สามีภรรยามาอยู่พร้อมหน้ากันย่อมละมุนละไมต่อกันไม่สุดไม่สิ้น
เพียงแต่หลายวันผ่านไป กองทัพใหญ่ก็ยังไม่กลับมา เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับต้องเดินทางออกไปอีกแล้ว …เขายังคงเฝ้านึกถึงผู้มีความสามารถที่ด่านเตี๋ยชุ่ยผู้นั้น คราก่อนด้วยถูกลอบทำร้ายระหว่างทางจึงยังไม่ได้พบ ครานี้ร่างกายหายดีแล้ว และพอจะมีเวลาว่างเล็กน้อย จึงคิดจะไปอีกครั้ง
ด้วยเหตุที่ยังไม่เคยได้เห็นกับตามาก่อน และไม่รู้ว่าคนผู้นี้ควรค่าจะทาบทามเข้ามาทำงานหรือไม่ จึงยังไม่อาจกำหนดเวลาที่จะไปไว้แน่นอนได้ หากคนผู้นั้นไม่เก่งกาจสมคำร่ำลือ ที่สามารถปกป้องด่านเตี๋ยชุ่ยเอาไว้ได้ในคราก่อนก็เป็นเพียงแค่ความบังเอิญ เช่นนั้นเสิ่นจั้งเฟิงย่อไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลากับคนชนิดนี้ แต่หากคนผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถที่พบเห็นได้ยากยิ่ง และก่อนนี้ก็ยังปฏิเสธคำเชิญของคนตั้งมากมาย ถ้าเสิ่นจั้งเฟิงอยากเชิญเขามาเป็นกำลังของตน ก็เกรงวาต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะสำเร็จ….
คนที่ทะนงในความสามารถของตนทั้งไม่ยอมออกมารับราชการหลายครั้งหลายครา หากคาดเดาตามหลักการทั่วไปแล้ว ต่อให้เป็นเพราะตลอดเวลามานี้เขาเฝ้ารอให้คนระดับเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นว่าที่ประมุขตระกูลเสิ่นเป็นคนไปเชิญ เพื่อให้ได้มาซึ่งหน้าตาและชื่อเสียงก็ตามที อย่างน้อยเขาก็ต้องวางท่าปฏิเสธไปสักสามครั้งสี่ครา และได้รับคำเยินยอว่ามีคุณธรรมสูงส่งเหนือผู้คนจนเพียงพอแล้วจึงจะยอมตกปากรับคำอย่างอิดออด
เว่ยฉางอิ๋งอดจะคับแค้นใจไม่ได้ ทางหนึ่งก็ช่วยสามีจัดเก็บสัมภาระ และกำชับเขาว่ายามเข้าออกต้องระวังเอาไว้สักหน่อย อย่าให้คนร้ายฉวยโอกาสได้ อีกทางหนึ่งก็โอดครวญกึ่งจริงกึ่งไม่จริงไปว่า “ข้าก็นึกว่าที่เจ้ากลับมาครานี้เพราะข้าเสียอีก ที่แท้ก็เพื่อเพชรน้ำหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในด่านเตี๋ยชุ่ยผู้นั้นหรอกรึ? ไม่รู้ว่ามีความสามารถใหญ่หลวงอันใด จึงทำให้เจ้าเฝ้าแต่นึกถึงไม่ลืมเสียที!”
เสิ่นจั้งเฟิงแย้มยิ้มแล้วโอบเอวนางจากด้านหลังเอาคางเกยที่ไหล่นาง กล่าวว่า “เหตุใดจะไม่คิดถึงอิ๋งเอ๋อร์เล่า? สามีคิดว่าอีกไม่กี่วันทัพใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว ถึงยามนั้นก็จะต้องมีกิจต่างๆ มากมาย จึงฉวยโอกาสนี้วิ่งไปที่ด่านเตี๋ยชุ่ยสักรอบ จะได้กลับมาสะสางกิจต่างๆ ได้อย่างไม่กังวลใจ เช่นนี้แล้วจะได้ว่างลงเร็วๆ เพื่อมาอยู่กับอิ๋งเอ๋อร์อย่างไรเล่า!”
