ฮูหยินหมิ่นรู้สึกหวาดหวั่นว่าหลานยายของตนผู้นี้จะไม่มีวาสนาที่ลึกซึ้งกับบุตรสาวของตน กลัวว่าจะเก็บรักษานางไว้ได้ยากยิ่งแล้ว แต่บุตรสาวที่อยู่ตรงหน้าก็อยู่ในสภาพนี้ นางย่อมเลือกจะพูดแต่เรื่องดีๆ “เจ้าวางใจเถิด เด็กเล็กๆ ก็จะป่วยสักหน่อย พอโตแล้วก็จะแข็งแรงขึ้นเอง ยามนี้ดูไปแล้วน่าตกใจ ไม่แน่ว่าอีกสองวันก็จะดีขึ้น…แล้ว!”
เดิมทีนางคิดจะบอกว่า “ไม่แน่ว่าอีกสองวันก็จะหายดีแล้วก็เป็นได้” แต่ตอนใกล้จะพูดประโยคนี้จบกลับถูกเสิ่นจั้งจูแอบดึงแขนเสื้อเอาไว้ นางจึงเปลี่ยนมาพูดเป็นประโยคที่แสดงความแน่ใจไปเสีย
ในช่วงเวลาที่ร้อนรนและลำบากใจ คำปลอบโยนของมารดาย่อมน่าเชื่อถือเสียยิ่งว่าคำของผู้ใด
เผยเหม่ยเหนียงฟังว่ามารดาตนเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ จึงค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง …ฮูหยินหมิ่นและเสิ่นจั้งจูอยู่ดูลูกกับนางพักหนึ่ง สอบถามถึงอาการ ด้วยเห็นว่า เผยเหม่ยเหนียงคอยจับจ้องที่ห่อผ้าห่อตัวไม่วางตา ไม่มีแก่ใจใดจะมาสนทนากับพวกตนเลยแม้แต่น้อย จึงรู้ว่าที่นางส่งคนไปเชิญฮูหยินหมิ่นมา ก็คงเพื่อให้ได้ยินคำปลอบโยนนี้นั่นเอง
ภายหลังเมื่อดูเวลาว่าพอสมควรแล้ว ฮูหยินหมิ่นจึงพาบุตรสาวขอตัวกลับ …เมื่อออกมาจากเรือนของเผยเหม่ยเหนียง ฮูหยินหมิ่นต้องลอบปาดน้ำตาอย่างอดไม่ได้ แล้วสนทนากับเสิ่นจั้งจูที่มาส่งตนเองขึ้นมาว่า “เหม่ยเหนียงสามีภรรยาล้วนมีร่างการแข็งแรงดียิ่ง เหตุใดบุตรสาวคนโตของพวกเขาจึงได้ไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิดนะ?”
คำถามนี้อย่าว่าแต่ฮูหยินหมิ่นเลย คนทั้งบ้านตระกูลเสิ่นก็ล้วนไม่เข้าใจ พ่อแม่ล้วนเป็นคนที่มีร่างการสมบูรณ์แข็งแรง หลังจากเผยเหม่ยเหนียงตั้งท้องแล้ว ก็ได้รับการปรนนิบัติที่เรียกได้ว่ารอบคอบรัดกุมทุกเรื่อง …เสิ่นจั้งจูพี่สาวของสามีมาเยี่ยมวันละสามเวลา ดูแลนางเสียจนไม่ขาดตกพกพร่องเลยแม้แต่น้อย!
