ตอนที่ 812 ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว จะให้มัวคิดถึงแต่อดีตไม่ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรกับอดีตด้วย อดีตไม่หวนคืน ฉันไม่ติดใจเรื่องไม่ดีในอดีต ฉันต้องการทำชีวิตตอนนี้ให้ดีที่สุด ฉันไม่เกลียดนาย แล้วก็ไม่มีอะไรต้องคุยด้วย ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว” 

 

 

ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ประโยคนี้เสียดแทงใจหม่าลุ่ยมาก หลิวเหมยถีบเขายังไม่เจ็บเท่าตอนนี้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

ผู้หญิงนั้นเติบโตในเสี้ยววินาที เมื่อก่อนหลิวเหมยยังไม่เข้าใจความรัก พอได้สนิทกับฟู่กุ้ยถึงเข้าใจว่าความรักที่แท้จริงควรมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งสองฝ่าย ทุ่มเทไปแล้วได้สิ่งตอบแทนกลับมา มีคนทะนุถนอมความรู้สึก 

 

 

อย่างหม่าลุ่ยที่เมื่อก่อนใช้วิธีเย็นชาเป็นเหยื่อล่อให้ง้อนั้นไม่ใช่ความรักอย่างแท้จริง ถูกผิดไม่เป็นไร เพราะคนๆนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายคิดว่าทำร้ายผู้หญิงได้แล้วผู้หญิงยังอยู่ จริงๆมันก็แค่ความผูกพัน ขอแค่ผู้หญิงไม่เก็บเอาความผูกพันนี้มันมาใส่ใจ แล้วใครจะทำร้ายตัวเราเองได้? 

 

 

หลักการนี้หลิวเหมยได้รับการสั่งสอนมาจากดอกเตอร์และจิตแพทย์ที่เก่งกาจ แต่ดูเหมือนหม่าลุ่ยยังไม่เข้าใจ เขายังไม่เข้าใจว่าความคิดที่ตัวเขามั่นใจว่าถูกนั้นทำไมอยู่ๆมันก็ไม่ถูก 

 

 

รถแล่นออกไปแล้ว หม่าลุ่ยยืนอยู่ที่เดิม สมองของเขาว่างเปล่า หัวใจถูกคำพูดหลิวเหมยสร้างความเจ็บปวดอย่างโหดร้าย 

 

 

เขากลายเป็นอดีตไปแล้วเหรอ? 

 

 

อวี๋หมิงหลางพาคนมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรเขายังไม่รู้เลย 

 

 

“นายถูกคัดออก” อวี๋หมิงหลางพูดอย่างเย็นชา 

 

 

อันที่จริงเขาใช้กล้องส่องทางไกลมองดูตั้งแต่ฟู่กุ้ยขับรถเข้ามาแล้ว แค่ไม่ได้แสดงตัวเท่านั้น 

 

 

เห็นแม้แต่เมียเขาที่นั่งเท้าคางมองดูละครฉากนี้อยู่บนรถ น่าเสียดายที่เขาทำภารกิจอยู่จึงมองเธอได้ไม่นาน 

 

 

“นายทำตัวเหมือนแมวจับหนูมาตลอด คอยแกล้งพวกเรา นายเห็นพวกเรานานแล้วทำไมไม่ออกมาจับล่ะ?” หม่าลุ่ยกำลังสะเทือนใจเพราะคำพูดของหลิวเหมย จึงไม่มีแรงต่อต้านอวี๋หมิงหลางเหลืออีก 

 

 

จากบททดสอบอันโหดร้ายที่ผ่านมาหลายวันนี้ทำให้เขาได้รู้แล้วว่าหน่วยเสินเจี้ยนเป็นที่แบบไหน มีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจเขาแต่กลับพูดไม่ออก 

 

 

“หม่าลุ่ย นายเป็นคนฉลาด แต่ก็เพราะฉลาดเกินไปหน่วยรบพิเศษเลยไม่เหมาะกับนาย หรือแม้กระทั่งฉันบอกนายได้เลยว่าการเป็นทหารก็ไม่เหมาะกับนาย กลับไปเถอะ นิสัยนายเหมาะกับไปทำงานข้างนอกมากกว่า บางทีนายอาจจะก้าวหน้ากว่ามาเป็นทหารก็ได้นะ” 