“วันหน้าเจ้าจะมีเวลาใดมาอยู่เป็นเพื่อนข้า?” เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงคำที่เขาเคยพูดกับตนก่อนจะออกศึกว่า …มู่ซิวเอ่อร์ถูกสังหารแล้ว ทว่าต่อให้เขาไม่ตาย ก็เพียงแค่ต้องป้องกันพวกตี๋ไม่ให้รุกรานเข้ามา เพราะจะอย่างไรก็เป็นความรุ่งโรจน์หรือร่วงโรยของแถบซีเหลียงนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องต้าเว่ยเสื่อมถอยล่มสลายนั้น กลับเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่เกี่ยวเนื่องกับทั่วใต้หล้า….
“อุ๊ยตาย!” เว่ยฉางอิ๋งพลันร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ทั้งโยนเสื้อผ้าของเสิ่นจั้งเฟิงลง!
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ประหลาดใจนักหนา กล่าวว่า “เป็นอันใด?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ามา แล้วจ้องเขาอย่างหมดคำพูด เนิ่นนางจึงบอกว่า “ท่านอาหกของข้า…ก็คือเว่ยซินหย่ง คราก่อนเขาเขียนจดหมายมา จะเอาให้เจ้าอ่าน!”
…เดิมทีแล้ว ด้วยจดหมายฉบับนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก ภายในยังมีถ้อยคำตำหนิมากมายนางจึงเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา เพื่อเตรียมว่าพอเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้วก็จะมอบให้สามีอ่าน
ทว่าก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้รับข่าวว่าสามีจะกลับมา เว่ยฉางอิ๋งก็ตื่นเต้นยินดีเป็นหมื่นเท่า และเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาแต่งเนื้อแต่งตัว จึงยัดมันเอาไว้ในช่องลับในโต๊ะเครื่องแป้งเสียแล้ว …ก็แยกจากกันสั้นๆ ยิ่งกว่าแต่งงานใหม่นี่นะ …เมื่อสามีกลับมา ทั้งสองคนย่อมต้องสนทนาภาษากายกันสักนิด เชยชิดสนิทแนบกันสักหน่อย …จดหมายที่เอาเก็บไว้กับตัวนี้ ถึงยามปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วเกิดหล่นร่วงลง ช่วงเวลาหลอมรวมเจ้ากับข้าดิบดีอยู่แท้ๆ กลับต้องกลายมาเป็นการถกปัญหาบ้านเมือง นี่เรียกว่าทำลายความสำราญเพียงใด?
และเพราะนำไปเก็บซ่อนไว้ดังนี้ หลังจากทั้งสองคนรุกเร้ากันรอบหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
จนกระทั่งตอนนี้ที่เพิ่งคิดได้ว่าวันหน้าเสิ่นจั้งเฟิงจะต้องยุ่งมากๆ และคิดไปถึงเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้คิดได้ว่าเว่ยซินหย่งก็มีความคิดเช่นเดียวกัน แล้วค่อยคิดไปถึงจดหมายที่น่าสงสารฉบับนี้
เสิ่นจั้งเฟิงฟังคำอธิบายของภรรยาจนจบก็อดหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นขึ้นมาไม่ได้ พลางลูบม้วยผมภรรยาและเอ่ยถามว่า “จดหมายเล่า?”
“อยู่นี่อย่างไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออกอย่างขัดเขิน แล้วรีบสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดช่องลับแล้วนำจดหมายออกมาให้เขา
เมื่ออ่านจดหมายจบ เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ค่อนข้างประหลาดใจ คิดสักพักจึงว่า “ข่าวเรื่องรุ่ยอวี่ถังรับผู้มีความสามารถรูปงามมาเป็นบุตรบุญธรรมนี้ข้าก็ได้ยินมาตั้งแต่ปีก่อน เพียงแต่คนผู้นี้ปรากฏตัวออกมาอย่างปัจจุบันทันด่วนนัก ก่อนนี้ในเมืองหลวงกลับไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของเขามาก่อนเลย”
“คนผู้นี้มีจิตใจลึกล้ำนัก ข้าไม่ใคร่วางใจเขา” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือน “ได้ยินว่าเขาคล้ายมีความแค้นบางอย่างกับจิ่งเฉิงโหว คงเพราะกลัวว่าจะถูกจิ่งเฉิงโหวเล่นงาน จึงจงใจเก็บซ่อนตัว”
“ความแค้น?” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำก็คล้ายว่ามีความคิดบางอย่าง กล่าวว่า “เขาชื่อว่าเว่ยซินหย่ง หลังจากมาเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ …ให้ข้าคิดดูสักหน่อย …คล้ายจะเคยได้ยินมาบ้าง?”
