ตอนที่ 626

Elixir Supplier

626 มีความสุขราวกับนกน้อยที่กำลังขับขาน

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นในหมู่บ้านนี้เหรอ?” คุณหวูถาม

 

“ลองอ่านดูสิครับ” เจิ้งชื่อฉงส่งมือถือให้กับคุณหวู “เมื่อไม่นานมานี้ หมู่บ้านถูกปิดทางเข้าออก เพราะเกิดโรคระบาดขึ้นครับ มีคนตายเพราะโรคนี้มากกว่า 10 คน”

 

โรคระบาดที่เกิดขึ้นได้มีการรับมือเป็นอย่างดี ตัวยาที่ใช้รักษาถูกผลิตออกมาเพื่อหยุดการระบาดได้ทันเวลา ดังนั้น ข่าวจึงยังกระจายไปได้ไม่ไกล แม้แต่คนจังหวัดฉีในบางพื้นที่ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนที่อยู่ทางใต้ของจีนอย่างพวกเขาเลย

 

“อืม ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย” คุณหวูพูด

 

“อ่านดูตรงนี้สิครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“หวูชิงหยุน?” คุณหวูพูดออกมาด้วยความสงสัย

 

“เขากับคุณอาจจะมีบรรพบุรุษเดียวกันก็ได้นะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

แน่นอนว่า มันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น

 

คุณหวูหัวเราะออกมา “ฉันรู้จักเขา เขาเป็นหมอที่มีชื่อเสียงพอตัวเลยล่ะ”

 

“อ่านดูตรงนี้สิครับ ตัวยาที่ใช้รักษาถูกพัฒนาขึ้นมาโดยศาสตราจารย์หวูและหมอหวัง” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ฉันเข้าใจแล้ว มันอาจจะเป็นหมอหวังคนเดียวกันก็ได้สินะ” คุณหวูพูด

 

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“แล้วเชื้อไวรัสมันมาจากไหนเหรอ?” คุณหวูถาม

 

“ผมลองถามคนแถวนี้ดูแล้วครับ พวกเขาบอกมาว่า มันเป็นเชื้อไวรัสที่อยู่บนเนินเขาหนานชาน” เจิ้งชื่อฉงชี้ไปทางทิศตะวันตก

 

“ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องระวังตัวและอยู่ให้ห่างจากเนินเขานั่น ถึงจะมีการผลิตยารักษาออกมาแล้ว แต่เราจะให้เชื้อไวรัสส่งต่อไปถึงตัวเหว่ยจวินไม่ได้เด็ดขาด” คุณหวูพูด

 

“ครับ ผมบอกกับพวกเขาทุกคนแล้วว่า ไม่ให้ไปใกล้แถวเนินเขาซีชาน” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

หลังจากกลับมาที่คลินิกแล้ว หวังเย้าก็หยิบสมุดบันทึกเล่มพิเศษของเขาออกมา เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเจิ้งเหว่ยจวิน

 

เจิ้งเหว่ยจวินเป็นเหมือนกับดินแดนรกร้าง ร่างกายของเขาไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ที่แย่ที่สุดก็คือ มีศัตรูพืชอาศัยอยู่ในดินแดนรกร้างแห่งนี้อยู่เต็มไปหมด

 

ในตอนที่หวังเย้ากำลังคิดวิธีรักษาเจิ้งเหว่ยจวินและฆ่าแมลงร้ายเหล่านั้นอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เชิญเข้ามาข้างในได้เลยครับ”

 

เสียงของเขาลอยล่องผ่านประตูและส่งไปถึงคนที่อยู่ด้านนอก

 

หืม?

 

หวังเย้าถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“หมอหวังคะ?” น้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดูดังเข้ามาในห้อง มันราวกับเสียงของนกน้อยที่ขับร้อง หรือเสียงของสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ

 

“สวัสดี เสี่ยวซวี เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?” หวังเย้าถามออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์

 

“ฉันคิดถึงคุณค่ะ ดังนั้น ฉันก็เลยมาที่นี่” คำตอบของซูเสี่ยวซวีนั้นชัดเจนและซื่อตรง เธอไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง

 

“อะไรนะ?” หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่ายังไง

 

เธอคิดถึงเขา ดังนั้น เธอก็เลยมาที่นี่ เป็นคำตอบที่ดีจริงๆ

 

“หมอหวัง ฉันขอแนะนำน้าเหลียนให้คุณรู้จักค่ะ” เธอผายมือไปทางผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอดูมีอายุอยู่ราวๆ 30

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” น้าเหลียนพูด

 

“สวัสดีครับ เชิญเข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิครับ” หวังเย้าเชิญพวกเขาเข้ามาในคลินิกและชงชาให้ “ดื่มชาหน่อยนะครับ”

 