ด้วยชั้นตระกูลของตระกูลเสิ่น มียาบำรุงชนิดใดที่จะจัดหามาให้ไม่ได้? ก่อนคลอดฮูหยินหมิ่นยังเป็นห่วงบุตรสาวเลยว่า อย่าได้เป็นเพราะบำรุงมากเกินไป จนทำให้เด็กในครรภ์ตัวโตเกินไปแล้วจะทำให้คลอดยากเสียเล่า…
แต่กลับไม่คิดว่า เผยเหม่ยเหนียงกลับคลอดได้อย่างราบรื่น …ก็เด็กในครรภ์ตัวผอมบาง ย่อมคลอดได้ง่ายอยู่แล้ว
ทว่าครรภ์ที่ได้รับความสำคัญและดูแลอย่างไม่ขาดตกพกพร่องเช่นนั้น ที่สุดกลับทำให้คลอดทารกหญิงที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด!
หากมิใช่ว่าทารกน้อยนี้มีเค้าโครงหน้าเหมือนกับเสิ่นจั้งฮุยบิดาของเขายิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เข้าไปในห้องคลอดล้วนเป็นบ่าวที่เกิดในบ้านของตระกูลเสิ่นและ ตระกูลเผยสองบ้านแล้ว ท่ามกลางสายตาของทุกคนจึงไม่มีทางจะนำเด็กจากข้างนอกเข้ามาสับเปลี่ยนได้ ทุกคนก็คงจะต้องสงสัยว่าสายเลือดถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้วแน่ๆ!
จิตใจของเสิ่นจั้งจูในเวลานี้ก็เป็นทุกข์หนักหนา เมื่อเดินมากับฮูหยินหมิ่นแม่ลูกสักระยะจึงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “อาจเป็นเช่นฮูหยินท่านกล่าวไว้เช่นนั้น ว่าตอนเล็กๆ เจ็บป่วยบ้าง พอโตขึ้นก็จะดีเอง”
ฮูหยินหมิ่นถอนใจพลางว่า “ตระกูลเสิ่นมีวาสนาล้ำเลิศมาแต่ไร หวังเหลือเกินว่าบรรพชนจะถ่ายทอดลงมาให้ และถ่ายทอดสักส่วนหนึ่งมาถึงเด็กคนนี้ได้เป็นดี…นี่เป็นลูกคนแรกของพวกเขาเชียวนะ!”
คำที่นางเอ่ยออกไปอย่างไม่ตั้งใจว่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าให้หลานยายคนแรกผู้นี้สามารถพ้นจากอันตรายมาปลอดภัยได้นี้ เสิ่นจั้งจูกลับเก็บเอาไว้ในใจแล้ว …วันเดียวกันเมื่อเสิ่นโจ้วกลับมา เขาก็สอบถามถึงอาการของหลานปู่ตามปกติ เมื่อได้ยินว่านอกจากมีอาการไอขึ้นมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีไข้ด้วย …เสิ่นโจ้วจึงอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างยิ่ง เสิ่นจั้งจูจึงเอ่ยกับบิดาว่า “วันนี้ฮูหยินบ้านดองมาเจ้าค่ะ เรื่องที่นางกล่าว ลูกคิดว่าก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ บางที่อาจสามารถลองดูสักน้อย? ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้หลานอาการดีขึ้นก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
เสิ่นโจ้วได้ฟังพลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา รีบเอ่ยถามบุตรสาวว่า “ฮูหยินหมิ่นว่าอย่างไร?”