เว่ยฉางอิ๋งรอด้วยความใคร่รู้ …เนิ่นนานจากนั้น เสิ่นจั้งเฟิงก็เงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าหลายปีก่อน …ครั้งนั้นข้าอายุยังน้อย เคยได้ยินพวกบ่าวพูดคุยกันว่ามีพ่อและบุตรสาวคู่หนึ่งในจือเปิ่นถังที่พลั้งเผลอไปกินของที่มีพิษเข้าและตายไปทั้งคู่! คล้ายจะเป็นบิดาและพี่สาวร่วมท้องของเว่ยซินหย่งผู้นี้กระมัง?”
“ข้าจำได้ว่า…” เว่ยฉางอิ๋งนึกย้อนกลับไปสักพักพลางว่า “บิดาเขาชื่อคำเดียวว่า ‘จี’ ”
“น่าจะใช่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย “คุณหนูเว่ยผู้นั้นนามว่าซินไถ”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “พลั้งเผลอกินของมีพิษ ท่านปู่ของเขาก็คือท่านจิ่งเฉิงโหวผู้เฒ่า ต่อให้ฐานะทางบ้านเขาย่ำแย่เพียงใดก็คงเป็นไปไม่ได้ว่าเพิ่งจะผ่านไปสองสามรุ่นก็ต้องเข้าในป่าเพื่อไปหาอาหารมากินด้วยตนเอง คงเพียงแค่ไปซื้อหาจากในตลาด แล้วจะพลั้งกินผิดสำแดงโดยง่ายได้อย่างไร? ข้าเห็นว่าท่านอาหกของข้าผู้นี้เคืองแค้นจิ่งเฉิงโหวเป็นนักหนา เกรงว่าเรื่องที่ว่ากันว่าพลั้งเผลอกินของมีพิษจะเป็นเพียงการปิดบังหูตาผู้คนเท่านั้น? ไม่แน่ว่าการตายของพ่อและบุตรสาวทั้งสองคนนี้จะเกี่ยวพันกับจิ่งเฉิงโหวเป็นอย่างมาก”
“เว่ยจีเป็นน้องชายคนเล็กต่างมารดาของจิ่งเฉิงโห้ว ได้ยินว่าครั้งท่านจิ่งเฉิงโหวผู้เฒ่ายังอยู่ก็รักใคร่เขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะยกจือเปิ่นถังให้เขาสืบทอด คงเพียงแค่เหมือนคนทั่วไปที่ค่อนข้างรักลูกคนเล็กเท่านั้น จึงนับว่าจิ่งเฉิงโหวและน้องชายต่างมารดาผู้นี้น่าจะมีความสัมพันธ์ที่พอใช้ได้ต่อกัน….” เสิ่นจั้งเฟิงใคร่ครวญพลางว่า “ภายหลังเมื่อท่านจิ่งเฉิงโหวผู้เฒ่าสิ้น ทายาทของเขาแยกบ้านกัน ทำให้ความสัมพันธ์เหินห่างไปสักหน่อย ทว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่และในยามปกติก็ยังไปมาหาสู่กัน คล้ายว่าหลังจากเว่ยจีพ่อลูกเสียไป จิ่งเฉิงโหวก็ยังส่งขุนนางตำแหน่งใหญ่โตไปช่วยจัดงานศพที่จวน และยังไปร่วมงานศพด้วยตนเองด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ตามที่เจ้าพูดมา ท่าทีของจิ่งเฉิงโหวก็ดูปกติมาก ไม่จงใจเหินห่างและก็ไม่ได้สนิทสนมเกินไป ก็มิน่าเล่าจึงไม่มีเรื่องใดแพร่ออกมา …แต่หากไม่มีความแค้นเคืองอันใดจริงๆ ท่านอาหกของข้าผู้นี้ก็คงไม่ต้องถึงกับดิ้นรนทุกวิถีทางให้ตนเองได้รับอุปการะเข้ามาในรุ่ยอวี่ถังของข้าหรอก ทั้งยังคอยเป็นอริกับจิ่งเฉิงโหวมาโดยตลอดด้วย”
“คิดว่าท่านปู่ของพวกเราคงจะรู้” เสิ่นจั้งเฟิงได้ฟังแล้วกลับลูบใบหน้านาง ยิ้มพลางเอ่ย
เมื่อเขาเอ่ยเตือน เว่ยฉางอิ๋งพลันตบมือหนหนึ่ง กล่าวว่า “ระยะนี้วุ่นวายจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ! จนลืมเขียนจดหมายเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับท่านย่า!”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ก็ไม่เป็นสิ่งใด …ดีชั่วเจ้ามาเขียนตอนนี้ก็เหมือนกัน”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเขาเริ่มฉีกจดหมายจนกลายเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาใส่ในเตากำยานรูปกิเลนอันเล็กๆ ที่ข้างมุ้ง จุดกำยานเผาจดหมายจนไม่เหลือซาก จึงถามว่า “เช่นนั้น สิ่งที่ท่านอาหกของข้าร้องขอ?”
