“จากนั้นพวกเราก็อธิบายถึงเหตุผลที่ไปที่นั่นให้ท่านนักบวชคาร์ลทราบ แล้วก็พาคนเจ็บที่เหลืออยู่กับท่านนักบวชออกมาขอรับ หลังจากไปฝากคนเจ็บไว้ที่หมู่บ้านปลอดภัยที่ใกล้ที่สุด ก็มุ่งหน้ามาวิหารหลวง ทว่าเพราะร่างกายที่อ่อนแอของท่านนักบวชคาร์ลจึงทำให้ไม่อาจเดินทางเร็วได้ ทั้งยังตามที่ได้เขียนรายงานไป…”

“…ร่างกายของท่านนักบวชคาร์ลอ่อนแอลงกะทันหัน”

“ใช่ขอรับ”

ราธบันเงยหน้ามองอาคาร เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเหล่านักบวชระดับสูงที่เข้าไปก่อน พวกเขาเริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาอย่างบ้าคลั่งแล้ว

หลังจากฟังรายงานเล็กๆ น้อยๆ อีกสองสามเรื่อง เขาก็มุ่งหน้ายังสถานที่ที่คาร์ลอยู่ทันที ไม่นานก็เห็นห้องที่เหล่านักบวชกำลังเดินเข้าออกกันอย่างวุ่นวาย ทันทีที่เข้าไปด้านในก็เห็นชายวัยกลางคนที่ดูซูบผอมกำลังนั่งอยู่ปลายเตียง

ชุดที่เขาสวมอยู่คือชุดนักบวชที่เก่าและขาด เส้นผมสีน้ำตาลยาวไม่เป็นทรงเพราะไม่ได้ถูกตัดให้ดี รูปตาโค้งเรียวอย่างอ่อนโยนทำให้ดูเหมือนกำลังยิ้ม และขาข้างซ้ายที่โก่งจนใครเห็นก็มองออกว่ามันต่างจากขาข้างขวาอย่างชัดเจน

แม้จะผอมโซและแห้งเหี่ยวแต่เขาก็คือนักบวชคาร์ลที่อยู่ในความทรงจำของราธบันไม่ผิดแน่

“อ้าว ท่านราธบัน”

ขณะที่ได้เห็นราธบันเดินเข้ามาด้านใน นักบวชคาร์ลก็พยายามจะลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว ราธบันรีบเดินเข้าไปใกล้เขาแล้วจับแขนอย่างระมัดระวังคล้ายจะสื่อว่าอย่าทำเช่นนี้ ราวกับเข้าใจเจตนาของราธบัน นักบวชคาร์ลจึงระบายยิ้มอ่อนใจก่อนจะเอ่ยทักทาย

“ไม่ได้พบกันนานเลย ยกโทษให้ข้าที่ต้องเสียมารยาทนั่งต้อนรับแบบนี้ด้วย”

คาร์ลกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและสุขุม

“เสียมารยาทอะไรกันขอรับ มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย ทางมาที่นี่คงจะลำบากมาก ไม่ทราบว่าร่างกายของท่านเป็นอย่างไร?”

ราธบันกล่าวเช่นนั้นพลางพิจารณาคาร์ลอย่างเชื่องช้า เส้นผมของเขาแห้งกรอบโดยไม่มีแม้แต่ความมันเงา ร่างกายผอมบางดั่งนักบวชที่ทำทุกรกิริยา[1] ราวกับต้องการบอกให้รู้ว่าตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในวิหารห่างไกลนั้นลำบากเพียงใด อีกทั้งดูจากท่าทางซวนเซในทุกครั้งที่ยืนขึ้น ดูเหมือนขาของเขาที่ผิดรูปมาตั้งแต่เกิดจะยิ่งสภาพแย่ลงกว่าเดิม

ดวงตาของราธบันปราดมองเขาอย่างละเอียดมากขึ้น

‘เห็นว่าแสดงอาการที่เหมือนถูกพลังเวทของปีศาจปกคลุม’

เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจจะมีบางคราวที่ต้องเปรอะเปื้อนเลือดของมัน แม้มีเพียงเล็กน้อย แต่หน่วยอัศวินผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์จะได้รับผลกระทบน้อยลง หากแต่คนทั่วไปมักจะสิ้นสติไปทันที หลังจากฟื้นขึ้น จะจับไข้ ร่างกายอ่อนแอลง ชาวบ้านจึงหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับปีศาจเป็นอย่างมาก

พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชระดับสูงยังคงโอบล้อมร่างกายของคาร์ลอยู่ไม่ขาด ทันใดนั้น ใบหน้าที่เคยซูบตอบของคาร์ลก็ค่อยๆ มีสีเลือดฝาดกลับมา เมื่ออยู่ในระดับที่มองผ่านๆ แล้วยังรู้ได้ว่ากำลังกายเขาฟื้นกลับมา ราธบันก็นำทางเหล่านักบวชระดับสูงที่คุ้นเคยกันออกไปด้านนอกอย่างนอบน้อม

ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงแค่ราธบันและคาร์ล เมื่อราธบันปิดประตูและเดินเข้าไปใกล้คาร์ลอีกครั้ง เขาก็กล่าวด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้น

“ราธบัน สหายของข้า ที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่?”

ราธบันผงกศีรษะเมื่อได้เห็นท่าทีที่เป็นกันเองกว่าครู่ก่อนของคาร์ล คาร์ลผู้ใจดีและอ่อนโยนกับเขาอยู่เสมอตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นอัศวินไม่มีชื่อเสียง คาร์ลยังใจดีกับทุกคนไม่ใช่แค่ราธบันเท่านั้น ดังนั้นทุกคนในวิหารหลวงจึงล้วนแต่ชื่นชอบเขา เว้นเสียแต่คนผู้เดียว

คาร์ลเปิดปากพูดก่อนขณะที่ราธบันย้อนนึกถึงอดีตและติดอยู่ในความคิดอยู่ไปชั่วขณะ

“ใครจะคิดว่าเหล่านักบวชระดับสูงจะมากันเยอะถึงเพียงนี้ แถมยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาให้จนเหน็ดเหนื่อย…”

เป็นน้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด และขณะที่ราธบันกำลังจะกล่าวว่าไม่ต้องลำบากใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้น

“หากข้าตรงไปพบท่านนักบุญหญิงทันที ก็คงไม่ต้องให้คนมากมายมาลำบากเช่นนี้”

คำพูดนั้นทำให้ราธบันกลืนคำพูดที่กำลังจะหลุดจากปาก หากเป็นเมื่อก่อนราธบันคงจะฟังผ่านไปโดยไม่คิดอะไร ทว่าราธบันกลับกำลังรู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้ยินคำพูดของคาร์ล คำพูดของเขาฟังดูราวกับจะบอกว่าหากเขาตรงไปถึงวิหารหลวงแล้วนักบุญหญิงจะมาดูแลเขาด้วยตนเอง ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้ นักบุญหญิงจะไม่รักษาให้ใคร นอกเสียจากกรณีจำเป็นจริงๆ

คาร์ลที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าราธบันเป็นเช่นนั้น เปิดปากพูดอีกครั้ง

“ว่าแต่…ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนักบุญหญิงใช่ไหม?”

คาร์ลกังวลเรื่องนักบุญหญิงเสมอ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเอ่ยถามตนที่ได้พบหน้านักบุญหญิงอยู่บ่อยๆ สมัยก่อนเขาก็มักจะเอ่ยถามแบบนี้อยู่บ้างเวลาพบกับราธบันโดยบังเอิญในวิหารหลวง

ราธบันจ้องมองคาร์ล เขายังคงยิ้มด้วยใบหน้าสงบสุข

รอยยิ้มเหมือนเดิมที่ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนและคำถามที่ไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ราธบันกลับรู้สึกว่าคาร์ลผู้นั้นต่างจากเดิม

ขณะที่ได้เห็นรอยยิ้มของคาร์ล ราธบันก็นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตอันแสนเลือนราง วันที่เขาเพิ่งเข้ามาในวิหารหลวงและได้รับดาบออกไปล่าสัตว์ครั้งแรก คำพูดที่ผู้บัญชาการอัศวินผู้เป็นอาจารย์ของเขาพูดขณะที่เผชิญหน้ากับสัตว์ป่าดุร้ายภายในป่าใกล้เคียงกับวิหารหลวงลอยขึ้นมาในหัวของราธบัน

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ห้ามเปิดเผยอารมณ์ของตนแก่ศัตรูเด็ดขาด”

เช่นนั้นจึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ คำพูดประโยคนั้นฝังอยู่ในหัวของราธบันอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่าศิลปะดาบใดๆ ที่อาจารย์เคยสั่งสอน

