สิบหกจานอาหารเครื่องเคียง กระทั่งอาหารจานหลักอย่างข้าวต้ม บะหมี่ ทุกชนิดล้วนเป็นอาหารชั้นสูงทั้งสิ้น

หากได้กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงใด พวกนางคงรู้สึกเปรมปรีดิ์ไปจนตาย

กู่ฉิงซาน ฉินรั่ว และว่านเอ๋อช่วยกันเก็บรวบรวมภาชนะ และเตรียมที่จะเสิร์ฟชาวิญญาณให้แก่ทุกคน

“ของข้าไม่ต้อง ข้าจะไปฝึกยุทธ์ต่อ”

ฉินเซี่ยวโหลวลุกขึ้นยืน และตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

เขาเดินออกจากวังร้อยบุปผา บินกลับขึ้นไปบนว่าว ทิ้งตัวลงนั่งอย่างมั่นคง และจมลงสู่ห้วงสมาธิอย่างรวดเร็ว

“นั่นเขา?”

เหลิงเทียนสิงงงกับฉากตรงหน้า

กู่ฉิงซานเร่งอธิบาย “เอ่อ พอดีว่านั่นคือหนึ่งในรูปแบบการฝึกยุทธ์ของทางนิกายเราน่ะ”

“หากขึ้นไปแล้ว นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ จะมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวได้แม้เพียงน้อย รูปแบบการฝึกยุทธ์ของนิกายเจ้าช่างน่าชื่นชมจริงๆ” เหลิงเทียนสิงถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ

ทว่าสาวกทุกคนในนิกายร้อยบุปผากลับไม่มีใครเลยที่จะตอบเขา

“เอาล่ะ เวลานี้พวกเราก็มาเข้าประเด็นสำคัญกันจะดีกว่า” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“หากจะให้กล่าวชัดๆ ก็คือฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน เหลิงเทียนสิง นี่คือเรื่องของพวกเจ้าทั้งสามคน”

นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยต่อ “ข้าได้หารือกับนักพรตเป่ยหยวน นายพลกงซุน และผู้นำจากหลากหลายสำนักแล้ว ได้ข้อสรุปว่า พวกเจ้าทั้งสามเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนหน้าใหม่ในโลกของเรา”

“เหลิงเทียนสิงเป็นนายพลชั้นโหยวจี และก่อนที่จะมาที่นี่ เจ้าก็ได้รับวัสดุและอุปกรณ์ที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว”

“หนิงเยว่ฉานเป็นนายพลชั้นติงหยวน เจ้ามักจะเป็นผู้นำการต่อสู้ และอยู่ในแนวหน้าของสนามรบเสมอๆ ดังนั้นแต้มทางกองทัพของเจ้าจึงมากพอให้เพิ่มยศขึ้นเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”

“หนิงเยว่ฉาน ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เกราะรบของเจ้าเสียหายไปแล้วมากกว่าครึ่ง ฉะนั้นในเมื่อเจ้าได้รับการอวยยศใหม่ ข้าจึงจะมอบเกราะรบชั้นหยงเซินให้แก่เจ้า”

“จากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”

ด้วยคำกล่าวนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็นำชุดเกราะใหม่เอี่ยมออกมา และส่งมันไปเบาๆ

เกราะรบลอยมาอยู่เบื้องหน้าหนิงเยว่ฉาน

หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้น “ขอบคุณท่านนักปราชญ์”

“ลองสวมใส่มันดูสิ” เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าและยิ้ม

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองดูชุดนายพลชั้นหยงเซิน

มันเป็นชุดเกราะโลหะสีขาวหิมะ ที่ฝังไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูซับซ้อนนับไม่ถ้วน แต่ละชิ้น แต่ละส่วนช่างเพรียวบางและงดงาม

หนิงเย่วฉานวางฝ่ามือลงบนมัน ทันใดนั้นตลอดทั้งชุดเกราะก็พลันแยกออกจากกัน

ชุดเกราะกระจายเป็นส่วน มันบินวนไปรอบตัวหนิงเยว่ฉาน และเริ่มประกบทับกับร่างกายอย่างรวดเร็ว

กระบี่สีหิมะ กระทั่งเกราะรบก็ยังมีสีหิมะ

หนิงเยว่ฉานบัดนี้แลดูทรงเกียรติ และเต็มไปด้วยความงดงามของหญิงสาว

เธอลองเดินไปไม่กี่ก้าว ขยับแขนขาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำการรับรู้ถึงเกราะรบของเธอ

