เป็นเหมือนอย่างที่นกกางเขนได้บอกกับนางไว้ ฮวงเหล่าเป็นคนเกียจคร้านเกินกว่าจะทำเอง แล้วคิดปล่อยให้นางเป็นคนรักษาเจียงเส้าปัง เกรงว่าต่อไปเขาจะไม่สามารถใช้ร่างกายส่วนล่างของตนเองได้แล้วสิ…

ซูหวานหว่านยิ้มออกมาและรับห่อเข็มมาเก็บไว้ จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับฮวงเหล่า

เมื่อซูฉิงฉิงเห็นฮวงเหล่ากำลังเดินมาทางนี้ นางก็ทำความเคารพและกล่าวออกมา “ท่านหมอฮวง! ท่านรีบช่วยรักษาคุณชายเจียงเส้าปังทีเจ้าค่ะ!”

“เฮอะ!” ฮวงเหล่าไม่แม้แต่จะมองใบหน้าซูฉิงฉิง เขามองไปที่เจียงเส้าปังที่นอนอยู่บนเตียง และพูดออกมาอย่างเย็นชา “ศิษย์ข้า! เจ้าช่วยถอดเสื้อผ้าของเขาออกที”

“ได้เจ้าค่ะ” เมื่อซูหวานหว่านเดินเข้ามา สีหน้าของซูฉิงฉิงพลันเปลี่ยนเป็นตกใจ ซูหวานหว่านกลายเป็นลูกศิษย์ของฮวงเหล่าได้อย่างไรกัน!?

อีกอย่างซูหวานหว่านเป็นสตรี นางจะมารักษาผู้ชายได้อย่างไรกัน? อีกทั้งยังมาถอดเสื้อผ้าของเจียงเส้าปังอีกด้วย! มันจะเป็นไปได้อย่างไร!

เมื่อได้ตรวจดูอาการของเขาเมื่อคืนก็พบว่าร่างกายส่วนล่างของเจียงเส้าปังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูเหมือนว่าเขาจะจุกมาก

ซูฉิงฉิงโมโหเป็นอย่างมากและมั่นใจมากว่าครั้งนี้คงเป็นฝีมือของซูหวานหว่าน นางกัดฟันและกล่าวว่า “ซูหวานหว่าน ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่ามาแตะต้องตัวเขา! อย่าถอดเสื้อผ้าของเขาเด็ดขาด! ช่างเป็นผู้หญิงไร้ยางอายเสียจริง ๆ!”

“ทำอย่างไรดีเจ้าคะท่านอาจารย์? นางไม่ยอมให้ข้าถอดเสื้อผ้าเขา” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไร้เดียงสาและยักไหล่พร้อมกับเปิดห่อสีดำในมือ ดึงเข็มเงินเล่มที่ยาวและบางที่สุดออกมา “งั้นท่านจะต้องบอกข้าเสียแล้วเจ้าค่ะ ว่าข้าจะต้องทำอย่างไร แล้วข้าจะเป็นคนลงมือเอง ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“ย่อมได้” ฮวงเหล่าพยักหน้าไม่สนใจท่าทางตกใจของซูฉิงฉิง เขาจุดตะเกียงน้ำมันและให้ซูหวานหว่านนำเข็มเงินมาเผาจนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง

ฮวงเหล่ายังไม่ได้อธิบายขั้นตอนอะไรต่อไป ทว่าซูฉิงฉิงที่ยืนด้านข้างก็ตะโกนขึ้นมาก่อน “ฮวงเหล่า! ท่านกล้าดีอย่างไรปล่อยให้ซูหวานหว่านมาเป็นคนรักษา อีกทั้งนางยังเป็นคนที่ไม่มีความสามารถหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอเสียเลย ถึงแม้นางจะเป็นลูกศิษย์ของท่านก็ตาม แต่เราสัญญาว่าหากท่านเป็นคนรักษา เราจะให้เงิน 100 ตำลึงแก่ท่าน! เช่นนั้นท่านอย่ามัวมาทำอะไรไร้สาระอยู่เลย!”

ฮวงเหล่าโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาลูบไล้เคราของตัวเองและเป่าตะเกียงน้ำมันให้ดับลง “ศิษย์ของข้า ข้าย่อมรู้ว่านางสามารถทำได้หรือไม่ ส่วนเจ้าที่เป็นแค่เมียชาวบ้านกรุณาหุบปากซะ และเจ้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ ระมัดระวังการเคลื่อนไหวตัวของตัวเองเสีย พยายามอย่างอารมณ์เสียมากนัก มันจะมีผลต่อลูกในท้องได้!”

ว่าอย่างไรนะ? นางท้องงั้นหรือ? ใบหน้าของซูฉิงฉิงซีดขาวก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับมามีความสุขอีกครั้ง เจียงเส้าปังเป็นถึงลูกชายของตระกูลร่ำรวย หากนางได้แต่งงานกับเขา ผู้คนต้องมองว่าเป็นบุญวาสนาของนางที่ได้แต่งงานกับคนที่มีฐานะดีเช่นนี้! หากเจียงเส้าปังรักษาช่วงล่างหายดีแล้ว ก็คงจะไม่เป็นปัญหาอันใดหากนางจะได้เป็นภรรยาหลวง!

