ตอนที่ 627

Elixir Supplier

627 หมู่เมฆรวมตัว

 

“ครับ ดูที่มือกับขาซ้ายของผมสิครับ ตอนนี้มันใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว แค่ไม่ค่อยมีแรงนิดหน่อยเท่านั้น” เขาขยับแขนและขาด้านซ้ายของเขาให้เธอดู

 

“สามีของฉันก็ป่วยเป็นโรคนี้เหมือนกันค่ะ” เธอพูด “ตอนนี้ เขายังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วฉันไปบังเอิญได้ยินเรื่องที่คุณไปนวดมาไม่กี่ครั้งและกลับมาเป็นปกติได้ ฉันก็เลยสงสัยขึ้นมาว่า คุณไปรักษากับหมอคนไหนมาน่ะค่ะ”

 

“ผมไปรักษากับหมอที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังมาครับ ผมไม่ได้แค่นวดเท่านั้น แต่ผมยังฝังเข็มกับเขาด้วย ผมรักษากับเขาทั้งหมด 10 วัน แล้วจ่ายไปทั้งหมด 1,000 หยวนครับ ตอนนี้ ร่างกายของผมดีเหมือนใหม่เลยล่ะ” เหอชื่อหลี่พูด

 

“หมอที่คุณไปรักษาด้วย เขาชื่ออะไรเหรอคะ?” เธอถาม

 

“เขามีแซ่ว่า หวัง ครับ เขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในหมู่บ้านนั้น คุณหาเขาได้ไม่ยากหรอก” เหอชื่อหลี่พูด

 

“เยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากๆเลยนะคะ” เธอพูด

 

เธอจากไปพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการและกลับไปที่โรงพยาบาล เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้สามีและลูกชายของเธอฟัง

 

“ผมว่า แม่โดนหลอกแล้วล่ะ” ลูกชายของเธอยังคงไม่เชื่อเรื่องนี้

 

“ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราจะไปหาหมอคนนั้นกันนะคะ” เธอพูด

 

“โอเค” สามีของเธอพูด

 

 

ซูเสี่ยวซวียังคงคุยกับหวังเย้าอยู่ภายในคลินิก เธอไม่มีความคิดที่จะกลับไปเลยสักนิด “หมอหวังคะ ฉันอยากจะฝึกฝนพร้อมกับคุณค่ะ”

 

หวังเย้าตกใจ “กับผม? แต่ที่นี่มันคลินิกนะ”

 

“ถ้าอย่างนั้น ฉันเรียนวิชาแพทย์กับคุณก่อนได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“อะไรนะ?” หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่ายังไง “แล้วที่บ้านของเธอจะยอมเหรอ?”

 

เขารู้ว่า ครอบครัวของซูเสี่ยวซวีนั้นเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในปักกิ่ง ในความเป็นจริง เธอถือเป็นคนหนึ่งที่มาจากหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด แล้วตระกูลใหญ่ขนาดนั้นจะยอมให้ลูกสาวที่ล้ำค่าของพวกเขามาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ได้ยังไงกัน?

 

“ฉันไม่จำเป็นต้องขอคำอนุญาตจากที่บ้านหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เจ้าหญิง ตอนที่ออกมา คุณไม่ได้พูดแบบนี้เลยนะคะ ชูเหลียนคิด เธอเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น

 

ในตอนที่หวังเย้ากำลังคิดหาคำพูดที่ควรจะพูดกับซูเสี่ยวซวีอยู่นั้น เจิ้งชื่อฉงก็เดินเข้ามาในคลินิก

 

“ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะครับ หมอหวัง” เจิ้งชื่อฉงเหลือบมองซูเสี่ยวซวีและชูเหลียน

 

น่าตกตะลึงจริงๆ! หญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาในภาพวาด ส่วนอีกคนก็ดูดีมากเช่นกัน

 

“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“มื้อเที่ยงนี้คุณมีนัดที่ไหนไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงถาม “ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณหมอสักมื้อน่ะครับ”

 

“ขอบคุณนะครับ แต่มีเพื่อนของผมมาเยี่ยมพอดี แล้วผมก็รับปากว่าจะไปกินข้าวกับพวกเขาแล้วด้วย” หวังเย้าพูด

 

“งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้เราค่อยไปกินด้วยกันวันอื่นก็ได้” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

เขาพยักหน้ายิ้มให้กับซูเสี่ยวซวีและชูเหลียน ก่อนที่จะเดินออกไป  ด้านนอกคลินิก เขาสังเกตเห็นรถของพวกเธอที่จอดอยู่ด้านนอก พวกเขามาจากปักกิ่ง! พวกเขามาเพื่อรักษากับหมอหวังอย่างนั้นเหรอ?

