คราวก่อนนางขอร้องให้เขาหยุดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าวันนี้นักบุญหญิงกลับเปล่งเสียงร้องครางกระเส่าที่อัดแน่นไปด้วยความสุขสมและดึงเขาเข้าไปกอดในทุกครั้งที่เขาฝังเอวเข้าไปลึก อีกทั้งยังแนบร่างของตนเข้ามาก่อนราวกับขอให้เขาทำมันอีก ปฏิกิริยาของนางที่ต่างจากครั้งก่อนทำให้เขารู้สึกเคลือบแคลงและขณะที่เขาจะขบกัดร่างกาย นักบุญหญิงกลับกล่าวขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่หยดติ๋งๆ

“เกลียด…ข้าหรือ?”

ต่อจากนั้นเขาเองก็จำรายละเอียดไม่ได้เช่นกัน นานมากแล้วจริงๆ ที่เขาได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่โดยไม่อาจหักห้ามใจไปตามสันดานปีศาจที่ดุร้ายและจิตใต้สำนึกที่อยากได้ทายาท

หลังจากมองร่างเล็กที่หายใจอยู่ในอกของเขา แอสรันก็ฝังหน้าของตนลงบนต้นคอของนักบุญหญิง กลิ่นหอมชวนให้รู้สึกดีที่ไม่รู้จะอธิบายให้ชัดเจนอย่างไรอัดแน่นอยู่เต็มอ้อมอกของเขา

ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์จนถึงวันนี้หลังจากฝากร่องรอยของตนไว้กับนาง มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเป็นพิเศษสำหรับเขาที่มีชีวิตมานานจนไม่อาจนับเวลาได้

หลังจากบุกทะลวงพื้นที่และกลับเข้าไปในเกาะของเหล่าจอมเวทที่อยู่ปลายสุดของทะเล เขาต้องใช้เวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อถึงเพียงไหนกัน เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงตัวเมียที่ตนได้รับมา เขาอยากจะมายังวิหารหลวงและมัวเมาร่างนุ่มนิ่มอย่างเต็มที่ทันที ร่างกายที่นึกถึงในทุกช่วงเวลาทำให้เขาต้องกดข่มตนเองที่ตื่นเต้นและทำเรื่องที่ตนสมควรจะทำ

แอสรันขยับตัวแล้วนำนักบุญหญิงที่อยู่บนตัวเขาวางลงบนเตียงนอน จากนั้นก็พิจารณาดูร่างของนาง หรือพูดให้ชัดคือด้านในต้นขาของนาง จากนั้นก็ใช้นิ้วมือกดลงไปบนรอยทรงกลมสามรอยนั่น หลังจากนั้นชั่วครู่เขาก็นิ่วหน้า

“มันเปลี่ยนไป”

มันไม่แตกต่างหากมองด้วยตา ทว่าเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิที่สัมผัสได้ที่ปลายนิ้ว นักบุญหญิงเปล่งเสียงครางพร้อมกับอ้าขาตนเองออกทันทีที่เขากดลงไปบนรอยนั่น การเคลื่อนไหวที่ราวกับบอกให้รีบเข้ามาอีกครั้งทำให้สีหน้าของแอสรันยิ่งบิดเบี้ยวขึ้น

“เป็นอย่างที่คิด มันไม่ได้แค่ดูดกลืนพลัง”

มันไม่ได้เป็นแค่เพียงเส้นทางที่เชื่อมต่อกับพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่มันส่งผลกระทบต่อร่างของนักบุญหญิงด้วย ภาพของนักบุญหญิงที่นอนอ้าขาเองอย่างอ่อนล้าทำให้แอสรันรู้สึกอึดอัดใจ นางคงไม่รู้ว่าเขาดีใจถึงเพียงไหนขณะที่นางดึงเอวเขาเข้าไปกอดและเบียดเสียดร่างกายเข้ามา

คำที่นางพูดว่า ‘ตัวผู้ของข้า’ มันครอบงำในหัวของเขามาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงนึกว่านางต้องการเขาด้วยตัวของตนเอง ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นการตอบสนองที่มีใครบางคนสร้างขึ้น

เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้รอยนั่น กระทั่งเขาที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้มาอย่างยาวนานก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างมาก

นี่จะต้องเป็นคาถาที่ใช้พลังซึ่งเคยมีอยู่บนแผ่นดินนี้เมื่อสมัยโบราณกาลขณะที่ยังไม่มีทั้งพลังเวทและพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่