ซูฉิงฉิงรู้สึกปีติยินดีมาก นางลูบท้องของตนเองพร้อมทั้งมองไปที่ซูหวานหว่าน “งั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะไม่เอาเรื่องกับท่านก็ได้ ข้าจะให้นางลองรักษาดู แต่เจ้าก็อย่าทำให้เขามีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกนะ! ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็ หึ!”

“การเป็นหมอสิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาคนป่วยให้หาย ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ซูหวานหว่านพยักหน้าและนั่งลงที่ขอบเตียง มองดูดวงตาที่สั่นเทาของเจียงเส้าปัง และมุมริมฝีปากของนางก็ได้ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

นางสามารถรักษาเจียงเส้าปังให้หายดีได้ ทว่าไม่ได้หมายความว่าเจียงเส้าปังจะไม่สูญเสียสิ่งที่อยู่ภายใต้กางเกงตัวเองไป!

ซูหวานหว่านหยิบเข็มขึ้นมาและฮวงเหล่าก็ไล่ให้ซูฉิงฉิงออกไปรอข้างนอก เมื่อเขาเดินกลับมาก็เห็นว่าซูหว่านหว่านได้ถอดเสื้อผ้าของเจียงเส้าปังหมดแล้ว ในครานี้เจียงเส้าปังจะถูกฝังเข็มในจุดที่ทำให้ไม่สามารถส่งเสียงใดได้

เหตุใดนางถึงมีความรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน? แววตาของฮวงเหล่าเปล่งประกาย เขาสั่งให้ซูหวานหว่านยกมือขึ้นและนำเข็มเงินไปฝังตามจุดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

การฝังเข็มของนางนั้นเบาดุจปุยเมฆ ดูจากท่าทางการฝังเข็มของนางแล้วเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางฝังเข็ม ฮวงเหล่ารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลูกศิษย์มาโดยไม่ต้องสอนงานให้เปลืองแรง

หลังจากฝังเข็มชุดแรกเสร็จ เจียงเส้าปังก็หมดสติลง ฮวงเหล่าจึงสั่งให้ซูหวานหว่านดึงเข็มออกมาแล้วทายาให้เขา และตัดสินใจถามเพื่อคลายความสงสัยของตนเอง “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับการใช้เข็มหรือการฝังเข็มล่ะ? อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเจ้าจะชำนาญในการใช้งานมันพอสมควรเลย”

นางจะบอกออกไปได้อย่างไรว่านางได้ศึกษาจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์เพื่อเอาไว้ใช้ฆ่าคน? และนางมักจะฝึกฝังเข็มกับสัตว์เล็ก ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บมาอีกด้วย?

แต่โดยปกติแล้วนางไม่สามารถพูดออกมาเช่นนั้นได้! ตัวตน ณ ตอนนี้ของนางคือสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่ง หากนางพูดออกไปอาจจะทำให้ถูกสงสัยได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้าอยากจะมาที่แห่งนี้ เพราะว่าข้ามีความสามารถพิเศษและอยากฝึกฝนมันน่ะเจ้าค่ะ”

“นับว่าเจ้าเก่งกาจและใจกล้านัก!” ฮวงเหล่ากล่าวชมเชยนาง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา “อันที่จริงความกล้าเช่นนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นเป็นเพราะความกล้าหน้าด้านของข้าที่อยากจะไปสู่ขอหญิงสาวนางหนึ่ง แต่เป็นเพราะป๋ายเหล่านั่น!! สุดท้ายจึงต้องอยู่คนเดียว”

ท่าทางที่เผยออกมาให้ผู้คนเห็นของฮวงเหล่ารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเมื่อวันวานที่แสนลึกซึ้งในแววตาของเขา “น่าเสียดายที่สาวงามนางนั้นต้องพลาดของดีอย่างข้าไป”

นางคิดไม่ถึงเลยฮวงเหล่าและป๋ายเหล่าจะมีเรื่องขุ่นเคืองกันมากถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าที่ทั้งคู่ต่างไม่มองหน้ากันและไม่ถูกกันอยู่เสมอ!

ซูหวานหว่านทำได้แต่พูดปลอบตามประสา และพลันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรนของเจียงเส้าปัง นางจึงลุกขึ้นเดินไปหาซูฉิงฉิงเพื่อเรียกให้นางเข้ามาดูแลเจียงเส้าปัง

แต่เมื่อนางก้าวขาพ้นประตูห้องก็พบว่าซูฉิงฉิงหายไปแล้ว นางพยายามเดินตามหาอีกฝ่ายทว่าไม่พบ เป็นหลิวเหรินที่นั่งยอง ๆ อยู่ที่ประตูลานบ้านก็พูดออกมาว่า “แม่นางผู้นั้นเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อครู่! ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางออกไปทำสิ่งใด”

เมื่อได้ยินเช่นนนั้น นางก็ให้หลิวเหรินช่วยบอกทิศทางว่าซูฉิงฉิงเดินไปทางใด ซูหวานหว่านเหลือบสายตามองไปที่เขาก่อน จากนั้นก็เดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามที่หลิวเหรินได้บอก เขากระโดดลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธคิดในใจว่านางรู้ได้อย่างไรว่าเป็นทางนั้น!

