บทที่ 391 สร้างรากฐาน (1)
สวี่เฝ่ยลากับผู้เฒ่าสือ สองคนนี้เป็นราชามารโบราณที่เคยถูกพวกผู้อาวุโสผนึกไว้ที่สำนักมารกำเนิด
ราชามาร คำเรียกที่เคยจำเป็นต้องแหงนหน้ามองนี้ สำหรับลู่เซิ่งในเวลานี้ ก็แค่เบี้ยสองตัวที่ใช้ได้เท่านั้น
“ลู่เซิ่ง เจ้ามาถึงที่นี่นานแล้ว สมควรมีการวางแผนไว้แต่แรก อาจารย์ไม่มีความคิดใด จัดการได้เต็มที่ ขอฝากทุกอย่างไว้ที่เจ้าด้วย” ลิ่วซานจื่อมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ลู่เซิ่งแต่แรก คำพูดนี้ในเวลานี้ย่อมถือว่าสมเหตุสมผล
“นอกจากนี้…พวกเราเจอการลอบโจมตีหลายครั้งระหว่างทาง หลายครั้งในนี้แม้แต่มารเงาก็ไร้พลังป้องกัน ต้องพึ่งผู้เฒ่าสือกับผู้อาวุโสราชาเงามืดลงมือคุ้มกัน” ตอนนี้เขากำลังขอความเมตตาให้แก่ราชามารทั้งสอง
ลู่เซิ่งหรี่ตามองราชามารสองตนนั้นอีกรอบ หลังจากสู้รบกับทัพมารมานาน เขาได้ตรวจสอบข้อมูลของพิภพมารทั้งหมดที่ตนหามาได้อย่างละเอียดแล้วเช่นกัน จึงมีความเข้าใจล้ำลึกต่อผู้นำเผ่าอย่างราชามาร
ราชามารไม่ใช่ตัวแทนของตัวเอง ยังมีเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลัง และเผ่าพันธุ์ที่ให้กำเนิดราชามารได้ก็ไม่มีทางเป็นเผ่าเล็กๆ เด็ดขาด หมายความว่า เผ่าพันธุ์เบื้องหลังราชาเงามืดและผู้เฒ่าสือยังคงอยู่ เพียงแต่เวลาผ่านไปนานเกินไป เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกเผ่ามารตนอื่นซ้ำเติม การแพร่พันธุ์กับการพัฒนาจึงไม่ดีนัก
ในเมื่อมารสองตนนี้หลุดจากการจองจำ แต่ยังไม่จากไป กลับมาช่วยเหลือขบวนของสำนักมารกำเนิด เช่นนั้นจะต้องมีแผนการแน่
“ลอบโจมตี? อาจารย์รู้หรือไม่ว่าผู้ลอบโจมตีเป็นใคร” ลู่เซิ่งหันเหหัวข้อมายังเรื่องนี้
ขนาดมีมารหยินคุ้มกัน ก็ยังกล้าลอบโจมตี ทั้งยังกดดันจนมารเงาไร้เรี่ยวแรงคุ้มกัน พลังแบบนี้ออกจะเกินจริงไปแล้ว
พึงทราบว่ามารหยินเก้าตัวมีจุดเด่นของใครของมัน ทั้งยังมีพลังกล้าแข็งสุดขีด ในตอนที่เขาผละมาเมื่อตอนนั้น มารหยินมีพลังในระดับผู้ถืออาวุธแล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้เลื่อนเป็นจ้าวแห่งมาร มารหยินแยกออกมาจากจิตวิญญาณซึ่งเชื่อมโยงกับเขา การเลื่อนระดับของเขาย่อมส่งผลต่อพวกมันเช่นกัน
ต่อให้อยู่ไกลแสนไกล ก็สมควรเกิดการเพิ่มพลังในระดับที่แตกต่าง
ขนาดว่ามีขบวนที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้คุ้มครองขบวนรถ ก็ยังมีคนลอบโจมตีในที่ลับอีก…
“เรื่องนี้อาจารย์ก็ไม่รู้เช่นกัน คนกลุ่มนั้นถือกระบี่ยาวสีเขียวมรกต ใบหน้าพร่ามัว ส่วนใหญ่ปิดผ้าคลุมหน้า กลิ่นอายบนร่างคลุมเครือ พละกำลังและความเร็ว แข็งแกร่งสุดขีด ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นระบบใด” ลิ่วซานจื่อส่ายหน้า
“เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มสอบถามเรื่องสำคัญระหว่างทางกับอาจารย์ และแผนการที่จับต้องได้หลังจากมาถึงต้าอิน
จากนั้นเขาก็คุยกับศิษย์พี่ใหญ่เหอเซียงจื่อสักพัก แล้วรับมือศิษย์สำนักมารกำเนิด หลังจากกำชับสั่งการทุกคน และเสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมไม่น้อย ก็ได้สร้างความมั่นใจให้แก่พวกเขา ก่อนจะมายังด้านหน้าคนของพรรควาฬแดงเป็นกลุ่มสุดท้าย
“คำนับประมุขพรรค!” นิ่งซานนำกลุ่มคุกเข่าทักทายลู่เซิ่ง
สตรีกางร่มก็คุกเข่าเช่นกัน ดูจากสีหน้าที่อ่อนโยนและบุคลิกน่าสงสารของนาง แสดงให้เห็นว่าอยู่ในร่างสตรีกางร่มอิงอิง
พอสัมผัสได้ถึงสายตาของลู่เซิ่ง สตรีกางร่มก็กล่าวเบาๆ “ตอนนี้ท่านพี่…ใช้เวลาส่วนใหญ่…ฝึกฝน แม้พลังจะเหนือกว่าอิงอิงไปไกล…แต่…แต่…” นางกล่าวติดอ่างอย่างเชื่องช้า แต่กลับสื่อสารความหมายได้เข้าใจ
ความหมายหลักก็คือ แม้หงฟางไป๋จะฝึกฝนพลังอย่างหนักจนรุดหน้ากว่าอิงอิงในตอนนี้ กระนั้นเป็นเพราะรู้ตัวดีว่ายังต่างชั้นกับลู่เซิ่งมาก ดังนั้นปกติจึงให้อิงอิงออกหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องอึดอัดคับข้องใจเพราะมีพลังต่ำกว่า
ลู่เซิ่งไม่ถือสา หงฟางไป๋มีพลังและศักยภาพแข็งแกร่ง แต่เมื่อมาถึงระดับของเขา ก็ไม่สนใจศักภาพนั้นอีกแล้ว
สุดยอดอัจฉริยะคือผู้ที่สามารถไปถึงระดับอสรพิษสามขั้นบนได้อย่างมั่นคง นี่คืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าอิน แต่ระดับผู้ถืออาวุธต่อจากนั้นหรือระดับที่สูงยิ่งกว่า ไม่ได้ดูกันที่พรสวรรค์แล้ว หากแต่ดูที่วาสนา
“สำนักอาทิตย์ชาดเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
“ในสำนักมีคนมาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบสองคน ระหว่างทางถูกลอบโจมตีจนเสียชีวิตไปสามสิบหกคน ทุกคนที่เหลือล้วนยกให้เจ้าสำนักเป็นผู้นำ” นิ่งซานตอบเสียงแผ่วต่ำ
“ในนี้มีสามคนที่เลื่อนเป็นระดับฟ้ากำเนิด” สวีชุยกล่าวเบาๆ ขึ้นด้านข้าง
ลู่เซิ่งพยักหน้าแสดงความเข้าใจ ในสายตาของเขา ณ เวลานี้ ระดับฟ้ากำเนิดเป็นแค่มดที่ตัวใหญ่หน่อยเท่านั้น ตอนนั้นเขาได้ทิ้งแผนสำรองเอาไว้ โดยติดตั้งข่ายกระเรียนหยินอย่างกว้างขวาง เพื่อจะได้ดูดซับปราณภายในทีหลัง ทว่าตอนนี้กลับไม่มีความจำเป็นแล้ว
ต้องดูดซับปราณภายในไม่รู้เท่าไหร่กว่าจะเทียบกับพลังอาวรณ์ที่ได้จากการกินอาวุธเทพชิ้นเดียวได้
“ดีที่เจ้าสำนักประทานของขวัญให้ ด้วยการสร้างข่ายกระเรียนหยิน ปราณภายในของพวกเราจึงแทบไม่พบข้อจำกัด ขอแค่ฝึกฝนอย่างหนัก จะต้องพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งได้แน่” สวีชุยกล่าวเบาๆ อย่างสะท้อนใจ
“พวกเจ้าต้องระวังให้มาก ปราณภายในเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อได้ไม่มากนัก จะต้องฝึกวิชาภายนอกและวิชาแข็งกร้าวเสริมด้วย ไม่อย่างนั้นกายเนื้อในภายหลังจะกลายเป็นข้อจำกัด และทำให้พลังฝึกปรือหยุดชะงัก” ลู่เซิ่งเตือน
