“เจ้าจำฮวงเหล่าที่อยู่ในเมืองได้หรือไม่? เขาเป็นหมอที่มีอำนาจมากที่สุดในเมือง เจียงเส้าปังจะต้องถูกส่งตัวไปรักษาที่นั่นอย่างแน่นอน บางทีฮวงเหล่าอาจมีวิธีการรักษาเขาก็ได้!”

ข่าวดีอย่างไรกัน? ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว “นี่คือข้อมูลที่เจ้าต้องการบอกกับข้าอย่างงั้นหรือ?”

“ไม่ใช่หรอก” เจ้านกกางเขนพูดออกมาอย่างมีความสุข “ฮวงเหล่าต้องการรับลูกศิษย์! หากเจ้าได้รับเลือก แน่นอนว่าจะต้องได้ฝึกรักษาเจียงเส้าปังอย่างแน่นอน ฮวงเหล่ามักจะขี้เกียจลงมือเอง ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาเคยทำให้ลูกศิษย์ของตัวเองเป็นโรคประสาทด้วย”

ดูเหมือนว่านกกางเขนจะบินจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว มันจึงบินลงมาเกาะบนไหล่ของซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหมว่าข้ากำลังหมายถึงอะไร?”

ซูหวานหว่านพยักหน้า หยิบขนมออกมาแล้วยื่นให้กับนกกางเขน จากนั้นมันก็บินออกไป นางเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนฉ่ายโกวก็เดินออกไปดูที่หน้าประตูเงียบ ๆ นางจึงออกไปรอรถเกวียนที่ทางเข้าหน้าหมู่บ้าน

ในเวลานี้ฉีเฉิงเฟิงเองก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านเช่นเดียวกัน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของซูหวานหว่าน รอยยิ้มนั้นสดใสดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้ซูหวานหว่านถึงกับเสียอาการไปชั่วขณะเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น

เมื่อเห็นท่าทางของซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิงก็ยิ้มกว้าง มันทำให้นางรู้สึกอึดอัดและผลักเขา แต่ฉีเฉิงเฟิงก็จับมือนางเอาไว้ “จับเอาไว้สิ”

นางไม่ได้อยากสัมผัสเขาเสียหน่อย? เหตุใดใบหน้าของซูหวานหว่านถึงขึ้นสีแดงระเรื่อกัน

ฉีเฉิงเฟิงกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทันใดก็มีสตรีผู้หนึ่งเดินมา ทำให้ซูหวานหว่านปล่อยมือของฉีเฉิงเฟิงอย่างรวดเร็วและพูดออกมาด้วยท่าทางเฉยเมย “คุณชายฉี ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไป หากยังไม่ได้แต่งงานกัน”

“งั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงปีนขึ้นไปบนเกวียน ซูหวานหว่านเองก็ตามขึ้นไป จากนั้นเขาพูดพึมพำออกมา “ดูเหมือนข้าจะต้องรีบไปสู่ขอเจ้าสินะ”

“เจ้า!” นางยังไม่ทันได้เตรียมพร้อมอะไรเลย! ฉีเฉิงเฟิงจะรีบร้อนเกินไปแล้ว!

ซูหวานหว่านจ้องมองฉีเฉิงเฟิงครู่หนึ่ง แต่ฉีเฉิงเฟิงทำเพียงแค่ยิ้มตอบกลับมาเท่านั้น ความโกรธของนางเปรียบเสมือนน้ำในฟองอากาศที่ถูกดูดซับจนแห้งสนิทไปในทันที เมื่อสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของพวกเขา นางก็คิดว่าพวกเขากำลังจีบกันอยู่ นางยิ้มออกมาแล้วหันไปพูดคุยกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกหน้าร้อนผ่าวตลอดทาง

ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ก็เดินทางถึงในเมือง ซูหวานหว่านกระโดดลงจากเกวียนวัวทันทีและนางก็ได้เร่งฝีเท้าของตัวเองและหายเข้าไปในกลุ่มฝูงชนจำนวนมาก

ซูหวานหว่านไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ลืมให้เงินค่าเกวียน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าฉีเฉิงเฟิงเป็นคนออกเงินจ่ายค่าเกวียนให้กับนางแล้ว ชายหนุ่มพึมพำออกมาด้วยรอยยิ้ม “นางมีความทรงจำที่แย่เสียจริง ๆ”

คำพูดของฉีเฉิงเฟิงทำให้พวกชาวบ้านต่างเกิดความสงสัยในตัวของพวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างมาก

ในเวลานี้ซูหวานหว่านเดินตามทางไปที่บ้านของฮวงเหล่า ก็ได้พบฮวงเหล่ากำลังนั่งอยู่หน้าลานบ้านพร้อมกล่องไม้ โดยมีคนประมาณ 50 หรือ 60 คนกำลังยืนต่อแถวกันอยู่

ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจนักที่มีคนต้องการเป็นลูกศิษย์ของฮวงเหล่าเยอะถึงเพียงนี้ ซูหวานหว่านเกิดความงุนงง และทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของคนข้าง ๆ แสดงความคิดเห็นออกมา “หากเราได้เป็นลูกศิษย์ของเขา เราจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินถึงห้าเท่าในทุกเดือน ๆ งั้นหรือ?”