“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

คุณหนูซูดูมีความสุขมาก ชูเหลียนคิดในตอนที่หันไปมองดูซูเสี่ยวซวีที่มีรอยยิ้มกว้าง ตอนที่อยู่ปักกิ่ง ฉันไม่เคยเห็นเธอมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย

 

“ช่วงนี้ คุณยุ่งมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ก็ไม่ยุ่งมากเท่าไหร่หรอก” หวังเย้าพูด

 

“โรคระบาดที่เกิดขึ้นคราวที่แล้ว ทำคุณลำบากมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ก็นิดหน่อย แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนนกน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปมา เธอเอาแต่ถามคำถามหวังเย้าไม่หยุด

 

ตอนอยู่ที่ปักกิ่ง คุณหนูซูไม่เคยมีท่าทีแบบนี้เลยสักครั้ง ชูเหลียนคิด

 

ตอนที่อยู่ปักกิ่ง ซูเสี่ยวมักจะนั่งมองท้องฟ้าอยู่ภายในสวนเพียงลำพัง เธอไม่พูดอะไรมากมาย น้ำเสียงของเธอมักอ่อนหวานอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเลยสักครั้ง แต่เมื่อพวกเธอมาถึงที่คลินิก เธอก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคนในทันที

 

คุณหนูซูดูจะเชื่อใจหมอหวังมาก ชูเหลียนคิด เธอไม่ตั้งกำแพงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา สิ่งที่คุณซงกังวลอยู่กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วสินะ

 

มีน้อยคนที่จะเชื่อใจและอยากอยู่ใกล้ๆกับใครบางคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว นอกจากว่า พวกเขาจะชอบและต้องการทำทุกอย่างเพื่อคนคนนั้นจริงๆ

 

“หมอหวังคะ ฉันคิดว่า การฝึกฝนของฉันพัฒนาขึ้นด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนกับเด็กนักเรียนชั้นประถมที่กำลังต้องการความมั่นใจจากครูผู้สอน

 

“ใช่ ฉันรับรู้ได้ ยินดีด้วยนะ พยายามทำต่อทำต่อไปล่ะ” หวังเย้าพูด

 

ในเมื่อเขาเองที่เป็นคนสอนวิธีการฝึกฝนให้กับซูเสี่ยวซวี หลังจากที่ได้คุยกับเธอสักพัก เขาจึงรับรู้ได้ถึงการพัฒนาของเธอ

 

“แน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับชูหมัดชึ้นมา

 

 

ภายในแผนกโรคหลอดเลือดของโรงพยาบาลเหลียนชาน แพทย์กำลังรุมล้อมคนไข้รายหนึ่งอยู่

 

“หมอครับ หมอคิดว่า พ่อของผมจะกลับมาเป็นปกติได้ไหมครับ?” ลูกชายของคนไข้รายนี้ถาม

 

“พูดตามตรงนะครับ มันเป็นไปได้ยากมากที่พ่อของเขาจะกลับมาเป็นปกติได้ แค่เขาสามารถใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ผมก็ยินดีมากแล้ว” แพทย์พูด “อย่ายอมแพ้นะครับ พยายามช่วยเขาทำกายภาพให้มากที่สุด คอยดูแลให้ร่างกายของเขาอุ่นอยู่เสมอและอย่าให้เขาล้มอีก การเคลื่อนไหวของแขนและขาของเขาไม่สอดคล้องกัน ถ้าหากเขาล้มไปอีก แขนหรือขาของเขาก็อาจจะตอบสนองได้ช้า และเป็นไปได้ที่ศีรษะของเขาจะลงไปก่อน แล้วนั่นก็จะเป็นเรื่องหายนะเลยล่ะครับ”

 

แพทย์ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้คนไข้และลูกชายของเขารู้สึกกลัว แต่เป็นเพราะมีคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคนี้หลายคนหกล้ม ซึ่งเกิดจะความไม่ระมัดระวัง และเป็นผลให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง บางคนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

 

“หมอคะ ฉันเห็นว่า ที่โรงพยาบาลมีแผนกฝังเข็มอยู่ด้วยนี่คะ” ภรรยาของคนไข้อีกคนพูดขึ้นมา “คุณหมอว่า มันพอจะช่วยรักษาสามีของฉันได้บ้างไหมคะ?”