 

 

อวี๋หมิงหลางพูดอย่างไม่ไว้หน้า มาถึงขนาดนี้แล้ว คำพูดของเขานับว่าอ่อนโยนสุดๆแล้ว 

 

 

“ฉันไม่ยอม ทำไม ทำไมนายไม่ไปตามสองคนนั้น? เห็นฉันตกรอบแล้วเลยมาหางั้นเหรอ? หึหึ ไหนบอกว่ายุติธรรม อันที่จริงนายมีคนที่ต้องการอยู่ในใจแล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าอยากได้คนไหนพวกนายก็จะคอยช่วย คนไหนที่ไม่อยากได้พวกนายก็ออกมาจับ” 

 

 

ทหารข้างกายอวี๋หมิงหลางมองหม่าลุ่ยด้วยความโกรธ รู้สึกเหมือนหน่วยเสินเจี้ยนโดนหมิ่นเกียรติ คนๆนี้พูดจาไม่คิด เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเพื่อการคัดเลือกครั้งนี้หัวหน้าใหญ่กับหัวหน้ากลางต้องศึกษากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งกี่รอบ 

 

 

อวี๋หมิงหลางยกมือเป็นสัญญาณบอกให้ทหารข้างๆเก็บอาการ 

 

 

“นายไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้ฉันไม่พาคนออกมาใช่ไหม? ตอนนี้ฉันจะให้คำตอบนาย” 

 

 

อวี๋หมิงหลางยื่นมือออกมา ทหารคนข้างๆยื่นอุปกรณ์สื่อสารให้เขา อวี๋หมิงหลางกดเบอร์เสี่ยวเชี่ยน แล้วเปิดลำโพง 

 

 

“เสียวเหม่ย คนของผมอยู่บนรถใช่ไหม?” 

 

 

“อืม” 

 

 

“บนรถมีของกินไหม? ไส้กรอก ขนมปัง? 

 

 

พอพูดถึงของกินหม่าลุ่ยก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พวกเขาหิวกันมานานมาก พอได้ยินเรื่องของกินท้องก็ร้องจ๊อกๆ 

 

 

“มี” เสี่ยวเชี่ยนฉลาดมาก รู้ว่าตอนนี้ตัวเองพูดมากไม่ได้ 

 

 

“เอาให้พวกเขากิน ถามพวกเขาว่าอยากกินไหม ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่กินคุณก็แกะกินต่อหน้าเลย” 

 

 

หม่าลุ่ยได้ยินเสียงเสี่ยวเชี่ยนถามทหารสองคนนั้นว่าอยากกินอะไรไหม 

 

 

“ไม่กินเหรอ? ทำตามกฎ? ไม่เป็นไร ตรงนี้ไม่มีใครเห็น” 

 

 

น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนนุ่มนวลเหมือนนางปีศาจที่กำลังยั่วยวน 

 

 

“ไม่กินจริงเหรอ? ไส้กรอกนี่อร่อยมากเลยนะ เนื้อทั้งนั้น ขนมปังนี่ก็ใช้ได้ ถ้าไม่กินงั้นดื่มน้ำก็น่าจะได้ไหม?” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนถามอีก หม่าลุ่ยท้องร้อง เขาเริ่มคิดว่าถ้าเป็นตัวเองเขาจะทำยังไง 

 

 

“ไม่กินอ่อ” เสี่ยวเชี่ยนหลอกล่อ ใช้วิธีแกล้งพูดพึมพำสื่อสารกับอวี๋หมิงหลาง 

 

 

“พอถึงปากทางปล่อยพวกเขาลง ให้วิ่งกลับไปเอง” 

 

 

“เข้าใจแล้ว” 

 

 

อวี๋หมิงหลางพูดจบก็ตัดสายทิ้ง ไม่ถามเลยด้วยซ้ำว่าเสี่ยวเชี่ยนมาทำอะไร เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่ถามว่าทำไมเขารู้ว่าเธออยู่บนรถ นี่คือความรู้ใจกัน 

 

 