“ฮูหยินหมิ่นบอกว่าหลานสาวร่างกายไม่แข็งแรง การบำรุงรักษาร่างกายในภายหลังก็ทำได้อย่างยากลำบาก หากได้รับบุญบารมีจากบรรพชนบางทีอาจจะดีขึ้นเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งจูกล่าว
เสิ่นโจ้วเป็นคนที่ไม่ใคร่เชื่อคำพูดเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ยามนี้เขาก็มีหลานสาวแท้ๆ ผู้นี้เพียงผู้เดียว แม้แต่คำว่าท่านปู่ก็ยังไม่ทันได้เรียก แค่มองดูก็เกือบจะไม่ไหวแล้ว แล้วหมอที่ทำให้วางใจได้ที่สุดในใต้หล้าก็กลับไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงกันทั้งสองท่านเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เว่ยเจิ้งหงจะหายป่วยก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ แม่เฒ่าซ่งแห่งตระกูลเว่ยผู้นั้นก็เห็นบุตรชายแท้ๆ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก ต่อให้สังหารนาง นางก็ไม่มีทางปล่อยให้จี้ชวี่ปิ้งกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อหลานปู่ของบ้านดองในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้แน่ ส่วนตวนมู่ซินเหมี่ยวที่อยู่ทางซีเหลียงนั้น …เรื่องที่คุณหนูตวนมู่ผู้นี้เดินทางไปซีเหลียงก็เมารถแทบเป็นแทบ ตระกูลเสิ่นก็รู้เรื่องแล้ว
นางทั้งเมารถและขี่ม้าไม่เป็น ต่อให้ส่งคนเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนไปเชิญนางมา การจะนำตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมาเมืองหลวงก็ต้องเสียเวลาในการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงว่า แม้ ฃตวนมู่ซินเหมี่ยวจะทานยาให้นอนหลับมาในรถแล้ว แต่นางก็ต้องทนแรงกระเทือนมากๆ ไม่ไหวแน่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันก็ต้องให้เวลานางลงจากรถมาเดินเหินเพื่อให้กระดูกและกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย …หากเป็นดังนี้จนมาถึงเมืองหลวง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพอถึงยามนั้นแล้วคุณหนูหลานห้าตระกูลเสิ่นยังจะได้ใช้สอยนางอีกหรือไม่
ฉะนั้นจึงไม่อาจหวังกับตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์อาจารย์ได้ …ว่ากันว่าเป็นไข้หนักจึงไปหาหมอส่งเดช เวลานี้เสิ่นโจ้วก็ไม่มีแก่ใจจะมาสอบถามบุตรสาวว่า คำที่ฮูหยินหมิ่นเอ่ยนั้นที่จริงแล้วเพราะเห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงจังหรือเพียงออกปากปลงอนิจจังไปเรื่อยเปื่อยคำหนึ่งเท่านั้น ทันใดนั้นเองเขาจึงใคร่ครวญสักพัก แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ข้าก็จะตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าซูซี ‘ซู’ บ่งบอกถึงรุ่น ‘ซี’ ก็คือซีในซีเหลียง! ซีเหลียงเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของตระกูลเสิ่นของเรา แม้ที่แห่งนี้จะเหน็บหนาวแสนสาหัส ทว่ากลับฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเราตระกูลเสิ่นทั้งตระกูลมา และสืบทอดตระกูลมาหลายร้อยปีไม่เคยเสื่อมถอย เป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล! ไม่ว่าในสายตาผู้อื่นจะมองที่แห่งนี้เป็นเช่นใด แต่สำหรับคนของตระกูลเสิ่นของเราแล้ว ใต้แผ่นฟ้านี้ ไม่มีที่ดินใดจะสมบูรณ์พูนสุขได้เท่ากับซีเหลียงอีกแล้ว! หวังว่าซีเหลียงที่ทำให้ตระกูลเสิ่นของเราเจริญรุ่งเรือง จะปกปักษ์คุ้มครองหลานปู่ที่น่าสงสารของข้าผู้นี้ให้ผ่านพ้นอุปสรรค์นี้ไปได้ กลับร้ายกลายเป็นดี นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้แคล้วคลาดปลอดภัย ร่างกายแข็งแรงขึ้นทุกวันได้เป็นดี!”