สักพักเจ้าตัวก็เผยถึงท่าทีพึงพอใจออกมา

กู่ฉิงซานแช่อยู่ในความคิด ปากเอ่ยรำพึง “ชุดเกราะระดับนี้ ดูเหมือนว่าหากเป็นเมื่อก่อน โลกเราคงไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาได้”

หนิงเยว่ฉานกล่าว “เป็นธรรมดา เพราะหลังจากที่ได้รับโลกเทวะมา พวกเราก็ได้ทำการศึกษากฎการหลอมกลั่นของมัน นอกจากนี้ อาจารย์เจ้ายังช่วยไปรวบรวมเทคนิคลับเกี่ยวกับการหลอมกลั่นจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธมาอีกด้วย”

เหลิงเทียนสิง “ด้วยเหตุนี้ กฎการหลอมกลั่นอาวุธและเกราะรบของพวกเราถึงก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาในครั้งอดีตไปมากโข หากเปรียบเทียบ ก็คงจะเป็นความแตกต่างห่างชั้นกันระหว่างเมฆาและโคลนตม”

กู่ฉิงซานพยักหน้า ในหัวใจของเขารู้สึกโล่งอกมากขึ้น

การหลอมกลั่นคือหนึ่งในหกศิลป์ ขณะเดียวกัน หกศิลป์ก็คือรากฐานอารยธรรมของโลกผู้ฝึกยุทธ์

โดยรวมแล้วจึงกล่าวได้ว่า ยิ่งแตกฉานในหกศิลป์มากเท่าใด ความแข็งแกร่งของอารยธรรมผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยิ่งทรงพลังขึ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงได้หยิบถุงสัมภาระอีกใบขึ้นมา และโยนไปทางหนิงเยว่ฉาน

“หนิงเยว่ฉาน ในเมื่อเจ้าได้รับเกราะรบนายพลชั้นหยงเซินแล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ อีกอยู่ภายในนี้ จงตรวจสอบมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเสีย”

“เหลิงเทียนสิง หนิงเยว่ฉาน พวกเจ้าทั้งสองทราบหรือไม่ว่าเพลานี้อีกเรื่องที่ยังขาดหายไปคือสิ่งใด?”

เหลิงเทียนสิงและหนิงเยว่ฉานส่ายหัวพร้อมกัน

ก่อนที่จะมา เขาและเธอต่างก็ได้รับมอบสิ่งต่างๆ จากอาวุโส และผู้นำนิกายจนพรั่งพร้อมแล้ว

เขาและเธอรู้ไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับสิ่งต่อไปที่กำลังจะต้องเผชิญ และก็เตรียมพร้อมแล้วสำหรับมัน

นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้งและกล่าวว่า “ฉิงซาน สิ่งที่ยังขาดหายไปก็คือเรื่องเกี่ยวกับแต้มความสำเร็จทางกองทัพของเจ้าในตอนนี้อย่างไรเล่า”

“แต้มความสำเร็จทางกองทัพ…ของข้าน่ะหรือ?”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นชี้หน้าตนเอง คล้ายกับมิอาจตอบสนองได้ทัน

“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่โลกเทวะกำลังประสบกับความขมขื่นและกำลังจะถูกทำลาย เจ้าได้ชักชวนมารสวรรค์มาช่วยเหลือไว้ได้อย่างทันท่วงที สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่า ช่วยชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ แต่ตนเองกลับถูกส่งกลับไปยังโลกอื่น”

“หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ร่วมปรึกษา และพิจารณาจากขอบเขตวรยุทธ์ของเจ้าในปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งหมดจึงต่างเห็นตรงกันว่าเจ้าสมควรได้รับการอวยยศ”

“เดิมเจ้าเป็นนายพลชั้นโหยวจี แต่เนื่องจากความสำเร็จทางกองทัพอย่างมหาศาล พวกเราจึงเพิ่มยศของเจ้าให้เป็น ‘เฉินเว่ย’”

กู่ฉิงซานตะลึงงัน มิอาจตอบโต้กลับไปได้ชั่วคราว

“ท่านอาจารย์ มันข้ามช่วงใหญ่เกินไปหรือไม่” เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเอ่ยปากออกมา

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ตำแหน่งทางทหารระดับต่ำเราจะไม่พูดถึง ทว่าสำหรับยศนายพลแล้ว มันจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ชั้น

สี่ชั้นเรียงจากลำดับต่ำไปสูงดังนี้ โหยวจี ติงหยวน หยงเซิน และเฉินเว่ย

กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็ก้าวกระโดดขึ้นจากนายพลโหยวจี เป็นระดับสูงสุด ‘เฉินเว่ย’ อย่างกะทันหัน!