‘คงต้องไปสืบค้นดูให้ละเอียดกว่านี้…’

แอสรันย้อนนึกถึงห้องสมุดของวิหารหลวงและห้องหนังสือของนักบุญหญิง บันทึกต่างๆ ของพลังทั้งหมดที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ บางทีคงมีอยู่ที่นี่มากที่สุด

‘คงต้องพักอยู่ที่นี่สักพัก’

เขาพักแรมอยู่ในวิหารหลวง

ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันพลันหลุดออกมา อย่างแรกเลย เกาะของเหล่าจอมเวทคงต้องวุ่นวายมากแน่ ที่นั่นไม่ได้เป็นดินแดนแห่งสวรรค์ที่สันติสุขและเงียบสงบของเหล่าจอมเวทอย่างที่ใครต่อใครว่า เหล่ามนุษย์อยากได้พลังของปีศาจแต่แรกแล้วมันจะปกติได้หรือ ที่นั่นเป็นดินแดนที่พลังเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง

โลกที่ผู้แข็งแกร่งจะเหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอ เขาใช้ชีวิตเป็นจักรพรรดิของที่นั่นมานับร้อยปี ถ้าหากเขาไม่อยู่ที่เกาะเป็นเวลานานล่ะก็?

‘คงจะน่าดูชมไม่เบา’

หากเขาปล่อยตำแหน่งทิ้งว่างไว้ชั่วครู่จะต้องเกิดสงครามขึ้นเป็นแน่ แต่อย่างไรก็เป็นการต่อสู้ของพวกคนที่เขาไม่ได้สนใจ จะตายหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจเลยสักนิด

‘ปัญหาคือ…ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนก็จะมีกลุ่มคนที่ตามข้าออกมา’

แม้เขาจะเป็นปีศาจที่อยู่ในร่างของมนุษย์ที่ไม่อาจตามหาพลังต้นกำเนิดแห่งพิภพกลับคืนมาได้ แต่พลังของเขาก็ไม่ใช่ประเภทที่สามารถเก็บซ่อน เหล่าจอมเวทจะต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและไล่ตามมาในไม่ช้า คิดดูแล้วหนึ่งคนคนพวกนั้นก็จะต้องสังเกตได้แน่ว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร

เขามองดูนักบุญหญิงที่นอนหายใจอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป ทันทีที่เขาขยับมือเล็กน้อย พลังเวทสีแดงก็เปล่งประกายกลางอากาศอยู่ชั่วครู่ ไม่นานก็มีอะไรบางอย่างลอยออกมาระหว่างเสื้อที่ถูกฉีกขาดและเข้ามายังมือเขา

แอสรันมองดูของที่ตนถือ มันคือแหวนที่มีอัญมณีประกายแพรวพราวฝังอยู่ มันเป็นของชิ้นใหญ่และเปล่งประกายเป็นพิเศษจนดึงดูดสายตาให้เขานำกลับมาเมื่อนานมาแล้วขณะที่เขาไปทำลายอาณาจักรหนึ่งซึ่งตอนนี้จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อ

‘ได้ยินว่านางชอบอัญมณี’

เขาลองนึกย้อนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญหญิงที่ถูกพูดถึงในหมู่มนุษย์ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาจำได้ดีที่สุดคือนางชอบอัญมณีเป็นอย่างมาก นางจึงสั่งให้แต่ละประเทศนำของต่างๆ ที่เปล่งประกายมาถวายก่อนที่จะจัดกิจกรรมใหญ่ที่จัดขึ้นปีละครั้ง

เช่นนั้นแล้วนางน่าจะชอบมันแน่ มันเป็นของที่เขานำมาพลางจินตนาการภาพที่นักบุญหญิงดีใจ แอสรันจับมือของนักบุญหญิง ทันทีที่เขาสอดแหวนที่นำมาเข้าที่นิ้วมือขาวเรียว มันก็เข้าไปพอดีประหนึ่งได้เจอกับเจ้าของที่ตนตามหา ทว่าภาพของนักบุญหญิงที่ยังนอนอย่างเหนื่อยล้าอย่างไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทำให้แอสรันรู้สึกเสียดาย

‘ไม่ได้เห็นนางยิ้มเลย’