เพราะคุณหนูหลานห้าสุขภาพไม่ดี ทุกคนล้วนกังวลว่าจะไม่อาจอยู่รอดจนโตได้ ฉะนั้นเพื่อเก็บรักษานางเอาไว้ให้ได้ จึงไม่ได้ตั้งชื่อให้ตอนนางอายุครบหนึ่งเดือนเหมือนกับลูกผู้พี่บ้านลุงคนอื่นๆ ด้วยหวังว่าเมื่อนางยังคงไม่มีชื่อก็จะทำให้เลี้ยงดูง่ายสักหน่อย ทว่าเมื่อเสิ่นโจ้วได้ฟังความเห็นของฮูหยินหมิ่นในเวลานี้ ทันใดนั้นเอง เขาจึงคิดว่าจะใช้ชื่อซีเหลียงซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของตระกูลมาตั้งชื่อให้หลานสาวผู้นี้ เพื่อจะได้เป็นตามคำของฮูหยินหมิ่นว่าอาศัยวาสานาของตระกูลเสิ่นมาคุ้มครองหลานสาวของตน
เสิ่นจั้งจูได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “ท่านพ่อกล่าวถูกต้องนักเจ้าค่ะ! ตระกูลเสิ่นของเราถือกำเนิดที่ซีเหลียง ไม่มีสิ่งใดจะช่วยปกป้องหลานสาวได้ดีกว่าชื่อซูซีอีกแล้วเจ้าค่ะ!” ว่ากันว่าของอยู่ห่างบ้านเกิดจะล้ำค่า คนอยู่ห่างบ้านเกิดด้อยค่า หากถิ่นฐานดั้งเดิมของตระกูลเสิ่นยังไม่อาจคุ้มครองเสิ่นซูซีได้แล้ว ก็คงพูดได้แต่เพียงว่าคุณหนูหลานห้าผู้นี้ไร้วาสนากับตระกูลเสิ่นจริงๆ แล้ว
แม้เสิ่นโจ้วจะตั้งชื่อที่หวังจะได้รับการคุ้มครองจากถิ่นฐานดั้งเดิมให้แก่หลานสาวแล้ว ทว่าก็ยังคงหวั่นหวาดอยู่ในใจ ถอนหายใจคราวหนึ่ง กล่าวว่านี่ก็จวนจะสองเดือนแล้ว วันหน้ายังไม่ต้องพูดถึง ไปเขียนจดหมายหาจั้งฮุยก่อน บอกเขาว่าลูกเขามีชื่อแล้วเถิด …ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสถานการณ์ของซูซี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”
…เดิมทีหลังจากเสิ่นซูซีคลอดออกมา ก็ควรจะเขียนจดหมายไปแจ้งกับเสิ่นจั้งฮุยซึ่งเป็นพ่อของนางแล้ว
ทว่านับแต่เสิ่นซูซีเกิดมาก็มีร่างกายไม่แข็งแรง กลัวว่าตอนแรกเสิ่นจั้งฮุยจะยินดีที่ได้เป็นพ่อคน แล้วภายหลังกลับต้องเผชิญกับความทุกข์ที่ต้องเสียบุตรสาวไป ฉะนั้นฮูหยินซูจึงเสนอความคิดว่ารอให้เลี้ยงดูเด็กไปสักพัก ให้สุขภาพดีขึ้นสักหน่อยค่อยบอกเขา ดีชั่วเมืองหลวงและซีเหลียงก็อยู่ห่างไกลกันนัก
ปรากฏว่าเลี้ยงดูจนเวลานี้กลับยิ่งดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ลง ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เมืองหลวงห่างจากซีเหลียงเพียงใด นี่ก็สองเดือนแล้ว เรื่องใหญ่โตขนาดทายาทคนแรกถือกำเนิดมาก็ยังไม่ได้แจ้งไป เสิ่นจั้งฮุยจะไม่คิดมากได้หรือ? ไม่แน่ว่าตัวเขาเองจะคิดไปในทางที่คอขาดบาดตายเสียยิ่งกว่านี้ … สองสามวันมานี้ เสิ่นโจวพ่อลูกจึงกำลังชั่งน้ำหนักกันว่าควรจะเขียนเรื่องจริงลงไปในจดหมายดีหรือไม่?
………………………