ปราณภายในแตกต่างกับแก่นมารตรงที่มีการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อด้อยกว่ามาก ตอนนั้นเขาเพิ่มวิชาแข็งกร้าวและวิชาภายนอกซ้อนทับกันจนบรรลุเงื่อนไขที่ทำให้ปราณภายในยกระดับต่อเป็นสภาพของเหลวได้อย่างฝืนๆ ทว่าเมื่อมาถึงสำนักมารกำเนิด ก็ต้องตกตะลึงเพราะวิชามารแต่ละวิชา
ในด้านการเสริมกายเนื้อ ระดับของวิชามารเหนือกว่าวิชากำลังภายในบนมรรคายุทธ์มากเกินไป
“พวกเราจะจดจำไว้” พวกนิ่งซานกับสวีชุยรีบพากันประสานมือคารวะ
ลู่เซิ่งให้สำนักอาทิตย์ชาดจ่ายเงินสร้างหน่วยหลักขึ้นบนพื้นที่ว่าง ที่มีก้อนหินวางระเกะระกะซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป เมื่อเขาออกหน้า ต่อให้เขตจันทราสารทจะย่ำแย่อย่างไรก็ต้องมอบผลประโยชน์ให้ส่วนหนึ่ง แม้จะเทียบกับตอนอยู่แดนเหนือไม่ได้ ทว่าที่ต้าอินมีทรัพยากรที่นำเข้ามาจากโลกด้านนอกอย่างต่อเนื่อง รายได้โดยรวมไม่อาจดูแคลนได้ วัตถุที่หายากและมีระดับสูงส่วนหนึ่งเหนือกว่าตอนอยู่แดนเหนือเสียอีก
หลังจากจัดการสำนักมารกำเนิดและสำนักอาทิตย์ชาดแล้ว ลู่เซิ่งก็ได้รับเทียบเยี่ยมเยียนจากกรมสังข์เขียว
เจ้ากรมสังข์เขียวของเขตจันทราสารทจะมาเยี่ยมเยียน คงจะมาถามเรื่องศึกใหญ่นอกชานเมือง กรมสังข์เขียวมีตำแหน่งสำคัญถึงขีดสุด แม้จะเป็นแค่เจ้ากรมในนครเขต แต่อีกฝ่ายจะต้องมีเบื้องหลังอยู่แน่
ในเมื่ออีกฝ่ายมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง ลู่เซิ่งก็คิดจะพบกับผู้นำองค์กรข่าวสารนี้สักครั้ง เขามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะสืบดูเช่นกัน
…
ณ เขตจันทราสารท อารามพันอาทิตย์
ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางโถงหลัก มองดูศิษย์สำนักพันอาทิตย์นำสตรีคลุมหน้าสองคนที่สวมชุดเข้ารูปสีม่วงเข้ามาจากประตู
สตรีสองนางต่างมีทรวดทรงอรชร เห็นถึงบุคลิกภาพที่ไม่ธรรมดาผ่านการเคลื่อนไหวได้อย่างเลือนราง ดูคล้ายคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป ไม่มีใครนึกออกว่าสองคนนี้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงของกรมสังข์เขียว
สตรีที่นำหน้าเหน็บป้ายอาญาแผ่นยาวสีขาวไว้ตรงเอว เสียบมีดสั้นฝักหนังปลาเดินลายทองสองเล่มไว้บนขาอ่อน ดูมีประสบการณ์และความเฉียบขาด
“คำนับเจ้าสำนักลู่ ข้าน้อยเซียวฉิง เจ้าสำนักให้พวกเรารอเสียสนุกทีเดียว…” สตรีที่เดินอยู่ด้านหน้าอายุเลยวัยกลางคนมาแล้ว นางใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่พอใจ ไม่กลัวสถานะเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์สำนักพันอาทิตย์ของลู่เซิ่งแม้แต่น้อย
