บทที่ 349 บอกบางอย่างกับเสี้ยวหยา

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย่เทียนเฉินฆ่าหมอกโลหิตไปแล้ว นี่เป็นความสามารถ และเรียกได้ว่าไม่ใช่ความสามารถที่สมบูรณ์แบบ หากไม่ใช่เพราะสร้อยประคำเส้นนั้นหยุดเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารเอาไว้ เกรงว่าระหว่างการต่อสู้ขั้นเป็นตายของหมอกโลหิตกับเย่เทียนเฉิน สุดท้ายใครจะแพ้ใครจะชนะก็ยังไม่รู้ แต่การตายของหมอกโลหิต สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือตอนที่เขาถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่ที่มีอำนาจสังหารจักรพรรดิแบบนี้จะยังกล้าปะทะเข้ามาตรงๆ ไม่หลบไม่เลี่ยง ทำให้ตอนที่เขาแทงกระบี่เข้าไปในหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเขาจนแหลกสลาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องตายแน่นอน

แต่กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความแข็งแกร่งของหมอกโลหิต เกิดความรู้สึกเสียดายผู้แข็งแกร่ง ต่อให้จะได้รับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ หมอกโลหิตก็เกือบจะลากเขาไปตายด้วยกันได้แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญถูกกระบี่ไท่อาปักทะลุศีรษะ ทำให้หมอกโลหิตตาย มิฉะนั้นคนที่จะถูกฟันเป็นสองท่อนก็คือเขา

นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เย่เทียนเฉินผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว การบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดของเขาอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของหน้าอก ปราณทำลายล้างของกระบี่อวี๋ฉางเกือบจะฟันหัวใจเขาจนขาดได้แล้ว และเกือบจะฟันเย่เทียนเฉินจนขาดเป็นสองท่อน ในตอนที่ดึงกระบี่อวี๋ฉางออก เลือดสดๆ ก็พุ่งออกมา เย่เทียนเฉินรีบโคจรพลังพิเศษในร่างกายเพื่อทำการควบคุม โชคดีที่มีพลังรักษาอันอ่อนโยนของจางรั่วถงอยู่ในร่างกาย เย่เทียนเฉินจึงควบคุมการทรุดลงของอาการบาดเจ็บไว้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะฆ่าหมอกโลหิตได้ ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้เขาเองก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป

ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับผู้แข่งแกร่งอย่างหมอกโลหิตที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือประสบการณ์การต่อสู้จริง มันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เขาสยบกระบี่ไท่อาแล้ว ตอนนี้กระบี่อวี๋ฉางเองก็ถูกทิ้งไว้อีก สิบกระบี่บรรพกาลนับว่าเย่เทียนเฉินมีอยู่สองเล่มแล้ว ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง สิบกระบี่บรรพกาลทุกเล่มสามารถเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเทพ แฝงไปด้วยอำนาจที่แตกต่างกันไป ขอเพียงนำมันมาใช้ได้ พลังการต่อสู้ก็ไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า นี่เป็นสาเหตุที่ต่อให้ตายเย่เทียนเฉินก็จะสยบกระบี่ไท่อาให้ได้

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเช่นนี้จนกระทั่งเสี้ยวหยากลับมา ตอนนี้แม่ของเสี้ยวหยาจากไปแล้ว พ่อของเสี้ยวหยาก็ไปทำงานที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ในบ้านมีเพียงเสี้ยวหยาคนเดียว เย่เทียนเฉินไม่อยากให้เสี้ยวหยาสัมผัสกับความเสียใจจึงโน้มน้าวให้เสี้ยวหยาย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์ นับว่าทั้งสองเป็นคู่หูกันแล้ว

ในตอนแรกเสี้ยวหยาไม่ได้ตอบรับ ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกวางใจและชอบเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรกก็ต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นเร็วแบบนี้ ในใจยังคงรู้สึกระมัดระวังและเขินอายอยู่

อย่างไรก็ตามนี่เป็นจุดที่แข็งของเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือนอกจากมีด้านที่เป็นเทพสังหารแล้วยังมีด้านที่เป็นอันธพาลอีกด้วย มีฝีปากพริ้วไหว ร้ายกาจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดจาหยอกล้อขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเชื่อว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ดูเหมือนอันธพาลเกียจคร้านไม่เอาไหน

ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับนิสัย เย่เทียนเฉินก็มีคำนิยามให้ตัวเองแล้ว ในความคิดของเขา ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของคนต้องมีหลากหลายมิติ ถ้าหากมีแค่ด้านที่โหดเหี้ยมเย็นชาด้านเดียว คนคนนั้นก็จะไม่มีสีสัน เหลาะแหละบ้างหยอกล้อบ้าง นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่ไม่เลวเลย