ทำไมถึงมานึกถึงคำพูดนั้นได้ตอนนี้กัน

ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ ร่างกายของเขาก็เก็บซ่อนอารมณ์ได้อย่างเชี่ยวชาญและสวมหน้ากากเย็นชาตามการฝึกฝนอย่างยาวนาน

“ท่านนักบุญหญิงสบายดีเหมือนอย่างเคยอยู่เสมอขอรับ”

คำตอบเรียบง่ายที่เหมาะสมกับคำถามที่เรียบง่าย การสนทนาไหลต่อไปดุจน้ำหลาก

“หลังจากพักผ่อนอีกชั่วครู่ ท่านต้องได้รับการรักษาอีกครั้ง ท่านเดินทางมาอย่างลำบาก ข้าคงไม่อาจรบกวนการพักฟื้นของท่านคาร์ลเพราะความยินดีส่วนตัวได้ มีผู้คนอีกมากมายในวิหารหลวงที่รอคอยให้ท่านคาร์ลกลับไป ไว้เราค่อยสนทนากันยาวๆ ที่วิหารหลวงจะดีกว่า”

ราธบันกล่าวเช่นนั้นพลางค้อมตัวเล็กน้อย คาร์ลมองราธบันผู้นั้น ก่อนจะเปิดปาก

“…โชคดีเสียจริงที่ยังมีคนที่จดจำข้าได้อยู่”

แม้ว่าเขาจะพยายามต่อบทสนทนาแต่ราธบันก็แสร้งทำเป็นไม่รู้และมองข้ามคำพูดของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดราธบันจึงเกิดความคิดที่ว่าไม่ควรสนทนากับเขานาน

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านพักผ่อนให้สบายอีกสักหน่อยเถิด”

ราธบันโค้งลาและออกจากห้องไปก่อนที่คาร์ลจะพูดอะไรขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกมาด้านนอกของที่พักทันที

“จะไปไหนหรือขอรับ?”

อัศวินที่คิดว่าราธบันจะสนทนากับคาร์ลอีกนานเอ่ยถามราธบันที่กำลังก้าวออกจากที่พักด้วยความงงงัน

“ข้าจะกลับไปก่อน หากมีใคร…ไม่สิ หากนักบวชคาร์ลถามถึงก็ให้ตอบไปว่าที่วิหารหลวงเรียกหาตัวผู้บัญชาการอัศวินกะทันหัน ข้าจึงกลับไปก่อน”

“ขอรับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของราธบัน อัศวินค้อมศีรษะโดยไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ราธบันตามหาม้าของเขาที่พักหายใจอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะกระโดดขึ้น จากนั้นก็ขี่ม้ามุ่งหน้าตรงไปยังวิหารหลวงทันที เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาได้อย่างไร สิ่งที่พอจะจำได้มีเพียงลมที่ปะทะเข้ามาจนแทบจะหายใจไม่ออกและเสียงร้องไห้ของม้าที่ได้ยินบ้างครั้งคราว

สถานที่ที่ราธบันมุ่งหน้าไปทันทีที่กลับมาถึงวิหารหลวงคือห้องหนังสือที่นางอยู่

น้ำเสียงขององค์ชายรัชทายาท คำตอบของนักบุญหญิง และรอยยิ้มของคาร์ลกำลังผสมปนเปอย่างยุ่งวุ่นวายอยู่ภายในหัวของเขา

ไม่ช้าหลังจากมาถึงห้องหนังสือ ราธบันก็ก้าวเข้าไปข้างในโดยไม่คิดอะไรอีกต่อไปเมื่อได้ยินเสียงร้องครางราวกับเจ็บปวดที่ดังออกมาจากในห้อง

***

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

ราธบันกำลังหอบหายใจแรงอยู่ภายในห้องที่เงียบสงบไม่มีเสียงผู้ใด ภายในหัวของเขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อน

นักบุญหญิงที่ล้มลงขึ้นคร่อมเขาและแนบชิดเนื้อหนังอย่างไม่ลังเล จู่ๆ ก็มีสีหน้าเหมือนได้สติกลับมากะทันหันแล้ววิ่งออกจากห้องหนังสือไป แม้ว่าเขาจะร้องเรียกนางอย่างรีบเร่ง แต่นักบุญหญิงก็หายไปโดยไม่หันหลังกลับมา