แอสรันยังไม่เคยเห็นนักบุญหญิงยิ้มเลยสักครั้ง สีหน้าของนางที่มองเขามักจะงงงันหรือไม่ก็ประหลาดใจอยู่เสมอ นอกจากนั้นก็คือใบหน้าหลากสีที่เอ่ยเรียกชื่อเขาพลางแนบชิดด้วยดวงตาเปียกชื้นที่แดงระเรื่อ แน่นอนว่าทุกอย่างนั่นเป็นสิ่งที่เขาถูกใจ แต่แอสรันก็อยากเห็นใบหน้าที่ยิ้มนักบุญหญิงสักครั้ง

ถ้าเขามอบสิ่งนี้ให้ตอนนางตื่น จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ?

จะดึงเขาเข้ามากอดแล้วเอ่ยเรียกเสียงหวานอีกครั้งว่าตัวผู้ของข้า จากนั้นก็ยิ้มให้หรือไม่

ชั่วขณะ อะไรบางอย่างแวบผ่านในหัวของเขา ร่องรอยของตัวผู้ตัวอื่นที่เขาสัมผัสได้ตอนที่จูบปากนาง

เขาขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าของนักบุญหญิง ริมฝีปากเล็กที่เขาขบกัดและดูดดึงอย่างไม่หยุดพักยังคงบวมเปล่ง นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่เขาจงใจใช้ฟันขบกัดอย่างเปิดเผย พอนึกถึงรสชาติอื่นที่สัมผัสได้ภายในปากของนาง เขาก็รู้สึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทันใดนั้นแอสรันก็หลุดหัวเราะเย้ยหยัน

‘ทำไมข้าถึงโกรธขนาดนี้’

แบบนี้มันก็ไม่เหมือนกับมนุษย์หรอกหรือ

เริ่มแรก สิ่งที่เขาต้องการจากนักบุญหญิงคือการให้นางมาทั้งท้องลูกของเขา

เรื่องที่นักบุญหญิงพาชายหนุ่มมากหน้าหลายตามาใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกันเป็นเรื่องที่แอสรันเองก็รู้ สาเหตุที่เขาไม่สนใจเรื่องนั้นเป็นเพราะหลังจากที่รับน้ำกามของปีศาจเข้าไปแล้ว น้ำของมนุษย์ตัวผู้จะไม่อาจคงอยู่ได้อีก

แม้จะบอกว่านักบุญหญิงเคยโอบกอดมนุษย์ตัวผู้มาก่อนก็ตาม แต่น้ำเชื้อของปีศาจก็จะจับสิ่งนั้นกินและเข้ายึดครองพื้นที่นั้นอยู่ดี ดังนั้นตอนที่แอสรันทำสัญญาครั้งแรกจึงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่นักบุญหญิงมีสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น

ทว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองที่ตอนนั้นไม่ได้กำหนดข้อจำกัดอะไรไว้เลย เขาไม่ชอบที่มีมนุษย์ตัวผู้มาเข้าใกล้นาง เขาอยากเป็นเจ้าของนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น ให้นางโอบกอดเขาเพียงผู้เดียว

“…!”

ตอนนั้นเอง แอสรันที่จ้องมองนักบุญหญิงอยู่ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังศักดิ์สิทธิ์ และความจริงที่ว่ามีใครบางคนกำลังรีบเร่งมาที่นี่ ทั้งยังไม่ใช่เส้นทางที่มีมนุษย์สัญจร ดูจากพลังงานที่ทะลุผ่านผนังของอาคารแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นกำลังใช้ทางลับที่อยู่ในอาคารนี้

คนที่ไม่ธรรมดาในวิหารหลวงที่กว้างขวางแห่งนี้ คนที่มีความสามารถจนทำให้ร่างกายของเขาเกิดความตึงเครียดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ในหัวแอสรันนึกออกอยู่ชื่อหนึ่ง

“เห็นว่าชื่อราธบันหรือเปล่านะ…”

มนุษย์ผู้สามารถฆ่าปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียว ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ผู้พิทักษ์นักบุญหญิง

พลังงานที่กำลังเข้ามาในห้องตอนนี้ต้องเป็นคนผู้นั้นแน่ และแอสรันก็ตระหนักได้โดยสัญชาตญาณ

รสชาติของตัวผู้ที่ไม่น่าอภิรมย์ซึ่งหลงเหลือบนปากของนักบุญหญิงจะต้องเป็นร่องรอยของมันแน่

***

“หัวหน้า!”

