ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 37-2 เสิ่นซูซี

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ยามนี้ อาศัยโอกาสที่ตั้งชื่อที่สามารถนำบุญวาสนามาให้แก่หลานสาว เสิ่นโจวจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะบอกกับบุตรชายไปเสียเลย

เนื่องด้วยข่าวนี้ต้องผ่านระยะทางไกลจึงจะส่งไปถึงซีเหลียง เวลานี้ทางซีเหลียงจึงยังไม่รู้ว่าคุณหนูหลานห้าที่เกิดใหม่ในเมืองหลวงนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเพียงใด หากแต่กำลังยินดีในการกลับมาของเสิ่นจั้งเฟิง

หลังจากผลัดเสื้อผ้าอาบน้ำแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงล้างเอาฝุ่นดินทั้งตัวออกไป เปลี่ยนมาเสื้อผ้าที่เว่ยฉางอิ๋งเลือกมาให้เขาด้วยตนเอง เขาสวมเสื้อตัวยาวสีแดงเข้ม เสื้อตัวในสีชาขาว คาดเข็มขัดหยกที่มีหยกงามคู่ห้อยย้อยลงมา คู่กับรองเท้ายาวสีน้ำตาลดำ ผมยาวที่ยังคงเปียกอยู่ระอยู่ที่แผ่นหลัง เมื่อเดินเข้ามาในห้องด้วยการแต่งกายเช่นนี้ ทันใดนั้นเองนายกองของกองทัพที่เนื้อตัวเต็มไปฝุ่นก็กลับมาเป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่องอาจสง่างามอีกครา

กรำศึกสงครามมาหลายเดือน ความเฉียบคมในดวงตาของเสิ่นจั้งเฟิงกลับลดน้อยลงไปหลายส่วน ซึ่งก็รับกับความหมายชื่อ ‘จั้งเฟิง’ ของเขา ที่ยามนี้มีความสุขุมออกมาให้เห็นยิ่งกว่าเดิม สองตาใต้คิ้วดาบที่เชิดเข้าไปที่ตีนผมยิ่งดูลุ่มลึก เหมือนบึงน้ำลึกในเหมันตฤดู ที่มองลงไปแล้วยากจะคาดคะเนได้ว่าลึกหรือตื้น เห็นชัดว่าเข้าทำศึกครานี้ เขาต้องเขารบกับข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกชิวตี๋กับเหล่าทหารรู้ใจมาหลายครั้งหลายหน ที่สุดแล้วก็สามารถกำจัดมู่ซิวเอ่อร์และไล่สังหารพวกตี๋จนเตลิดหนีไปทั่วสารทิศ ชนเผ่าส่วนมากล้วนหลบไปอยู่ในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า และสำหรับเสิ่นจั้งเฟิงแล้วก็นับว่าเป็นการขัดเกลาตนที่ดีมากๆ คราหนึ่ง

เขายืนอยู่กลางห้อง กางแขนสองข้างออกปล่อยให้คนเข้ามาช่วยจัดหยกประดับ สาบเสื้อและแขนเสื้อให้ ทว่าทุกคนที่เขามาปรนนิบัติล้วนรู้สึกว่าคุณชายสามดูน่าเกรงขามกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมากนัก เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามนี้ แม้แต่จูเสียนและจูเสวียนที่ปกติแล้วได้รับความเชื่อใจและเป็นที่โปรดปรานของเว่ยฉางอิ๋ง จนทำให้มีนิสัยซุกซนอย่างมากก็ยังเก็บรอยยิ้มสนุกสนานของพวกนางไปเสีย แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นช่วยเขาจัดชายเสื้อด้วยท่าทีว่านอนสอนง่าย

มองดูสามีที่มีคิ้วดาบและดวงตาดังดวงดาราที่โดดเด่นกว่าผู้ใด ตอนที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปช่วยเขาจัดสาบเสื้อก็อดจะกระเซ้าไปเบาๆ ไม่ได้ว่า “คุณชายดีเลิศที่หล่อเหลาเพียงนี้ ออกไปข้างนอกหลายวัน ทำให้จิตใจหญิงงามหวั่นไหวไปกี่คนกันนะ?”

“ในสนามรบมีแต่ป่าทวนฝนลูกศร จะมีหญิงงามใดกัน? กลับเฝ้าแต่คำนึงถึงหญิงงามที่บ้านต่างหาก” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งมองนางคราวหนึ่ง พลางไล้นิ้วไปบนแก้มนาง “ดีที่ข้ากลับมาก่อนแล้ว หากไม่หญิงงามที่ดีๆ อยู่แท้ๆ คงจะเอาแต่หึงหวงจนเปรี้ยวดังจิบกินน้ำส้มสายชู[1]อยู่ทั้งวัน จนเกรงว่าจะมีกลิ้นเปรี้ยวไปทั่วทั้งเมืองแล้วกระมัง?”

