัน

……………………………………….