“เหตุใดเจ้ากรมเซียวจึงกล่าวเช่นนี้ พวกเราสำนักพันอาทิตย์เป็นประชาชนที่ปฏิบัติตามกฎหมายเสมอมา” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
“ปฏิบัติตามกฎหมายหรือ นั่นไม่แน่นัก ในสามสำนักมีใครปฏิบัติตามกฎจริงๆ บ้าง” เห็นได้ชัดว่าเซียวฉิงเป็นชื่อปลอมของนาง ท่าทีคล้ายไม่พอใจสามสำนักเท่าไหร่ “เจ้าสำนักลู่ไม่ต้องแสร้งไม่รู้ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ครั้งนี้ที่ข้าผู้เป็นขุนนางมา ก็เพื่อต้องการถามเรื่องไส้ศึกพิภพมารนอกชานเมือง”
“เจ้ากรมถามมาเถอะ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เป้าหมายที่เขาเลือกต้อนรับคนจากกรมสังข์เขียวในสำนักพันอาทิตย์ ก็เพื่อใช้ชื่อของสามสำนักลดทอนบารมีของราชสำนักต้าอินนั่นเอง
ดวงตาของเซียวฉิงปรากฏความไม่พอใจ ท่าทีของลู่เซิ่งหยิ่งยโส ปฏิบัติต่อพวกนางโดยไม่มีความเคารพต่อขุนนางราชสำนักโดยสิ้นเชิง
แต่พอนึกได้ว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ของสำนักพันอาทิตย์ เส้นสายและขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังจะต้องแข็งแกร่งถึงขีดสุด นางก็ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้
“พวกเราได้รับข่าวว่า ก่อนหน้านี้พันธมิตรทมิฬและสำนักไตรอริยะปรากฏขึ้นละแวกนี้อีกครั้ง ดังนั้นจึงส่งคนไปสืบดู กลับถูกหน่วยอาทิตย์โลหิตของสำนักท่าน ปฏิเสธการตรวจสอบร่องรอยทั้งหมดของพวกเรา เรื่องนี้ เจ้าสำนักลู่ทราบหรือไม่”
ลู่เซิ่งพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้สาเหตุมาจากตรงนี้นี่เอง
พูดถึงที่สุด แม้สามสำนักจะมีพลังกล้าแข็ง แต่อย่างไรก็เป็นสำนักพรรคใหญ่บนยุทธจักรเพียงในนาม และอยู่คนละฝั่งกับราชสำนักโดยสิ้นเชิง ต่อให้มีเจ้าแห่งอาวุธคอยสะกด ทว่าในความเป็นจริงราชสำนักต้าอินอยู่ในสภาพการณ์ที่แข็งแกร่งกว่า เพียงแต่แม้พลังจะแข็งแกร่ง ทว่ากลับยังไม่ถึงขั้นบดขยี้ได้ จึงยังไม่อาจทำอะไรสามสำนักใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ด้านนอกได้
ดังนั้นในสายตาของยอดฝีมือราชสำนัก สามสำนักที่มักจะไม่ฟังคำสั่ง จึงเป็นปัญหาและตัวแปรใหญ่สุดในยุทธจักร
เพียงแต่ลู่เซิ่งขบขันอยู่บ้าง เจ้ากรมสังข์เขียวระดับเขต กลับกล้าใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวต่อหน้าเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักระดับจังหวัดอย่างเขาเชียวหรือนี่
“หน่วยอาทิตย์โลหิตเป็นกลุ่มสำหรับระดมพลฉุกเฉินของสำนักพันอาทิตย์ ซึ่งขึ้นตรงกับสาขาใหญ่ นอกจากสาขาใหญ่ซึ่งเป็นเบื้องบนแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าสำนักระดับจังหวัดก็ไม่มีอำนาจโยกย้ายหรือก้าวก่าย เจ้ากรมมาหาข้า ถือว่ามาหาผิดคนแล้ว” เขาส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปัจจุบันสำนักพันอาทิตย์ท่านใหญ่ที่สุด หากท่านไม่มีคำว่ากล่าว ก็อย่าโทษที่ข้าไม่ไว้หน้า” ช่วงนี้เซียวฉิงหงุดหงิดถึงขีดสุด สำนักไตรอริยะและพันธมิตรทมิฬลงมือถี่ขึ้น ไม่ทราบว่าทำไมจึงต้องเกิดการเคลื่อนไหวน้อยใหญ่รอบๆ เขตจันทราสารทด้วย