หนิงเยว่ฉานเดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีด้วย นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ”

เหลิงเทียนสิงเองก็เดินเข้ามาและกล่าว “เจ้าเหมาะสมกับยศนี้จริงๆ”

ซิวซิวชูสองมือ โห่ร้องไชโยอย่างมีความสุข “ศิษย์พี่! ตอนนี้ท่านได้กลายเป็นนายพลเฉินเว่ยแล้ว!”

ฉินรั่วหันไปถามว่านเอ๋อ “เฉินเว่ยนี่คือยศสูงสุดของระดับนายพลใช่ไหม?”

“อา เท่าที่จำได้เหมือนจะเป็นอย่างงั้นนะ” ว่านเอ๋อตอบ

ฉินรั่วหันไปโค้งกายให้แก่กู่ฉิงซาน “ศิษย์พี่ ท่านสมควรได้รับมันแล้ว”

ว่านเอ๋ออดไม่ได้ต้องพยักหน้าสนับสนุน

เพราะสิ่งที่เขากระทำ มันย่อมไม่มีผู้อื่นใดอีกแล้วที่จะสามารถเลียนแบบได้

หากตัวตนอย่างเขาไม่ได้รับยศนายพลชั้นเฉินเว่ย แล้วยังจะมีผู้ใครสมควรจะได้รับมันอีกเล่า?

เซี่ยเต๋าหลิงยิ้มและกล่าว “พวกเราได้เตรียมของต่างๆ เอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่เฉพาะในส่วนของอาวุธที่ไม่ได้ตระเตรียมเอาไว้ เนื่องจากข้าคิดว่าดาบในมือเจ้ามันทรงพลังมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งใดๆ อีก”

“แต่หากไม่มีอาวุธ แล้วเช่นนั้นศิษย์พี่จะได้รับสิ่งใดมาชดเชยเล่า?” ซิวซิวเอ่ยถามทันที

“ข้าได้จ่ายทรัพยากรของโลกใบนี้ออกไปมากมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับเทคนิคลับแห่งดาบให้แก่เขา” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

กู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันที

กลับกลายเป็นว่านี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์มองขาด และพิจารณาเกี่ยวกับมันมาก่อนแล้ว

“เช่นนั้นทางด้านเกราะรบเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความกังวล

“เกราะรบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นแน่นอน ว่าข้าย่อมเตรียมเกราะรบนายพลเฉินเว่ยแก่เขา” สีหน้าของนางเซียนแสดงออกถึงความสุข “มันคือเกราะที่สิบสองปรมาจารย์หลอมกลั่นต่างร่วมมือกันรังสรรค์ขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง จนผลิตชุดเกราะรบที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์”

ว่าจบ เธอก็โยนถุงสัมภาระให้แก่กู่ฉิงซาน

ทุกคนมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว เพื่อต้องการจะดูว่าเกราะรบนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร

กู่ฉิงซานมิได้เร่งร้อนที่จะเปิดถุง ปากเอ่ยถามเสียก่อน “แล้วสิ่งที่พวกเราจะต้องทำคืออะไร? ใช่ไปยังดินแดนชิงอำนาจเลยหรือไม่?”