“ใช่ เขาเป็นคนพูดเอง!”

“แต่ดูจากท่าทางการแต่งตัวเห็นของเขาแล้ว…คงไม่ใช่เรื่องจริงหรือเปล่า?”

“…”

“ปึง!” ฮวงเหล่าวางกองเงินในอ้อมแขนของตัวเองลงบนโต๊ะ “หากพวกเจ้ายังพูดมากอีกจะถูกตัดสิทธิ์!”

เสียงพูดคุยเหล่านั้นเงียบลงทันที

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ในที่สุดซูหวานหว่านก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดถึงมีคนจำนวนมากมายเข้ามาต่อแถว ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเงิน! ฮวงเหล่าคนนี้ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกดูถูก ด้วยเขามีเงินทองร่ำรวยมหาศาล!

ซูหวานหว่านคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล นางมองสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะเข้าไปต่อแถวรวมกับผู้คน พอชายหนุ่มในแถวเห็นซูหวานหว่านเดินมาต่อแถวก็เอ่ยว่า “เด็กสาวที่กำลังยืนต่อแถวอยู่ตรงนั้นคงไม่ได้มาสมัครเป็นลูกศิษย์เช่นพวกเราใช่หรือไม่? ฮวงเหล่าต้องการชายหนุ่มเพื่อที่เขาจะสอนให้รักษาโรคบริเวณจุดซ่อนเร้นของผู้ชาย แน่นอนว่ามันจำเป็นต้องดูร่างกายของผู้ชาย หากรับผู้หญิงมาทำเรื่องเช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมัง!”

“ร่างกายของผู้ชายมีสิ่งใดให้ต้องหลีกเลี่ยงอย่างงั้นหรือ? ในสายตาของหมอไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงล้วนคือผู้ป่วย ไม่มีการแบ่งแยกเพศทางการรักษา” ซูหวานหว่านพูดขึ้นหลังจากที่นางได้เดินไปต่อแถว นางยังพูดต่ออีกว่า “นอกจากนี้ฮวงเหล่าก็ยังไม่มีข้อจำกัดว่าไม่รับผู้หญิงมาเป็นลูกศิษย์ เหตุใดเจ้าถึงดูถูกผู้หญิง? หรือว่าเจ้าต้องการต่อต้านข้าไม่ให้ทำงานนี้?”

“หึ! ช่างปากเก่งเสียจริง ข้ามั่นใจว่าฮวงเหล่าจะไม่เลือกเจ้าอย่างแน่นอน!” ชายคนนั้นกัดฟันพูดและจ้องมองไปที่ซูหวานหว่าน

เขาต้องทำให้ฮวงเหล่าเลือกเขา และเขาจะต้องทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกอับอาย!

“อย่าส่งเสียงดัง! อย่าพูดเสียงดัง!” ฮวงเหล่ากล่าวพลางกางกระดาษออกดู คนที่อยู่ข้างหน้าจ้องมาที่ฮวงเหล่า หลังจากเขาดูประวัติอยู่นาน ฮวงเหล่าก็ส่ายหัวพร้อมกับจ้องมาที่ชายที่อยู่ตรงหน้าและพูดออกมาว่า “ไสหัวไปให้พ้น! แม้แต่ตัวหนังสือยังอ่านไม่ออกจะมาทำไม!”

คนแรกเดินออกไปด้วยความอับอาย ส่วนคนที่สองรู้หนังสือ ทว่าเขาไม่เข้าใจจุดฝังเข็ม ทำให้ถูกฮวงเหล่าขับไล่ออกมา จนในที่สุดก็มาถึงชายคนนั้น เขายังไม่ทันมองภาพก็ถูกฮวงเหล่าไล่ตะเพิด “ไสหัวไป!”

ชายคนนั้นเกิดอาการร้อนรน “ท่านอาจารย์ฮวงขอรับ ให้โอกาสข้าอีกสักคราได้หรือไม่ ข้าแซ่หลิว! มีนามว่าเหริน ข้าเคยอยู่ร้านขายยามาก่อน แน่นอนว่าข้าต้องรู้จักชนิดของยาไม่น้อย! ข้ามักจะให้เกียรติคนไข้มาก! ได้โปรดรับข้าเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด ข้าคิดว่าข้าสามารถ…”

“ออกไป!” ฮวงเหล่าโบกมือไล่เขาออกไปและไม่ได้ให้โอกาสเขา

เขาไม่ได้ตาบอด ไม่รู้ว่าใครกันบอกว่าฮวงเหล่านั้นมองเห็นไม่ชัด ฮวงเหล่าจ้องมองไปหลิวเหริน เมื่อเห็นว่าเขายังไม่เดินออกไป จึงหยิบไม้ขึ้นมาและตีไปที่หลิวเหรินทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว ขยับร่างกายไม่ได้และไม่สามารถพูดได้

ฮวงเหล่าถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา และตะโกน “คนต่อไป!”