“ตอนนี้รู้หรือยังว่าทำไม? กองทัพไม่ได้ต้องการคนที่ฉลาดเกินไปจนมองข้ามความซื่อสัตย์ ต่อให้เป็นตอนที่ไม่มีใครเห็นก็ยังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ แบบนี้ถึงจะเป็นทหารที่ฉันต้องการ ยามที่ไม่มีคนคุมก็ยังมีกองทัพในหัวใจ นี่แหละคนเก่งแบบที่เราต้องการ แต่นายไม่ใช่” 

 

 

นายไม่ใช่ ประโยคนี้โจมตีจิตใจหม่าลุ่ยเข้าอย่างจัง 

 

 

อวี๋หมิงหลางไม่ได้ทำร้ายร่างกายของเขา แต่วิจารณ์ตามจริง ซึ่งทำให้หม่าลุ่ยสะเทือนใจมาก 

 

 

“ฉันยังไม่ยอมหรอกนะ พวกนายวางแผนกันไว้แล้ว ใช่ พวกนายสองผัวเมียวางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรกเพื่อกำจัดฉัน แล้วแสร้งทำเป็นเหมือนไม่ได้จัดฉาก นายบอกสองคนนั้นไว้ก่อนแล้วว่าห้ามกิน พอวางสายสองคนนั้นกินหรือเปล่าใครจะรู้” 

 

 

อวี๋หมิงหลางมองเหยียดหม่าลุ่ย ผ่านไปสักพักถึงพูดขึ้น 

 

 

“ทหารสองคนที่นายพูดถึงในช่วงสามวันที่ผ่านมาพานายวิ่งไล่ล่าทหารคนอื่น หนึ่งในนั้นยังได้แบ่งอาหารแห้งคำสุดท้ายให้นายกินด้วย ถึงพวกนายจะไม่ได้มาจากค่ายเดียวกัน เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน พวกเขาก็ยังเห็นนายเป็นพี่น้อง แต่นี่อะไร พอลับหลังพวกเขานายทำอะไรลงไป?” 

 

 

คำพูดนี้สะเทือนใจหม่าลุ่ย เขานึกเรื่องราวความลำบากในช่วงหลายวันที่ผ่านมาออกแล้ว 

 

 

“นายน่ะชอบเอาทุกเรื่องมองเป็นวัตถุ การแต่งงานในสายตานายก็คือเงินทองและผลประโยชน์ นายสนแค่ว่าผู้หญิงจะให้ทรัพย์สมบัติอะไรกับนายได้บ้าง แต่กลับไม่นึกถึงความเหมาะสม หน่วยรบพิเศษในสายตานายก็เป็นแค่งานๆหนึ่ง ถ้านายอยู่ที่นี่นายจะได้ค่าตอบแทนที่มากกว่าหน่วยเก่า พอย้ายสายงานก็จะได้ตำแหน่งดีๆ โลกในสายตาของนายล้วนถูกประเมินเป็นราคา ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าสิ่งที่นายคิดมันถูกหรือผิด แต่กองทัพไม่ต้องการทหารแบบนี้ บนโลกนี้มีปัญหาที่แก้ไม่ได้ด้วยวัตถุอยู่นะ” 

 

 

อย่างเช่นความรัก หรือความศรัทธา 

 

 

ทหารที่ไร้ศรัทธาก็เหมือนกับพืชผักที่ถูกพ่นด้วยยาฆ่าแมลงที่มีสารก่ออันตรายหลายครั้ง ไม่ว่าจะมองแล้วน่ากินแค่ไหนก็กินไม่ได้ 

 

 

หม่าลุ่ยยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเขาฟังคำพูดของอวี๋หมิงหลางเข้าใจหรือเปล่า เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแวบเข้ามาในสมองของเขา เรื่องในอดีตที่เขาไม่ได้สนใจอะไรก็ชัดเจนขึ้นมา 

 

 

คำพูดของอวี๋หมิงหลางเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจเขา 

 

 

“ส่งคนไปดักรอสองคนนั้นที่ปากทาง พวกเขากลับง่ายกว่าคนอื่นหน่อยจะปล่อยให้ได้ใจไม่ได้ ผมต้องการเห็นพวกคุณเอาแรงที่สองคนนั้นประหยัดมาชดเชยให้พวกคุณที่ลงทุนลงแรงไป ถ้าพวกคุณทำไม่ได้เย็นนี้เพิ่มเมนู ได้ยินไหม” 

 

 

“ครับ”