นางเซียนกล่าว “มิใช่ ดินแดนชิงอำนาจคือสถานที่รวมตัวกันของหมื่นสมัครพรรคพวกจากทุกโลกลำดับชั้น ทั้งหมดต่างมุ่งมั่นที่จะขึ้นเป็นจ้าวโลก ดังนั้นจึงมีอยู่บ่อยครั้งที่คนเหล่านั้นตกตายลงในสนามรบ แต่ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตมาได้ เจ้าก็จักสามารถเพิ่มพูนความสามารถตนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากเย็นนักสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าไป”

“ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มากมายได้หันไปพึ่งพาระบบของราชามาร โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่หลงเหลืออยู่นี้คือโลกที่ต่อต้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และแทบจะไม่ว่างเว้นในการต่อสู้กับปัญหาภายในและภายนอก”

สีหน้าของเธอกลายเป็นร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ “และเพราะข้าได้กลายเป็นผู้นำพันธมิตร ดังนั้นข้อเสนอของข้าจึงถูกหยิบยกขึ้นมา ว่าพวกเราควรจะเริ่มทำการคัดเลือกหน้าใหม่ให้เร็วยิ่งกว่ากำหนด”

“พวกเจ้าจะต้องมีชัยเหนือผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายหมื่นคนจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ จงกลายเป็นหน้าใหม่ที่แข็งแกร่ง เป็นผู้ที่จะได้รับคุณสมบัติให้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจในนามของผู้ฝึกยุทธ์เสีย!”

กู่ฉิงซานขบคิดก่อนจะกล่าว “แล้วมันไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจได้เลยหรือ?”

นางเซียนมองเขาและกล่าว “ก็ยังพอมี หากเจ้าไปร้องขอเฉินหยาง หรือจ้าววงการคนอื่นๆ ในองค์กรขนาดใหญ่ พวกเขาอาจจะแบ่งปันสิทธิ์ของหน้าใหม่ในส่วนของตนเองให้แก่เจ้าก็ได้”

“แต่ข้าจะต้องขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ว่าในเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพในสายใด ล้วนต้องเผชิญกับทุกประเภทของความท้าทายกันทั้งนั้น เจ้าจึงจะสามารถเอ่ยปากได้ว่าตนนั้นแข็งแกร่ง และกลายเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ได้รับเลือก”

“แข็งแกร่งก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้า อ่อนแอก็แค่ถอยกลับมาตั้งหลัก นี่มิใช่เพียงกฎเกณฑ์ของเผ่ามนุษย์ แต่ยังเป็นระบบที่ยุติธรรมมากที่สุดอีกด้วย”

“หากเจ้าไปร้องขอตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยาง บางทีเฉินหยางอาจจะมอบสิทธิ์นั้นให้เจ้าก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน นั่นก็เทียบเท่าได้กับเป็นการฉกฉวยสิทธิ์ของบุคคลอื่น”

กู่ฉิงซานส่ายหัวทันทีและกล่าว “ลืมมันเถิด พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แล้วเหตุใดพวกเราจะต้องไปอ้อนวอนขอสิทธิ์จากคนอื่นๆ ด้วย ข้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรอก แต่จะไขว่คว้าคุณสมบัตินั้นมาด้วยตนเอง”

หนิงเยว่ฉานเอ่ยเช่นเดียวกัน “พวกเราจะพึ่งพาความสามารถของตนเอง เหตุใดต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย?”

เหลิงเทียนสิงพูดบ้าง “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น”

นางเซียนไป่ฮั่วพอได้ฟัง ในแววตาของเธอก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ

‘อันที่จริงแล้ว ในส่วนของผู้ฝึกยุทธ์มันก็ยังพอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ได้’

ทว่าเมื่อมีการแข่งขันอย่างเที่ยงธรรมปรากฏขึ้นตรงหน้า หากผู้ฝึกยุทธ์ไม่คิดทำตามกฎหมายเดินทางลัด เขาจะไปมีผู้ใดให้การยอมรับและนับถือเล่า? นั่นมิใช่สิ่งที่คนแข็งแกร่งเขาทำกัน

เซี่ยเต๋าหลิงหันไปกล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “ไป่หยิงเทียน เจ้าจะต้องปกป้องนิกาย และสอนสั่งศิษย์น้องคนอื่นๆ ให้ดี”

ห่านขาวกล่าว “น้อมรับคำสั่ง”

“ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าจักต้องหมั่นฝึกฝน เพียรพยายามต่อไป เพื่อโอกาสในคราวหน้าที่จักได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”

สามหญิงกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

ไม่รีรอให้กู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงตอบสนอง เห็นแค่เพียงเซี่ยเต๋าหลิงที่วาดชายเสื้อยาวออกไป และทั้งสามคนก็หายวับไปจากห้องโถงทันที

“ข้าจะไปส่งพวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือกหน้าใหม่” ว่าจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็หายตามไปติดๆ

…………………………………………….