เมื่อนางเดินมาตามเส้นทาง ซูหวานหว่านก็ยิ่งรู้สึกว่านี่มันไม่ปกติเสียแล้ว บริเวณรอบ ๆ ไม่มีซอยหรือแม้แต่สถานที่ใด ๆ มีแต่โรงเรียนจินซวนที่เป็นสถานที่ที่ซูจิ่นเจียงพี่ชายของนางและซูจิ่นหมิงน้องชายของนางศึกษาอยู่เท่านั้น

ซูฉิงฉิงไปที่นั่นด้วยเหตุใดกัน?

ระหว่างที่ขบคิดก็มีชายผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยความรีบร้อน จนพวกเขาเกือบจะชนกัน เมื่อนางได้สติก็เห็นใบไผ่ปักอยู่ที่หน้าอกของชายผู้นั้นและนางก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาคือใคร

ฉีเฉิงเฟิงถามขึ้นมาว่า “เจ้าพาพี่ชายและของน้องชายของเจ้าไปที่ใดกัน? ข้ามีสิ่งของอยากจะมอบให้พวกเขา ของสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาในการสอบวิชาการและชั้นขุนนางได้”

นางจะพาพี่ชายและน้องชายของนางไปได้อย่างไรกัน? คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบมาอธิบายได้ ทว่าเมื่อนางคิดถึงซูฉิงฉิงที่หายตัวไป ซูหวานหว่านก็เกิดอาการตื่นตระหนกและพูดออกมาว่า “ข้ายังไม่ได้ไปโรงเรียนจินซวนเลย อีกทั้งยังไม่ได้เจอพวกเขาทั้งสองคน แล้วข้าจะพาพวกเขาออกไปที่ใด?”

“หือ?” ฉีเฉิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเพิ่งเข้าไปข้างในมา ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่าพวกเขาสองคนมีพี่สาวน้องสาวมารับ ท่าทางของพวกเขามีความสุขมาก หากไม่ใช่เจ้า…”

“หรือว่าจะเป็นซูฉิงฉิง! นางคงจะอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวน้องสาวของพวกเขาตอนที่พาพวกเขาออกไป แต่นางคงไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง ชายหนุ่มผู้นั้นคงเข้าใจผิดว่าเป็นข้า” ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว นางคิดว่าซูฉิงฉิงคงไม่เป็นมิตรกับซูจิ่นหมิงและซูจิ่นเฉียงเท่าใด และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังตกอยู่ในอันตราย!

แต่นางจะไปตามหาพวกเขาได้จากที่ไหนกัน?

ซูหวานหว่านขบฟันแน่น เดินไปเดินมาด้วยท่าทางที่เป็นกังวลใจ ฉีเฉิงเฟิงพยายามปลอบใจนางให้เย็นลง นางยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนจินซวน ยืนรอเป็นเวลาครึ่งชั่วยามทว่าก็ไม่พบ

ซูหวานหว่านเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง นางวิ่งไปที่หน้าประตูบ้านฮวงเหล่า ซึ่งฉีเฉิงเฟิงก็รีบวิ่งตามนางไปเช่นกัน

ทั้งสองรออยู่นานแต่ก็ไม่พบซูฉิงฉิง หลิวเหรินที่กวาดพื้นบ้านอยู่ในลานบ้านจ้องมองซูหวานหว่านพร้อมทั้งกล่าววาจาดูถูก “หากเจ้าต้องการรู้ข่าวเกี่ยวกับแม่นางคนนั้นล่ะก็ จงขอร้องข้าสิแล้วข้าจะบอกเจ้า!”

“ขอร้องเจ้างั้นหรือ?” ซูหวานหว่านยิ้มเยาะเย้ย “เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป อีกไม่กี่วันหากข้าได้เก็บข้าวของมาเรียนที่นี่ คอยดูว่าเจ้าจะถูกข้าสั่งให้ทำอะไรบ้าง!”

“สุภาพบุรุษตัวจริงเขาไม่สู้กับผู้หญิงหรอก!” หลิวเหรินกัดฟันและเดินไปกวาดพื้นที่อื่น

ซูหวานหว่านแหงนมองท้องฟ้า เมื่อเห็นฝูงนกความคิดของนางก็ได้เปล่งประกายออกมา นางสามารถถามข่าวจากฝูงนกได้ ทว่านางจะคุยอย่างไรไม่ให้คนที่อยู่ข้าง ๆ เกิดความสงสัย? ในตอนนั้นนางกำลังคิดหาวิธี ทว่าทันใดนั้นนางก็เห็นซูฉิงฉิงค่อย ๆ เดินเข้ามาดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหย่อหยิ่ง

“ซูฉิงฉิง! พี่ชายและน้องชายของข้าอยู่ที่ใด?” ซูหวานหว่านพูดออกมาพร้อมกับกำหมัดแน่น