นางแทบท้อแท้หดหู่ ตอนนี้อุตส่าห์ตรวจสอบเจอเบาะแส กลับถูกคนของหน่วยอาทิตย์โลหิตของสำนักพันอาทิตย์กันไว้ด้านนอก นี่จะให้อดกลั้นได้อย่างไร
ที่นางมาหา ไม่แน่ว่าจะไม่มีแผนการให้ลู่เซิ่งกดดันหน่วยอาทิตย์โลหิต โดยนางมอบแรงกดดันให้
ในจุดยืนของนาง ได้ตรวจสอบเบื้องหลังของลู่เซิ่งจนกระจ่างแล้ว เจ้าสำนักเล็กๆ ที่มาจากต้าซ่ง เข้าร่วมสำนักพันอาทิตย์พร้อมความสามารถติดตัว แต่รากฐานคือกลุ่มคนที่มาถึงเขตจันทราสารทในภายหลังกลุ่มนี้
ภายหลังคนผู้นี้จะตั้งหลักในเขตจันทราสารท ตอนนี้หากช่วยเหลือนาง ไว้หน้านางคนเดียว ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เขตจันทราสารทแห่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนาง สมควรมีการดูแลเล็กน้อย
น่าเสียดายที่นางเข้าใจแผนการของลู่เซิ่งผิดไป
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจก้าวก่ายจริงๆ ขุมกำลังอาทิตย์โลหิตขึ้นตรงกับสาขาใหญ่ เขตกับจังหวัดไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้ จะว่าไปแล้ว ข้าก็อยากถามเหมือนกันว่า คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลลวี่ในตอนนั้น…เจ้ากรมจัดการอย่างไร ได้จับคนของพันธมิตรทมิฬกับสำนักไตรอริยะหรือไม่”
สีหน้าของเซียวฉิงงุนงง ก่อนจะเยือกเย็นลง แต่มีความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสำนักลู่”
“ข้าสงสัยว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ใกล้ๆ เขตจันทราสารทจะมีจุดส่งตัวของพิภพมารซ่อนอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่บังเอิญขนาดนี้ สำนักไตรอริยะก็ดี พันธมิตรทมิฬก็ดี ไส้ศึกพิภพมารก็ดี ล้วนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างง่ายดาย” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” เซียวฉิงโบกมือพลางเอ่ยเสียงเย็นชา เรื่องใหญ่แบบนี้ เกิดยอมรับว่ามีจุดส่งตัวของพิภพมารที่มั่นคงปรากฏขึ้น เช่นนั้นก็เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงของนางในฐานะเจ้ากรมสังข์เขียว ก่อนหน้านี้ยังเกิดคดีฆาตกรรมแบบนั้นอีก ถ้าหากรายงานเบื้องบน จะต้องถูกตัดหัวแน่!
“เจ้ากรมเซียวกลับมั่นใจนัก เรื่องนี้เอาไว้ก่อน นอกจากนี้ สำนักและครอบครัวของข้าถูกลอบโจมตีขณะอพยพ ผู้โจมตีมีรูปร่างโดดเด่น ความเร็วและพละกำลังแข็งแกร่งสุดขีด กระบวนท่าและการเคลื่อนไหว…” ลู่เซิ่งเริ่มบรรยายลักษณะเด่นภายนอกของกลุ่มคนที่ลอบโจมตีขบวนรถให้เจ้ากรมสังข์เขียวฟัง
……………………………………….