ราธบันที่กำลังจะวิ่งตามนางไปทันทีหยุดฝีก้าวลงหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จากนั้นก็มองส่วนล่างของตนด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ

แม้จะบอกว่าเขาใช้ชีวิตด้วยการข่มความปรารถนาทั้งปวงแต่ก็ยังไม่อาจสกัดกั้นกระทั่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ ดังนั้นจึงมีบางคราวที่เขาเกิดความรู้สึกอึดอัดตรงส่วนล่างเวลามันเจ็บแปลบและแข็งขืนจนเกิดความทุกข์ แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ตอนหลับที่เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้เท่านั้น ขณะที่เขามีสติไม่เคยมีสักครั้งที่เขาควบคุมตนเองไม่ได้ มันเคยเป็นเช่นนั้น

ทว่าตอนนี้ ส่วนล่างของเขากลับกำลังขยายใหญ่มากกว่าครั้งไหนๆ และกำลังยกหัวขึ้นอย่างแข็งกร้าวราวกับจะทะลุกางเกงออกมาเดี๋ยวนั้น

“อึก…”

ส่วนที่อ่อนไหวจนน่ากลัวกำลังร้องทุกข์ถึงความเจ็บปวด ปกติแล้วเขาทำอย่างไรน่ะหรือ? พอฟ้าสาง เขาจะตรงไปห้องอาบน้ำและราดน้ำเย็นลงไป จากนั้นก็ท่องบทสวดภาวนาเพื่อชดใช้บาปที่เขาได้กระทำเมื่อวันก่อนและบาปใหม่ที่เขาได้กระทำในวันนี้ ร่างกายที่ได้สติกลับมาแล้วย่อมสงบลงในไม่ช้า

แต่ว่าราธบันตระหนักได้ว่าวิธีการเหล่านั้นมันไม่อาจช่วยอะไรในตอนนี้ นี่ไม่ใช่ความปรารถนาที่ไร้จุดมุ่งหมายอย่างการไหลผ่านน้ำ

ราธบันยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตนเอง เพียงแค่นี้ความทรงจำทุกอย่างก็หวนกลับมา

สัมผัสของริมฝีปากอุ่นนุ่มที่แนบแน่นกับริมฝีปากของเขาราวกับตราประทับ ความทรงจำที่นึกถึงได้ต่อมาคือสัมผัสของร่างเล็กที่อยู่ด้านบนตัวเขา สัมผัสของหน้าอกที่กดลงบนตัวเขาอย่างนุ่มนวล มือของนักบุญหญิงจะเลื่อนลงไปที่ไหนต่อกัน

“อึก…!”

ราธบันกัดฟันแล้วสะบัดหัว ความเจ็บแปลบตรงส่วนล่างที่รุนแรงกว่าเดิมทำให้เขาสิ้นหวัง เขาควบคุมและอดกลั้นความปรารถนาของตนเองเป็นอย่างดีมาตลอดมาตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มที่เข้ามาในวิหารหลวงทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยจนได้กลายเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร ทว่าตอนนี้เขามั่นใจว่าตนกำลังถูกครอบงำด้วยไฟปรารถนาที่ดุร้ายยิ่งกว่าตอนเด็ก

ความรู้สึกที่เพิ่งสัมผัสได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาทำให้ราธบันไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร

เพราะจิตใต้สำนึกไม่อาจให้คำตอบได้ ดังนั้นเขาจึงทำตามสัญชาตญาณ มือใหญ่เลื่อนลงไปด้านล่างอย่างลังเล ถึงจะเป็นของตนเอง แต่สภาพที่ยกหัวขึ้นสูงอย่างแข็งขืนทำให้เขารู้สึกขนลุกจนมองตรงๆ ไม่ได้

ใบหน้าร้อนผะผ่าว ลมหายใจหอบถี่ไปพร้อมกัน มือที่เคยลังเลจับเข้ากับส่วนนั้นใต้ผ้า ลมหายใจสะดุดพร้อมกับการสูดหายใจอย่างแรง

ส่วนนั้นของตนที่อยู่ในมือทำให้ราธบันอยากร้องคำราม เขารู้ดีว่าความปรารถนาที่เลวร้ายนี้กำลังมุ่งไปหาใคร

สกปรก โสมม

เขาผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การบังคับตนเองมาตลอดชีวิต ดังนั้นความปรารถนาที่ได้รับมาอย่างดิบเถื่อนเช่นนี้มันจึงน่าขยะแขยงและน่าขยะแขยงเท่านั้น ทั้งยังแขยงที่ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่เขามีต่อผู้ที่ไม่ควรจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ที่สุด

“อา ฮา ฮึก!”