 

หวังเย้าเชิญซูเสี่ยวซวี, ชูเหลียน, เฉินหยิง, และเฉินโจวไปทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน

 

ตอนบ่าย ซูเสี่ยวซวีก็ยังไม่ได้กลับไปไหน เธอกลับไปที่คลินิกพร้อมกับหวังเย้าและถามคำถามมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน หวังเย้าดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยเธอในเรื่องนี้ได้

 

หลังจากได้เห็นพัฒนาการของซูเสี่ยวซวีแล้ว หวังเย้าก็ต้องยอมรับว่า เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องของการฝึกฝนอย่างมาก เพราะถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือจากระบบ หวังเย้าก็อาจจะแพ้ให้กับความเร็วของซูเสี่ยวซวีก็เป็นได้

 

ชูเหลียนนั่งฟังพวกเขาทั้งสองคุยกันเงียบๆอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง

 

คำอธิบายของหวังเย้าไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับซูเสี่ยวซวี เพราะตัวเธอนั้นพอจะมีความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องกำลังภายในอยู่แล้ว แต่เธอไม่คิดว่ามันมีอยู่จริงๆ เพราะในปัจจุบัน ใช่ว่าจะมีคนหลงใหลในการฝึกฝนกังฟูกันมากเหมือนแต่ก่อน คนส่วนใหญ่ฝึกไปเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ไม่มีใครยอมเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกการหายใจ แม้แต่คนที่มีเวลาก็ไม่คิดจะเข้าถึงในเรื่องของการฝึกการหายใจ แล้วเรื่องการฝึกกำลังภายในก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความคิดของคนทั่วไป

 

ชูเหลียนไม่รู้ระดับกำลังภายในของหวังเย้า แต่การที่เขาสามารถส่งเสียงจากในห้องออกไปถึงหน้าประตู ซึ่งมีระยะทางเกือบ 10 เมตรได้นั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกประทับใจกับเรื่องนี้มาก เธอที่ยืนอยู่ด้านนอกสามารถได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงที่สร้างขึ้นมาจากกำลังภายในเหมือนอย่างที่มีเขียนบรรยายเอาไว้ในนิยายกังฟู

 

หวังเย้าไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว เขาไม่สามารถสัมผัสถึงกำลังภายในจากตัวของชูเหลียน ซึ่งไม่เข้าใจเรื่องที่เขากำลังพูดกับซูเสี่ยวซวีได้เลย เขานำบทความจากในคัมภีร์เต๋ามาพูดให้ซูเสี่ยวซวีฟัง ความจริงแล้ว เนื้อหาในคัมภีร์จื้อหรานจิงไม่ได้มีอยู่จริง พวกมันเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น

 

ซูเสี่ยวซวีตั้งใจฟังทุกคำพูดของหวังเย้า เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ก็เป็นเวลาบ่าย 4 โมง

 

“คุณหนูซูคะ เราควรกลับกันได้แล้วนะคะ” ชูเหลียนพูด

 

“จริงด้วย ขอโทษที่มารบกวนคุณนานนะคะ” ซูเสี่ยวซวีไม่อยากแยกจากเขาเลย

 

“ไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด

 

“แล้วพรุ่งนี้ คุณว่างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“พรุ่งนี้ ผมก็อยู่ที่นี่เหมือนทุกวันนั่นแหละ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ ฉันมาหาคุณอีกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

“เราต้องไปแล้วจริงๆค่ะ ขอโทษที่มารบกวนนะคะ” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด

 

ซูเสี่ยวซวีและชูเหลียนเดินออกไปจากคลินิก

 

“วันนี้ คุณหนูมีความสุขไหมคะ?” หลังจากที่พวกเธอเดินออกมาจากคลินิกแล้ว ชูเหลียนก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

 

“ค่ะ วันนี้หนูมีความสุขมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกของเธอได้แสดงผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน ความฝันของเธอกลายเป็นจริงแล้ว เธอได้พบกับคนที่เธอคิดถึงมาเนิ่นนาน ดังนั้น มันแน่นอนอยู่แล้วที่เธอจะมีความสุข

 

“คุณหนูคะ เราจะมาหาหมอหวังทุกวันไม่ได้หรอกนะคะ เขายังมีคนไข้ที่ต้องรักษาอยู่” ชูเหลียนพูด

 

“หนูรู้ค่ะ แต่หนูอยากเรียนจากเขาจริงๆนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ฉันไม่แน่ใจว่า เขาจะยอมให้คุณหนูติดตามเขารึเปล่านะคะ แต่พ่อแม่ของคุณหนูอาจจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ได้นะคะ” ชูเหลียนพูด

 

“น้าชูไม่มีวันรู้หรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีขยิบตา

 

 

ปักกิ่ง

 

กั๋วเจิ้งเหอมาเยี่ยมบ้านของซูเสี่ยวซวี

 

“เธอไม่อยู่เหรอครับ? แล้วเธอไปไหนเหรอครับ?” เขาถาม

 

“ไปเที่ยวข้างนอกน่ะจ๊ะ ชูเหลียนก็ไปกับเธอด้วย” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“อ่อ เข้าใจแล้วครับ ไว้ผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“ได้จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

กั๋วเจิ้งเหอบอกลาซงรุ่ยปิงอย่างสุภาพ โดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังออกมาให้เห็นเลย

 

“น่าเสียดาย เด็กคนนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา

 

“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?” น้ำเสียงทุ่มต่ำ แต่แฝงไปด้วยอำนาจดังมาจากในห้อง

 

“อ้าว ทำไมถึงกลับมาที่บ้านเวลานี้ได้ล่ะคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“เมื่อเช้า ฉันลืมเอกสารเอาไว้ที่บ้านน่ะ แล้วฉันก็ต้องลงใต้ด้วย” ซูเซี่ยงฮวาพูด

 

“คุณจะไปที่ไหนเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ซูเซี่ยงฮวาพูด “แล้วเสี่ยวซวีไปที่ไหนเหรอ?”