“บ้านเจ้าสิ เจ้านั่นละที่เปรี้ยว!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดพลางตีเขาไปหนหนึ่ง …เวลานี้สาวใช้และบ่าวต่างๆ รอบตัวล้วนถอยออกไปหมดอย่างรู้กาลเทศะ จากนั้นก็ปิดประตูไปด้วยพร้อมกัน

เมื่อเห็นดังนี้ เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ต้องคอยระวังเรื่องใดอีก พลันยกแขนขึ้นมากอดนางเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงไปซุกไซ้ ทางหนึ่งก็จูบเรื่อยลงไปที่ซอกคอนาง อีกทางหนึ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชัดเจนว่า “อื่ม สามีพูดผิดไปแล้ว หญิงงามยังคงหอมหวน ยังหวานลิ้นเพียงนี้ …ไม่เปรี้ยวเลยแม้สักน้อย…”

ได้พบกันอีกคราหลังห่างกันไปเนิ่นนาน เว่ยฉางอิ๋งจึงอ่อนระทวยแนบอยู่กับอกเขา ค่อยเอื้อมมือดังหยกงามโอบรอบลำคอเขาอย่างคล้ายมีเรี่ยวแรงแต่กลับไร้เรี่ยวแรง เอ็ดเบาๆ ไปว่า “เจ้านี่ …ยังไม่ทันได้ทานข้าวเลย…”

“เสน่หากินได้ ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ได้กำลังทานอยู่?” เสิ่นจั้งเฟิงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นาง แล้วพลันอุ้มนางขึ้นมาในท่านอน แล้วเร่งเท้าเดินไปที่ในมุ้ง…

หลังจากรุกเร้ากันเสร็จแล้ว เว่ยฉางอิ๋งนอนซบอยู่บนอกสามีอย่างเกียจคร้าน เอานิ้วแตะที่แขนเขาเบาๆ เอ่ยอย่างเนิบนาบว่า “ลุกขึ้นได้แล้ว”

พูดไปดังนี้ แต่ตัวนางเองกลับไม่ขยับเสียด้วยซ้ำ

เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังความ ยิ้มอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “นอนอีกสักพักเถิด”

“ถ้ายามนี้ยังไม่ออกไป ยังพอบอกได้ว่าเจ้าอาบน้ำนานสักหน่อย แต่หากยังยื้อเวลาต่อ ก็จะเกิดคำครหานินทาแพร่ออกไปได้” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดเขาไปเบาๆ เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาที่หมิงเพ่ยถังตอนช่วงหลังเที่ยง รุกเร้ากันจนถึงเวลานี้ ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันลับภูเขาเลย! นี่เรียกว่า…เรียกว่าเล่นบทรักกันกลางวันแสกๆ หาใช่เรื่องที่ออกหน้าออกตาได้ไม่

เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนางมาจ่อที่ริมฝีปากจุมพิตหนแล้วหนเล่า แย้มยิ้มพลางว่า “สนใจพวกเขาไปไย? หาใช่ว่าทุกคนล้วนเลอะเลือนและจะมาล่วงเกินพวกเราในยามนี้” เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะ ลำพังเรื่องที่เขาเป็นคนวางแผนสังหารมู่ซิวเอ่อร์ในครานี้ด้วยตนเอง ต่อให้มีความผิดใหญ่หลวงก็ยังหักลบกันไปได้เลย ประสาอะไรที่เขายังหนุ่มแน่น เลือดลมพลุ่งพล่าน ไม่ได้กลับบ้านหลายเดือน ว่ากันว่าจากกันสั้นๆ ยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ ทนรอให้ถึงกลางคืนก่อนจึงค่อยแนบชิดกับภรรยาไม่ไหวก็มิเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด …หากมิใช่ผู้ที่สมองเลอะเลือน ก็จะไม่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คนในตระกูลล้วนหวังให้เจ้ากลับมาตัดสินให้พวกเขา ไม่คิดว่าครานี้ยังไม่ทันพบพวกเขา เจ้าก็คิดจะลงมือจัดการผู้คนแล้ว …หากให้พวกเขาได้ยินเข้า เกรงว่าคงพากันผิดหวังเสียแล้ว”

“อันใดกัน ช่วงเวลานี้อิ๋งเอ๋อร์เป็นคนดูแลซีเหลียงอยู่นี่?” เสิ่นจั้งเฟิงโน้มหัวไปจูบแก้มภรรยา ยิ้มจางๆ พลางว่า “แต่กลับเกิดเรื่องเสียจนคนในตระกูลรอวันให้สามีกลับมาตัดสินให้พวกเขาหรือ? อื่ม ให้สามีลองเดาดู อิ๋งเอ๋อร์ไปทำเรื่องใดให้ฟ้าพิโรธผู้คนกล่าวโกรธกันนะ? คงไม่ถึงกับฉุดคร่าชายชาวบ้านหรอกกระมัง?”

เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางตีเขาไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าก็บอกว่าข้าเป็นองค์ราชินีแล้ว หากไม่ฉุดคร่าชายรูปงามดังบุปฝาดังหยกสักคนสองคน แล้วจะสมกับฉายาองค์ราชินีได้อย่างไร?”

เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจ กล่าวว่า “นี่มันไม่ดีเลย ภรรยาก็มีเพียงผู้เดียว แต่กลับมีคนคิดการช่วงชิงความรักไปจากสามี! แล้วจะให้ทำอย่างไร?”

“ฉะนั้นเจ้าก็ต้องคิดหาหนทางสิ!” เว่ยฉางอิ๋งเงยหัวขึ้นมา เอื้อมมือไปประคองหน้าเขา จดจ้องเขาด้วยสายตาเปี่ยมล้มความเสน่หาพลางเอ่ยไป “สามีที่เฉลียวฉลาดและเก่งกาจเพียงนี้ ภรรยาเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีหนทางดึงดูดใจภรรยาได้แน่ ใช่หรือไม่?” นางตบแก้มสามีเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่หากสามีไร้หนทางดึงดูดใจภรรยาเล่า…ภรรยาก็จะต้องไปรักใคร่พวกคนที่ไปฉุดคร่ามามากกว่าน่ะสิ!”

เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “สามีรู้แล้ว!”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามยิ้มๆ “สามีมีแผนการดีๆ อันใด?”

“สามีจะรีบไปสังหารศัตรูหัวใจเหล่านั้นให้ตายให้หมด!” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง “เช่นนี้อิ๋งเอ๋อร์ก็เป็นของสามีเพียงผู้เดียวแล้ว!” สายตาที่ทอดยาวออกไปเต็มไปด้วยรัศมีการสังหารพลุ่งพล่าน “บังอาจมาแย่งภรรยาของสามี ก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ! สามีจะสับพวกมันทุกคนเป็นสิบแปดท่อน แล้วตัดหัวห้อยประจาน! ดูซิว่ายังมีผู้ใดกล้ามาหมายปองอิ๋งเอ๋อร์อีก!”

เขารู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีมาก เรียกว่าดีเหลือล้นทีเดียว นั่นเพราะ “ดังนี้แล้ว วันหน้าต่อให้อิ๋งเอ๋อร์คิดจะไปฉุดคร่าชายชาวบ้านอีก คนเหล่านั้นก็จะต้องรู้ความ หลังจากตกอยู่ในมือของอิ๋งเอ๋อร์แล้ว ก็จะต้องฆ่าตัวตายในทันใด!”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นท่าทีคิดเป็นจริงเป็นจังของเขาจึงหยัดตัวขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แล้วฟุบตัวอยู่บนอกเขาพลางหัวเราะจนหน้าหงาย เนิ่นนานจึงเช็ดน้ำตาที่หางตา ทุบที่อกสามีเบาๆ เอ็ดเขาว่า “เจ้าก็คิดหาความคิดผู้ดีกว่านี้สักหน่อยสิ! อันใดก็เอาแต่ฆ่าแกงกัน ไม่ได้ความจริงๆ! ยามนี้หาได้อยู่ในสนามรบของเจ้าไม่!”

“ความคิดที่ผู้ดีกว่านี้สักหน่อยหรือ…” เพิ่งจะสิ้นเสียงเขา ก็เห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงมองมาทางตนอย่างไม่ประสงค์ดี แขนที่เดิมทีใช้หนุนเป็นหมอนพลันถูกดึงออกมาจากท้ายทอย แล้วรวบเอวบางของนางเอาไว้ หัวเราะฮ่าๆ เสียงลั่นว่า “สามีเข้าใจความหมายของอิ๋งเอ๋อร์แล้ว…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เว่ยฉางอิ๋งที่ยังคงรอว่าเขาจะพูดสิ่งใดก็ร้อง “อุ๊ย” ขึ้นมาคราวหนึ่ง แล้วกลับถูกเขาพลิกตัวมากดตัวนางเอาไว้ หัวเราะเสียงดังพลางว่า “เมื่อครู่นี้มิใช่อิ๋งเอ๋อร์ชมว่าสามีเฉลียวฉลาดเก่งกาจต้องดึงดูดใจเจ้าได้แน่ๆ หรอกหรือ? แล้วสามีจะทำให้อิ๋งเอ๋อร์ผิดหวัง โดยไม่แสดง ‘ความเก่งกาจ’ ของสามีออกมาให้ดีๆ ได้อย่างไร?”

เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปสักพัก แล้วก็ถูกเขาบดจูบอย่างคลุ้มคลั่ง พักใหญ่จากนั้นจึงคิดทัน และไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทางหนึ่งก็ตอบสนองเขา อีกทางหนึ่งก็แอบโอดครวญในใจว่า “คำหยาบๆ เช่นนี้ ไม่เหมือนคำที่ท่านพี่เคยพูดเมื่อก่อนนี้เลย …มิน่าเล่าชาวบ้านจึงว่ากันว่าบุรุษดีๆ ไม่เป็นทหาร …ท่านพี่ของข้าดีๆ อยู่แท้ๆ เพิ่งจะเข้ามั่วสุมในกองทัพไม่กี่วันก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้แล้ว…”

ต่อจากนั้นนางก็ไม่มีเวลาจะมาคิดอันใดมากอีกแล้ว

_________________