เสียงลมหายใจที่ยุ่งเหยิงยิ่งเสียกว่าตอนที่ฝึกใช้ดาบตลอดทั้งวันไหลผ่านช่องฟันของเขา เขารู้ดีว่านี่คืออะไรแม้จะเป็นการกระทำที่ไม่เคยทำมาก่อนสักครั้ง การใช้มือช่วยปลดปล่อยความใคร่ออกจากร่างกายของตนเองทำให้ราธบันอับอายและหมดหวัง เช่นนั้นเขาก็ควรจะหยุดมันเลยทันที

“อึก…”

แต่ทำไมเขาถึงหยุดไม่ได้ ทำไมภาพของนักบุญหญิงที่ล้มลงบนตัวเขาถึงยังไม่หายไป

เวลาผ่านไปจนดวงจันทร์ที่ลอยเด่นบนท้องฟ้าเริ่มคล้อยต่ำลง

โชคดีที่มีผ้าเช็ดมือที่พกไว้ในกระเป๋าเสื้อจึงทำให้พอจัดการได้ หลังจากเอาน้ำในขวดน้ำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องหนังสือมาราดหัว ราธบันก็ล้างมือของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ในวินาทีนี้เขารู้สึกขยะแขยงและรังเกียจตนเองยิ่งกว่าปีศาจตัวไหนๆ

หลังจากสะบัดหัวอย่างแรง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่ไม่น่าจะหลงเหลืออยู่แล้ว มันคือกลิ่นที่อยู่บนเส้นผมสีบลอนด์ที่ปรกบนหน้าอกของเขา ความรู้สึกหวิวๆ ที่เฉียดผ่านปลายจมูกทำให้ราธบันยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ลมที่สัมผัสได้แม้ไม่มีรูปร่างผัดผ่านระหว่างนิ้วมือของเขา

ราธบันหันมองรอบกาย

ร่องรอยของลมหายใจที่ปั่นป่วนไม่หลงเหลืออยู่ที่ใดแล้ว มือของราธบันหมุนกลางอากาศอีกครั้ง มือของเขายังคงคว้าจับอะไรไม่ได้เหมือนเดิม

‘ต้องไปพบ’

มิใช่แค่คำพูดของคาร์ลที่กวนใจ ราธบันย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามีความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้

หลังจากเข้ามาในวิหารหลวง เขาก็ใช้ชีวิตด้วยเป้าหมายเดียว คือการเชื่อฟังนักบุญหญิงผู้เป็นข้ารับใช้และตัวแทนของพระเจ้า รวมถึงต่อสู้เพื่อผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บจากปีศาจ สิ่งนี้คือทั้งหมดในชีวิตของเขา ไม่มีของที่ชื่นชอบ และไม่มีของที่เกลียด เพียงแต่เขามีความทะนงตัวในชีวิตและหน้าที่ของตน ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงนักบุญหญิงผู้กดขี่และทำลายสิ่งเหล่านั้น

ทว่าบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับกำลังเลือนราง ไม่สิ ดูเหมือนมันจะหายไปหมดแล้ว

ตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาหลังจากสลบไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ทั้งนักบุญหญิง และเขาด้วย

เมื่อก่อนเขาหลีกเลี่ยงสถานที่ที่นางอยู่ แต่ตอนนี้กลับกำลังเดินตามนางอยู่เสมอ เมื่อก่อนเขาปิดหูเพราะแม้แต่เสียงก็ไม่อยากฟัง แต่ตอนนี้กระทั่งเสียงหายใจที่ไหลออกมาของนางก็น่าเสียดาย

ราธบันหลับตาลงชั่วครู่ สิ่งที่ควรจะลืมไปแล้วหวนกลับมาในตัวเขาอีกครั้ง เสียงหายใจ กลิ่น และอุณหภูมิร่างกาย

“เฮ้อ…”