เสียงที่เอ่ยเรียกเขาทำให้ราธบันรีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็พบว่าตรงหน้าเขามีกิ่งไม้ที่โน้มยาวอยู่ หากเขาไม่หยุดเดินก็คงชนและแสดงภาพลักษณ์ที่ไม่น่าชมเสียแล้ว

“เป็นไรหรือไม่ขอรับ?”

เมื่ออัศวินที่เอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเข้ามาใกล้ ราธบันก็ยกมือขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะสื่อว่าไม่เป็นไร ราธบันฟาดกิ่งไม้ด้วยมือเปล่า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ

‘นี่มันสภาพอะไรกัน’

ราธบันสัมผัสได้ถึงสายตาแฝงความกังวลที่มองมาทางตน เขากัดฟัน

หลังจากออกมาจากวิหารหลวงเขาก็อยู่ในสภาพนี้มาตลอด อาจเป็นเพราะม้าที่เขาขี่เองก็รับรู้ได้ว่าสภาพของเขาแปลกไป จึงได้เอาแต่แกว่งหัวไปมาและยกหัวขึ้นราวกับจะสื่อว่าให้มองมัน ราธบันจึงตบ และลูบคอของม้าตัวนั้นเบาๆ ตอนนั้นเองมันถึงได้ปรับฝีเท้าและเริ่มวิ่งเหมือนกับม้าที่เหล่าอัศวินคนอื่นขี่

ระหว่างที่ม้าของเขาฝีเท้าช้าลงไปชั่วครู่ ม้าของเหล่านักบวชระดับสูงที่มาด้วยกันก็กำลังวิ่งอยู่ตรงหน้าจากไกลๆ หลังจากได้เห็นแผ่นหลังของเหล่านักบวชระดับสูงแบบนั้น คอของราธบันก็แดงขึ้นเล็กน้อย เป็นถึงผู้บัญชาการอัศวินแต่กำลังวิ่งตามหลังเหล่านักบวชอย่างนั้นหรือ

ราธบันกระตุ้นม้าเพราะรู้สึกอับอาย ม้าตระหนักได้ถึงเจตนาของเจ้าของจึงเพิ่มความเร็วขึ้น พออยู่ห่างกับเหล่าอัศวินคนอื่นไม่มากแล้ว เขาก็ยกมือที่จับสายบังเหียนขึ้นมาลูบหน้า

‘ตั้งสติหน่อย’

เขาเตือนสติตนเอง ทว่าไม่นานก็มีภาพเหตุการณ์ยัดเข้ามาในหัวของเขา

องค์ชายรัชทายาทยิ้มขณะเอ่ยเรียกชื่อของนักบุญหญิง และนางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำเรียกนั้น

ภาพเหตุการณ์นั้นฝังอยู่ในหัวของเขาราวกับถูกแกะสลักลงบนหิน ไม่อาจลบออกไป ไม่สิ กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น

เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่ถึงได้ทำให้ตนเองสั่นไหวถึงเพียงนี้ แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือความจริงที่ว่าตั้งแต่วินาทีนั้น องค์ชายรัชทายาทเลออนถูกจัดให้เป็นศัตรูอยู่ในใจของเขาแล้ว พอนึกถึงใบหน้าที่ยิ้มขณะมองดูนักบุญหญิง ราธบันก็กัดฟันกรอดโดยไม่รู้ตัว

องค์ชายรัชทายาทเองก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรกับตนแท้ๆ แต่ความเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อองค์ชายรัชทายาทอัดแน่นอย่างรุนแรงจนเขานึกสงสัยว่าตนเคยมีความเกลียดชังต่อใครสักคนขนาดนี้หรือเปล่า

เขาเองก็รู้ดีว่านักบุญหญิงจะต้องเรียกหาองค์ชายรัชทายาทอีกครั้ง แล้วอะไรกันที่ทำให้เขาอึดอัดและหงุดหงิดใจแบบนี้

“เรียกว่าลีน่า…”

ร่างกายพ่นคำตอบออกมาก่อนสมอง

คำเรียกนั้นที่ออกมาจากปากขององค์ชายรัชทายาทกลายเป็นเล็บเท้าที่มองไม่เห็นมาข่วนใจเขาอย่างดุดัน องค์ชายรัชทายาทเรียกนักบุญหญิงแบบนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ดูจากที่นางไม่มีสีหน้าตกใจ แสดงว่าพวกเขาเรียกกันแบบนั้นจนคุ้นชินมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