 

“คุณคิดว่าที่ไหนล่ะคะ? ก็ต้องหมู่บ้านนั่นอยู่แล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“เมื่อกี้ กั๋วเจิ้งเหอมาหาเสี่ยวซวีเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม

 

“ใช่ค่ะ เขาดูจะสนในลูกของเรามากจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“เมื่อไม่นานมานี้ พ่อของเขาก็มาคุยกับฉันเรื่องนี้เหมือนกัน” ซูเซี่ยงฮวาพูด

 

“คุณต้องคิดเรื่องนี้ให้ดีนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“แน่นอน เธอเป็นลูกสาวของพวกเรานะ” ซูเซี่ยงฮวาพูด “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”

 

“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“อืม” ซูเซี่ยงฮวาพูด

 

 

แสงไฟยามราตรีเริ่มส่องสว่างไปทั่วทั้งเขต ม่านหมอกและแสงจันทร์ที่หนาวเย็นราวกับผ้าม่าน ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด

 

“ขอบคุณที่ให้เราพักด้วยนะคะ พี่เฉินหยิง” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เธอไม่ได้ไปพักที่โรงแรม แต่เลือกที่จะพักในบ้านที่เฉินหยิงเช่าเอาไว้ ตัวบ้านมีอยู่ทั้งหมดสี่ห้อง มีหนึ่งห้องนั่งเล่น, หนึ่งห้องครัว, และสองห้องนอน

 

เดิมที ชูเหลียนไม่ต้องการจะพักที่นี่ เพราะพวกเขายังมีคนขับรถตามมาด้วยอีกคน แต่ซูเสี่ยวซวีกลับดึงดันที่จะพักกับเฉินหยิงและเฉินโจวให้ได้ ชูเหลียนจึงไม่มีทางเลือก

 

“หมอหวังกลับขึ้นไปบนเนินเขาตอนกลางคืนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ฉันคิดว่า น่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ” เฉินหยิงพูด

 

“เขานอนค้างบนเนินเขาเหรอ?” ชูเหลียนถามด้วยความงุนงง

 

“หมอหวังมีแปลงสมุนไพรอยู่ที่บนเนินเขาหนานชานค่ะ เขามักจะนอนค้างบนนั้นอยู่บ่อยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด “น่าเสียดายที่ฉันไม่เคยได้ขึ้นไปบนนั้นมาก่อน พี่เฉินหยิงเคยขึ้นไปบนนั้นมารึยังคะ?”

 

“ค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“มันเป็นยังไงบ้างคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“มันวิเศษมากเลยค่ะ” หลังจากที่เงียบไปนาน เฉินหยิงก็ให้คำตอบ

 

“จริงเหรอคะ? ฉันอยากขึ้นไปดูบนนั้นบ้างจัง พรุ่งนี้เช้า เราขึ้นไปดูด้วยกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา

 

“เอ่อ ดูเหมือนว่า หมอหวังจะปิดทางเข้าแปลงสมุนไพรของเขาเอาไว้น่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“พี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เขาใช้ต้นไม้สร้างเป็นรั้วเอาไว้ เพื่อหยุดไม่ให้คนเดินเข้าไปในแปลงสมุนไพรของเขาน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ทำไมละคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนตายอยู่บนเนินเขาหนานชาน แล้วคนก็ลือกันว่า การตายของชายคนนั้นเกี่ยวข้องกับหมอหวังน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ไร้สาระที่สุด” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอยืนอยู่ข้างหวังเย้า ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง

 

“ฉันคิดว่า หมอหวังคงไม่อยากให้คนขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน” เฉินหยิงพูด “แล้วไม่นานมานี้ ก็ยังมีเรื่องของโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านด้วย และต้นกำเนิดของโรคก็มาจากเนินซีชาน มันก็พูดยากว่า บนเนินเขาหนานชานจะไม่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ด้วย การที่ปล่อยให้คนขึ้นไปบนนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”

 

“ฉันไม่กลัวเชื้อไวรัสหรอก เรามีหมอหวังอยู่ทั้งคน พรุ่งนี้เราไปกันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปกับคุณหนู” เฉินหยิงพูด

 

ภายในบ้านของซุนหยุนเชิง คุณหวูกำลังจับดูชีพจรของเจิ้งเหว่ยจวินอยู่ เจิ้งเหว่ยจวินยังคงหลับลึกไม่ตื่น

 

“เขาเป็นยังไงบ้างครับ ลุงหวู?” เจิ้งชื่อฉงถาม

 

“ดูจากชีพจรของเขาแล้ว อาการของเขาถือว่าคงที่ และดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยด้วย” คุณหวูพูด