เสียงถอดถอนใจสั้นๆ ดังขึ้น แม้เขาจะมีชีวิตที่อ่านแต่พระคัมภีร์และจับดาบต่อสู้ แต่ก็มิได้โง่เขลาในอารมณ์ที่มนุษย์รู้สึกขณะที่มีชีวิต เขาตระหนักได้แล้วว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนักบุญหญิงคืออะไร ทว่าคำๆ นั้นไม่อาจหลุดออกมาจากปากเขาได้ง่ายๆ

นั่นเป็นความรู้สึกที่ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารไม่อาจมีต่อนักบุญหญิง

เคารพ เชื่อฟังและยกย่อง

นั่นคือความรู้สึกที่เขาได้รับอนุญาตเท่านั้น

“ทำไมข้าถึง…”

โดยที่ไม่อาจสะกดกลั้น ความขุ่นเคืองที่ไม่รู้จะมุ่งไปหาใครกำลังทะลักออกมา ไม่ช้าราธบันก็ตระหนักได้ว่าเป้าหมายของความขุ่นเคืองนั้นคือตนเอง

สิ่งที่ได้รับอนุญาตสำหรับตน คือสิ่งที่เขาได้ลั่นคำสาบานขณะที่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการอัศวิน

‘ตั้งสติ แล้วกลับไปยังที่ของตนเองเสีย’

เสียงจิตใต้สำนึกที่กดข่มนิสัยดิบเถื่อนส่งเสียงดังก้องอย่างเย็นชาในหัวของเขา จนถึงตอนนี้ เขาใช้ชีวิตตามจิตใต้สำนึกอยู่เสมอ หรืออีกชื่อหนึ่งของจิตใต้สำนึกก็คือเสียงของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงทำงานทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ผิดพลาด ตัวเขาเองก็ให้การยึดมั่นที่จะเชื่อฟังเสียงนั้นและไม่เคยระแวงสงสัย แต่ตอนนี้ราธบันกลับอยากหันหลังกลับให้กับเสียงของจิตใต้สำนึก

เขาอยากสัมผัสความอบอุ่นของแขนที่ดึงคอเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง

เขาอยากดื่มด่ำลมหายใจอุ่นที่ตกลงบนหน้าเขาอีกครั้ง

เขาอยากสัมผัสร่างกายนุ่มที่แนบบนตัวเขาอีกครั้ง

ในขณะที่ยืนยันความปรารถนาที่ตนเองมีเป็นครั้งแรก ราธบันก็รู้แล้วว่าความรู้สึกที่อยากตายเป็นอย่างไร เขาตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่าตนเป็นการมีอยู่ที่สามารถมีความปรารถนาอันต่ำต้อยได้ถึงเพียงนี้ แล้วทำไมอารมณ์ที่ไม่เคยมีให้แก่ใคร ถึงได้เกิดขึ้นกับนักบุญหญิงเอาตอนนี้กัน

‘ลืมเสีย’

เพียงแค่คิด ราธบันก็ข่มความปรารถนาผิดบาปลงในซอกหนึ่งในตัวของตนอย่างสุดความสามารถ

แต่เพียงชั่วครู่ก็เกิดความปรารถนาอื่นขึ้นอีก

เขาอยากเห็นสายตาเป็นประกายที่มองเขาขณะที่เขาสอนจับดาบอีกครั้ง เขาอยากฟังเสียงของนักบุญหญิงที่คอยถามนู่นถามนี่ระหว่างฟังเรื่องเล่าที่ธรรมดาของเขาอย่างตื่นเต้นให้มากขึ้น เขาอยากคุยกับนางให้นานกว่านี้ เขาอยากรู้ว่านางชอบอะไรและไม่ชอบอะไร

รวมถึงอยากรู้ว่านางคิดอย่างไรกับเขา

ราธบันออกจากห้องหนังสือที่หลงเหลือแต่ความหนาวเย็น ฝีเท้าของเขามุ่งไปยังที่พักของนักบุญหญิงอย่างปราศจากความลังเล

มีสิ่งที่เขาอยากทำมากเหลือเกิน ทว่าตอนนี้มีความปรารถนาที่เขาอยากทำก่อนเรื่องใดอยู่

“ลีน่า…”

เสียงเรียกเบาบางที่ไม่มีใครได้ยินดังออกมาจากปากของเขาที่กำลังเดินอยู่บนทางเดินเงียบ

เขาเองก็อยากเรียกนางด้วยชื่อนั้นเช่นกัน

[1] ทุกรกิริยา คือ การทรมานร่างกายตนเอง เพื่อชำระตนให้บริสุทธิ์จากบาป