‘แต่เห็นได้ชัดว่าองค์ชายรัชทายาทออกไปข้างนอกนี่…’

เขาย้อนนึกถึงเสื้อผ้าซักแล้วที่เหล่านักบวชถือไป คนที่กวนใจเขาวันนั้นจะต้องเป็นนักบุญหญิงไม่ผิดแน่ เช้ามืดวันต่อมาองค์ชายรัชทายาทถึงได้กลับมายังที่พักของเขาในวิหารหลวง

‘เขาอยู่กับนักบุญหญิงมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ?’

เสียงกรอบดังขึ้นมาจากมือที่บีบจนร้าว เกิดอะไรขึ้นด้านนอกกันแน่ ไม่สิ ไปเจอกันได้อย่างไรกัน? หรือว่านัดพบกันไว้ตั้งแต่แรก?

ผ่านไปสักพัก ราธบันก็จ้องมองดูมือที่กำแน่นจนข้อนิ้วแทบจะเป็นสีขาวด้วยสีหน้าขมขื่น

“เฮ้อ…”

หลังจากถอนหายใจสั้นๆ พร้อมกับคลายมือ ราธบันก็จับสายบังเหียนแล้วเร่งความเร็ว ผ่านไปไม่นานก็มองเห็นอาคารสูงที่อยู่ปลายถนน มันคือที่พักที่อยู่ในความทรงจำในทุกครั้งที่เขาผ่านเส้นทางนี้เสมอ

“เห็นว่านักบวชคาร์ลพักอยู่ที่นั่นขอรับ”

อัศวินที่วิ่งอยู่ด้านหน้าตะโกนขึ้น ราธบันพยักหน้าก่อนจะหยุดม้า ไม่นานเขาก็ลงจากม้าตามเหล่านักบวชที่ลงจากม้าเช่นกัน ชาวบ้านที่อยู่รอบอาคารเห็นนักบวชและเหล่าอัศวินจากวิหารหลวงมารวมตัวกันอย่างกะทันหันก็เริ่มมาเข้ามามุงกันทีละกลุ่มสองกลุ่ม ขณะที่ได้รับสายตาที่แฝงความใฝ่ฝันจากชาวบ้าน เหล่าอัศวินที่ส่งจดหมายให้มารับนักบวชคาร์ลก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านในอาคาร

พวกเขาทำความเคารพด้วยท่าทางที่มีวินัยทันทีที่เห็นราธบัน จากนั้นก็แสดงความยินดีออกมา

“มาแล้วหรือ ท่านราธบัน”

ทันทีที่ชื่อของราธบันออกจากปากของอัศวิน ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างก็อึกทึกครึกโครม

“ท่านราธบัน?”

“ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหาร? เป็นคนผู้นั้นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ใช่แล้ว! คราวก่อนข้าเคยเห็นที่วิหารหลวง! เป็นท่านราธบัน!”

สายตาของชาวบ้านมารวมที่ราธบันในพริบตา สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสที่ไม่มีสิ้นสุดพรั่งพรูมาทางเขาอย่างไม่ขาดสาย ในบรรดาคนเหล่านั้น มีหลายคนที่มองราธบันแล้วทำสำคัญมหากางเขน เข้ามาจับสองมือและถึงกับสวดภาวนา ท่าทางแบบนั้นของชาวบ้านทำให้บนใบหน้าของเหล่าอัศวินที่อยู่หน้าที่พักย้อมไปด้วยความปลื้มปิติที่ปิดไม่มิด

แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักบุญหญิงจะทำให้ชื่อเสียงของวิหารหลวงเสื่อมเสียอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ที่ผู้คนบนแผ่นดินยังไม่ทิ้งความศรัทธาที่มีต่อวิหารหลวง หากจะพูดว่าเป็นเพราะราธบันก็ไม่เกินไปนัก

แม้ว่านักบุญหญิงผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้าจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว แต่ทั่วทุกที่บนทวีปก็ยังคงมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นอยู่มาเป็นระยะเวลานาน เหล่าอัศวินจะระดมพลกันออกไปเผชิญหน้ากับปีศาจหากที่นั่นเป็นเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ของแต่ละประเทศ แต่หากปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่หมู่บ้านซึ่งอยู่เขตชายแดนล่ะก็ นอกจากการวิ่งหนีไปแล้วก็ไม่มีทางรอดอื่น