 

“การฝังเข็มนั้นมีข้อจำกัดอยู่ แต่มีคนไข้บางที่คนอาการดีขึ้น เพราะเข้ารับการรักษาในแผนกฟื้นฟูของโรงพยาบาลเรา คุณจะลองส่งตัวสามีของคุณไปรักษาที่แผนกนั้นดูได้นะครับ” แพทย์พูด

 

“แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายละคะ?” ภรรยาของคนไข้ถาม

 

“ครั้งละ 60 หยวนครับ คุณสามารถขอส่วนลดจากรัฐบาลหรือประกันสุขภาพได้ด้วย ลองดูขั้นตอนก่อนก็ได้นะครับ” แพทย์ชี้ไปที่กระดาษที่มีข้อความอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาติดอยู่บนผนัง

 

ทางกรมสาธารณสุขได้พัฒนาเรื่องประกันสุขภาพให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนอย่างมาก

 

“โอเคค่ะ ฉันจะลองคิดดู” ภรรยาของคนไข้พูด

 

นี่เป็นการเข้าโรงพยาบาลครั้งที่สองของสามีเธอ เธอกลับไปที่ห้องคนไข้เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับสามี ในเรื่องของการฟื้นฟูสรรถภาพร่างกาย

 

“โอเค ฉันเห็นด้วย” สามีของเธอพูด น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นฟังได้ไม่ชัดเจน ราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในปากของเขา ใบหน้าของเขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเป็นผลพวงจากโรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน

 

“โอเค” ภรรยาของเขาพูด

 

หลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องคนไข้ เธอก็บังเอิญ ไปได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้า

 

“เพื่อนบ้านคนหนึ่งของฉันต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเดินก็ไม่ตรง แถมมือก็ยังขยับได้ไม่คล่องอีก แต่พอไปนวดมาสองสามครั้ง เขาก็กลับมาเป็นปกติเลยล่ะ” มีคนยืนพูดอยู่ที่ระเบียงทางเดิน

 

“ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิง ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ ว่าคนคนนั้นเขาไปนวดที่ไหน?” ภรรยาของชายที่ป่วยโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันถาม

 

“เอ่อ เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” หญิงคนนั้นตอบ

 

“แล้วคุณมาจากหมู่บ้านไหนเหรอคะ?” เธอถาม

 

“ฉันมาจากหมู่บ้านตงเตี้ยนจื้อ ผู้ชายคนที่ว่า เขาอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน บ้านของเขาอยู่ซอยที่สอง เขาชื่อว่า เหอชื่อหลี่ คุณไปถามเขาเรื่องนั้นเขาได้เลย หาเขาไม่ยากหรอก” หญิงคนนั้นพูด

 

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูด

 

“ยินดีค่ะ” หญิงคนนั้นพูด

 

จากนั้น เมื่อกลับไปที่ห้องคนไข้อีกครั้ง เธอก็นำเรื่องที่ได้ยินไปบอกกับสามีและลูกชายของเธอ

 

“แม่ เธออาจจะพูดเกินจริงไปก็ได้” ลูกชายของเธอพูด “แม่ไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

 

“แต่แม่ไม่คิดแบบนั้นนะ” ผู้เป็นแม่พูด “เราน่าจะลองพาพ่อของลูกไปที่นั่นดู ถ้าเกิดมันได้ผลขึ้นมาจริงๆล่ะ?”

 

“แม่ ทำไมแม่ไม่ฟังผมบ้างเลย?” ลูกชายของเธอถาม “ผมจะบอกให้นะ เดี๋ยวนี้พวกต้มตุ๋นมีวิธีเป็นร้อยเป็นพันเอาไว้มาหลอกเรา แล้วผู้หญิงวัยกลางคนที่มีความรู้น้อยแบบแม่ก็เป็นเป้าหมายของพวกมันด้วย”

 

“เลิกพูดได้แล้ว เฝ้าพ่อของลูกให้ดีล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้เรียกหมอ และโทรบอกแม่ด้วย แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นมือถือล่ะ แล้วแม่จะรีบกลับมา” ภรรยาของคนไข้พูด

 

“ดูสิ แม่ไม่เข้าใจที่ผมบอกเลยสักนิด” ลูกชายของเธอพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ระวังด้วยล่ะ อย่าให้คนอื่นมาหลอกได้ง่ายๆ อย่าไปซื้อยาจากคนที่แม่ไม่รู้จัก แล้วแม่จะไปหมู่บ้านไหนเหรอ?”

 

“ตงเตี้ยนจื้อ มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่” เธอตอบ

 

เธอเดินทางไปที่หมู่บ้านตงเตี้ยนจื้อและลองถามชาวบ้านแถวนั้นดู ไม่นาน เธอก็หาบ้านของเหอชื่อหลี่เจอ ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขากำลังให้อาหารไก่อยู่ เขาจึงเดินไปเปิดประตูและเห็นหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก

 

“สวัสค่ะ ฉันมาหาคนที่ชื่อ เหอชื่อหลี่ ค่ะ” เธอพูด

 

“ผมคือ เหอชื่อหลี่ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” เหอชื่อหลี่ตอบหญิงแปลกหน้าคนนั้นกลับไป

 

“ฟังนะคะ พอดีว่า ฉันไปได้ยินเรื่องที่คุณป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมาน่ะค่ะ” เธอพูด

 

“ใช้แล้วล่ะครับ” เหอชื่อหลี่พูด

 

“แล้วคุณหายดีแล้วเหรอคะ?” เธอถามและมองเขาขึ้นๆลงๆ