ผ่านไปคนแล้วคนเล่า ทว่าฮวงเหล่าก็ยังไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าจำนวนคนที่มายืนต่อแถวอยู่เหลือเพียงไม่กี่คน ก็รู้สึกขี้เกียจที่จะต้องมาถามทีละคน จึงนำภาพออกมาและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนมาดูภาพแล้วบอกกับข้ามาว่าจุดฝังเข็มบนภาพนี้คืออะไร หากเจ้าไม่รู้ว่าเรียกมันว่าอะไรก็กลับไปเสีย”

แล้วฮวงเหลาก็คร่ำครวญออกมาอีกครั้ง “ข้าเกรงว่าชีวิตนี้ข้าอาจจะหาลูกศิษย์ไม่ได้…”

หลิวเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างสังเกตเห็นก็พูดออกมาทันที “ท่านฮวงเหล่า! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่ข้าก็สามารถเรียนรู้มันได้นะ! ข้าจะตั้งใจเรียนและสำหรับนิสัยที่ไม่ดีของข้า ข้าจะปรับปรุงมันให้ดีขึ้นขอรับ!”

แน่นอนว่าซูหวานหว่านจะไม่มีทางให้โอกาสนั้นแก่หลิวเหรินแน่! นางชำเลืองมองหลิวเหรินพร้อมกับเคาะนิ้วเรียวยาวของตัวเองลงบนกระดาษและชี้ไปยังจุดฝังเข็มทั้งหมดบนรูปภาพอย่างสบาย ๆ

เมื่อฮวงเหล่าเห็นแบบนั้นก็รู้สึกมีความสุขมาก “เป็นเจ้านั่นเอง!”

เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินก็ต่างพากันโศกเศร้าที่จะต้องเดินจากไป ซูหวานหว่านเผยรอยยิ้มออกมา และโค้งคำนับให้กับฮวงเหล่า ส่วนหลิวเหรินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน

เขาจ้องมองไปที่ซูหวานหว่าน ส่วนฮวงเหล่าก็เรียกซูหวานหว่านให้เข้ามาด้านใน ทว่าซูหวานหว่านกลับกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านไม่ยอมรับเขาเสียล่ะเจ้าคะ?”

หลิวเหรินไม่คิดเลยว่าซูหวานหว่านจะช่วยเขา เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้ว! จะให้ข้ากวาดพื้นยกน้ำใส่หม้อข้าทำได้หมดขอรับ!”

เมื่อเอ่ยจบ ซูหวานหว่านก็หัวเราะออกมา “ศิษย์จำได้ว่าตอนที่ข้าได้มาหาท่านครั้งที่แล้ว รู้สึกลานบ้านจะรกไปเสียหน่อยนะเจ้าคะ ให้เขาทำความสะอาดก็ได้เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮวงเหล่าก็พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ก็ได้”

ฮวงเหล่าโยนก้อนกรวดเข้าใส่ตามตำแหน่งต่าง ๆ บนร่างกายของอีกฝ่าย แล้วอาการที่เป็นอัมพาตของหลิวเหรินก็หายไปทันที หลิวเหรินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ ๆ เขาก็กลายมาเป็นคนกวาดพื้นซะงั้น! แต่หลิวเหรินดีใจมากและทำความเคารพฮวงเหล่า ทว่าฮวงเหล่าก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไร และพาซูหวานหว่านเดินเข้าไปในบ้าน

หลิวเหรินเดินตามพวกเขาเข้าไป แต่พบว่าเขาไม่สามารถตามเข้าไปในห้องได้ราวกับถูกกีดขวางด้วยพลังงานบางอย่างเหมือนเป็นกำแพงที่โปร่งใส ทำให้หลิวเหรินทำได้แค่ยืนมองอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านเท่านั้น

ซูหวานหว่านเดินตามหลังฮวงเหล่าเข้ามา ทั้งสองตรงไปที่ห้องปีกตรงหัวมุม

ทันใดก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่นางรู้สึกคุ้นเคย “นังซูหวานหว่านมันต้องตาย! รอให้ข้าหายดีก่อน ข้าจะเอานางไปขายให้กับฮัวโหลว แล้วชีวิตของมันจะต้องทนทุกข์ทรมาน!”

จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงที่นางคุ้นเคยดังขึ้น “ใช่แล้ว! แล้วตาเฒ่าคนนี้เช่นกัน ท่านมาหาหมอแต่เขากลับวิ่งออกไปเพื่อไปรับลูกศิษย์ ดูเหมือนไม่อยากจะช่วยรักษาท่านเท่าใด! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”

“เฮอะ!” เขาก็ได้อธิบายไปแล้วว่าจะสามารถช่วยรักษาชายคนนั้นได้ภายใน 5 ชั่วยาม! ทว่าคนสองคนนี้กลับกล้าพูดถึงเขาลับหลังเช่นนี้หรือ?

ฮวงเหล่าพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับหยิบห่อผ้าสีดำออกจากเอวของตัวเอง แล้วเผยให้เห็นเข็มเงินเรียวยาว เขายัดใส่มือหวานหว่านแล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ลูกศิษย์ของข้า ข้าจะพาเจ้าไปฝึกฝังเข็ม!”

“เจ้าค่ะ!”