ทว่ากลับแทบมิมีผู้ใดให้การช่วยเหลือพวกเขาเลย แม้ช่วงนี้หน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิจะเข้ามาช่วยเช่นกัน แต่นั่นก็ต้องอยู่ในระดับที่หน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิจะต้องไม่ได้รับความเสียหายหนักหนา

และคนที่ให้ความช่วยเหลือโดยพร้อมจะถวายชีวิตของตนให้พวกเขาเหล่านั้นมีเพียงผู้เดียว นั่นคือราธบันผู้เป็นผู้นำของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร พวกเขาไม่ขอค่าตอบแทนใดๆ เผชิญหน้ากับปีศาจและช่วยเหลือผู้ที่ไร้กำลัง

“นั่นเป็นหน้าที่ของข้า”

ภาพที่เขาเผชิญหน้ากับปีศาจแม้จะได้รับบาดเจ็บและเลือดกำลังไหล แต่กลับไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย มันก็เพียงพอที่จะทำให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ส่งเขามาให้

ราธบันตอบรับสายตาเหล่านั้นอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะหันไปถามเหล่าอัศวินที่ออกมาจากด้านใน

“เหตุการณ์เป็นมาอย่างไร”

แม้เป็นเพียงคำถามสั้นๆ แต่ก็เป็นคำถามที่แฝงไปด้วยคำถามมากมาย มันเป็นคำถามที่สั่งให้อธิบายว่าทำไมจึงมาช้าถึงเพียงนี้และอาการป่วยหนักของนักบวชคาร์ลเป็นมาอย่างไร อัศวินที่ตระหนักถึงเจตนาของราธบันได้ค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบ

“ก่อนอื่นเลยคือใช้เวลาค่อนข้างนานตั้งแต่การเข้าไปยังวิหารที่ทางนักบวชคาร์ลพักอยู่ขอรับ”

อัศวินนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วตัวสั่น

ที่นั่นเป็นสถานที่ที่กันดารและแห้งแล้งจนยากจะเชื่อว่ามีวิหารตั้งอยู่ในที่แบบนั้นได้ พื้นดินก็ส่วนพื้นดิน แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือรอบๆ ที่นั่นมีปีศาจปรากฏกาย แม้ปีศาจที่ทุกคนในหน่วยอัศวินต้องเผชิญจะไม่ใช่ปีศาจแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นปีศาจที่พอจะทำอันตรายแก่ผู้คนได้

ดินแดนที่มีปีศาจพวกนั้นเดินเตร็ดเตร่ไปมาบนทุ่งหญ้าไม่ต่างจากฝูงหมาป่า แม้จะบอกว่ามีกำแพงป้องกันปีศาจอยู่ก็ตาม แต่วิหารที่อยู่ใจกลางสถานที่แบบนั้นก็แทบไม่ต่างจากสุสานที่ถูกปล่อยทิ้งเพื่อให้ตายเลย

“ท่านนักบุญหญิงส่งท่านนักบวชคาร์ลไปที่แบบนั้นได้อย่างไร…”

“ความรู้สึกส่วนตัวไว้ค่อยพูดทีหลัง รายงานก่อนเถิด”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอัศวินที่ขุ่นเคืองใจในตัวนักบุญหญิง ราธบันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงได้รู้สึกไม่พอใจจนตัดคำพูดของอัศวินขึ้นมา

“ขออภัยขอรับ พวกเราได้จัดการปีศาจ และขณะที่ถึงวิหารก็พบท่านนักบวชคาร์ลกับคนเจ็บอีกไม่กี่คนอยู่ในวิหารขอรับ พอได้ฟังก็พบว่าช่วงนี้จำนวนของปีศาจเพิ่มมากขึ้น พวกเขาถูกปล่อยทิ้งไว้ในวิหารโดยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องเสบียงจากรอบข้าง ในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านนักบวชคาร์ลก็ยังแบ่งปันส่วนของตนให้คนเจ็บจนถึงที่สุดและกล่าวปลุกใจว่าให้อดทนอีกสักนิดขอรับ”

อัศวินที่ก้มศีรษะต่ำกว่าเดิมพูดอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ขณะที่ตนไปถึงที่นั่นอย่างรวดเร็ว