ในตอนที่เสี้ยวหยากลับมาก็เห็นเย่เทียนเฉินอยู่บริเวณริมสระน้ำ ถึงแม้ตอนนั้นบาดแผลบริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินจะดีขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยมองด้านนอกก็ยังดูไม่ออก แต่บนร่างของเขายังมีรอยเลือดอยู่ เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น บนพื้นยังมีศพยืนอยู่ศพหนึ่งซึ่งถูกกระบี่ปักเข้าที่ศีรษะ ทำให้เสี้ยวหยาตกใจจนเกือบสลบ

หากไม่ใช่ว่าเห็นว่าเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ในใจของเสี้ยวหยามีความกังวลและร้อนใจ อาจจะตกใจจนเป็นลมไปนานแล้ว บางครั้งพลังแห่งความรักก็มหัศจรรย์ ทำให้คนเราคิดไม่ตก ในตอนที่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมีอันตราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวขนาดไหนหรือเป็นเรื่องที่ไม่กล้าทำขนาดไหน ตอนนั้นก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงอีกครึ่งของตนอยู่ถึงจะสำคัญที่สุด

“เทียนเฉิน นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสี้ยวหยาประคองเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความเคร่งเครียด

“ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปในห้องก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาหวาดกลัวมาก กำลังสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าก็ขาวซีด หากไม่ใช่ว่าเป็นห่วงตน เกรงว่าคงจะตกใจจนเป็นลมไปแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าจำเป็นต้องบอกบางเรื่องกับเสี้ยวหยา

เสี้ยวหยาไม่กล้าแม้แต่จะมองหมอกโลหิตที่ตายไปแล้ว ประคองเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปด้านใน เธอร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่าง ประคองเย่เทียนเฉินไปนั่งบนโซฟา จากนั้นจึงไปรินน้ำ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถรินน้ำได้อย่างแม่นยำ ดูท่าทางคงตกใจไม่น้อย

“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน ส่งแก้วน้ำไปให้

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่งลงเถอะหยาเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันนานขนาดนี้ ฉันคิดว่าเธอยังไม่รู้ว่าฉันทำอะไร วันนี้จึงคิดจะบอกเธอ!”

“อืม!” เสี้ยวหยาเห็นว่าเย่เทียนเฉินจริงจังและเคร่งเครียดขนาดนี้จึงพยักหน้าแล้วนั่งลง

“หยาเอ๋อร์ ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินเรื่องผู้มีพลังพิเศษมาก่อนหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม หากต้องการให้เสี้ยวหยารู้และรับข้อมูลเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องเปิดเผยไปทีละขั้น

“เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็น เทียนเฉิน นายเป็นผู้มีพลังพิเศษเหรอ?” เสี้ยวหยาฉลาดมาก ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากถาม

“ใช่แล้ว เธอดูสิ นี่คืออะไร…”

ในตอนที่คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันกล่าวจบ ในมือขวาของเขาก็ปรากฏแก้วน้ำที่เสี้ยวหยาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาขึ้น ระยะห่างออกไปประมาณครึ่งเมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังลอยอยู่ในอากาศด้วย ปรากฏอยู่บนมือของเย่เทียนเฉินอย่างกระทันหันเช่นนี้ นี่ทำให้เสี้ยวหยาเบิกตาทั้งสองกว้าง รู้สึกไม่กล้าเชื่อ

ความจริงแล้วหลายคนในสังคมปัจจุบันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษมาบ้าง เรียกกันโดยทั่วไปว่าคนที่มีความสามารถเฉพาะตัว คนประเภทนี้ความจริงแล้วก็คือผู้มีพลังพิเศษ เพียงแต่ไม่ได้เห็นอย่างเปิดเผยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการหยิบสิ่งของจากอากาศ หรือทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ใช้ฝ่ามือย่างปลาเป็นต้น พวกนี้เป็นพวกระดับล่างที่สุดเท่านั้น และมีพลังพิเศษอยู่บ้าง บางทีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่ต่ำที่สุดก็ได้ แต่นั่นก็ร้ายกาจกว่าคนธรรมดาแล้ว สามารถทำให้คนธรรมดาตกใจจนปากอ้าตาค้างได้

“นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษหยิบสิ่งของผ่านอากาศที่ธรรมดามาก เพียงแค่หยิบวัตถุมาใส่มือโดยใช้พลังพิเศษที่คนมองไม่เห็น แต่อย่าได้ดูถูกเคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้เป็นเด็ดขาด คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อยกมือขึ้นมาก็สามารถเคลื่อนภูเขาได้ กระทั่งสามารถเก็บดวงดาวได้เลย ตอนนี้เธอเห็นชัดหรือยัง อีกเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอฟังอีก!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้ ดวงตาของเสี้ยวหยาไหนเลยจะละไปจากมือขวาของเย่เทียนเฉินได้อีก ความจริงมันทำให้เธอรู้สึกมหัศจรรย์มาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้มีพลังพิเศษใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ มหัศจรรย์ขนาดนั้น น่าเหลือเชื่อขนาดนั้น ที่แท้ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอนี้ถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียว เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง

ต่อมา แก้วน้ำในมือขวาของเย่เทียนเฉินพลันกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันก็มีพลังสายฟ้าไหลเวียนอยู่อ่อนๆ ก้อนน้ำแข็งระเบิดอยู่ในแก้วน้ำ แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินควบคุมแรงได้ดีมาก ไม่ทำให้เสี้ยวหยามีอันตรายอะไร น้ำแข็งที่ระเบิดแตกเป็นชิ้นๆ เปล่งประกายเหมือนกับเพชร นี่เป็นสิ่งที่ผ่านการจัดการพิเศษของเย่เทียนเฉินมาแล้ว

“เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเล็กๆ หลายอย่างให้เธอดู เธอเองก็เห็นแล้ว ที่ฉันจะบอกเธอก็คือ ฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษ และบนโลกใบนี้ยังมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งกว่าฉันอยู่มาก และยังมียอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณด้วย บนโลกแบบนี้ คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้ามาได้ แต่หลังจากนี้เธอจะอยู่ด้วยกันกับฉัน คงไม่เห็นไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงบอกเธอตอนนี้ ให้เธอเตรียมใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

ความจริงแล้วในตอนที่เสี้ยวหยาตอบรับว่าจะมาอยู่ในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดจะบอกเสี้ยวหยาเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษแล้ว แต่ตอนนั้นอารมณ์ของเสี้ยวหยายังโศกเศร้าอยู่มาก กลัวว่าเมื่อได้ยินจะรับไม่ไหว ตอนนี้เสี้ยวหยาเห็นหมอกโลหิตที่ถูกฆ่าตายแล้ว ถึงแม้อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจของสาวน้อยก็ตาม นั่นเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนต้องฝันร้ายจนนอนไม่หลับ แต่เย่เทียนเฉินก็รู้ว่าหากเสี้ยวหยาอยู่ข้างกายตน จะช้าจะเร็วก็ต้องมีประสบการณ์แบบนี้ สู้บอกเธอให้เร็วหน่อย ให้เธอเตรียมใจ จะได้ไม่หวาดกลัวเกินไป

“นะ นี่ก็คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหรอ? มหัศจรรย์จริงๆ เทียนเฉิน…คนที่อยู่ด้านนอกคือคนที่มาฆ่านายเหรอ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบาด้วยความกังวล

“ใช่แล้ว เขาก็คือคนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ฉันสู้กับเขาจนเกือบตายไปแล้ว แต่เธอไม่ต้องกังวล มีฉันอยู่ จะไม่ให้เธอมีอันตรายอะไรแน่!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า มาถึงตอนนี้แล้ว เธอเชื่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นคนที่มีบุญคุณกับเธอ ผู้ชายที่ข้ามผ่านความยากลำบากไปด้วยกันกับเธอ ผู้ชายที่ควรค่าให้เธอเชื่อและยอมมอบความไว้วางใจให้

“เทียนเฉิน ถึงฉันจะไม่รู้ว่านายกำลังทำอะไร แต่ฉันเชื่อว่านายเป็นคนดี ฉันจะไม่กลัว ฉันจะยืนหยัดไปด้วยกันกับนาย ฉันเองก็จะให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ได้เห็นความแน่วแน่ของฉัน!” เสี้ยวหยาพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหวาน

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ส่วนที่แน่วแน่ของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนจริงๆ จะไม่หวาดกลัวเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร บางทีเสี้ยวหยาคงไม่อ่อนแออย่างที่เห็น หากเธอทำการฝึกฝนบ่มเพราะ บางทีอาจจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมากก็เป็นได้ เนื่องจากเสี้ยวหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นแค่ดอกไม้ประดับ ความแน่วแน่ในใจ บางครั้งก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถฝึกฝนกันได้ นี่ต้องให้สวรรค์เป็นผู้ฝึกฝนให้

“ที่ฉันบอกเรื่องพวกนี้กับเธอ เพียงแค่อยากให้เธอไม่ต้องกลัว นี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน บางทีในโลกของคนธรรมดาอาจจะสงบมาก แต่ฉันไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นโลกของฉันจึงไม่สงบ ฉันจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยสายตาแน่วแน่