“ให้เขาไปเป็นพอ” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างไม่สนใจ “สถานการณ์ที่แท้จริงของกองทัพก็มิใช่ความลับอันใด ดีชั่วก็เสร็จศึกแล้ว เรื่องใหญ่โตเพียงนี้จะปิดบังได้ที่ใด เพียงแต่เพื่อให้ฮ่องเต้ดีพระทัย ยามไปรายงานก็ต้องแต่งเติมไปตามสิ่งที่ฮ่องเต้โปรดจะได้ฟังเข้าไปสักหน่อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เขาก็ไปดูหนังสือข่าว[1]โดยตรงก็ได้แล้ว” หากไปออกศึกครานี้มีเพียงคนของตระกูลเสิ่น บางทีก็อาจจะเก็บข่าววงในไว้เป็นความลับได้อีกมาก ทว่าในเมื่อมีบุตรหลา ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงและตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงมาร่วมรบด้วยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็จะต้องได้รับคุณความชอบเป็นส่วนใหญ่ด้วย ฉะนั้นการรบพุ่งทั้งหมดจะปิดเรื่องใดเอาไว้ได้?
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนัก “ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องเน้นย้ำว่าจะต้องเป็นสถานการณ์รบอย่างละเอียดเท่านั้น? ข่าวข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ถูกสังหารก็จะต้องรายงานขึ้นไปตามจริงอยู่แล้วมิใช่หรือ? หรือว่าเขาเพียงแค่หาข้ออ้างเขียนจดหมายนี้มา?”
เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปหยิกแก้มนางเบาๆ ยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “มู่ซิวเอ่อร์เป็นหอกข้างแคร่ตัวฉกาจ เมื่อกำจัดเขาแล้ว ก็จะมีแต่จะเป็นเรื่องดีใหญ่หลวง ทว่าพวกตี๋กลับยังไม่ได้ถูกกำจัดจนสิ้นซาก แต่ก็เกรงกลัวแสนยานุภาพของทหารต้าเว่ยของเราจนเตลิดไปทั่วทิศแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชายต่างเผ่าเหล่านี้อายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองก็สามารถเข้ารบบนหลังม้าได้แล้ว แม้มู่ซิวเอ่อร์จะตายแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าซีเหลียงจะสงบสุขได้โดยสิ้นเชิง”
“ยังไม่อาจสงบสุขได้โดยสิ้นเชิง?” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง กล่าวว่า “มิใช่ก่อนนี้เจ้าบอกว่าเมื่อกำจัดมู่ซิวเอ่อร์ได้แล้วก็จะดีแล้วหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงอธิบายว่า “มู่ซิวเอ่อร์นั้นจำเป็นต้องกำจัด เพราะหากนับกันเรื่องความสามารถ การวางแผนและชั้นเชิงในบรรดาชาวตี๋แล้วแล้วไม่มีผู้ใดทัดเทียมเขาได้! หากไม่กำจัดคนผู้นี้ก็จะเป็นภัยใหญ่หลวง! ยามนี้เขาถูกบั่นหัวแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ พวกเราจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าพวกตี๋จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกต่อไป ทว่าก่อนหน้านี้เนื่องจากต้องไล่สังหารมู่ซิวเอ่อร์ กลับต้องปล่อยให้อูกู่เหมิงและอาอีถ่าหูที่แยกไปคนละทิศกับเขาไป จดบัดนี้ทั้งสองคนก็ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า ความหวังจะจับตัวพวกเขาได้จึงมีน้อยเต็มทน”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “อูกู่เหมิงและอาอีถ่าหูคือผู้ใด?”
“อูกู่เหมิงเป็นบุตรชายของมู่ซิวเอ่อร์ ส่วนอาอีถ่าหูก็เป็นพี่ชายต่างมารดาของมู่ซิวเอ่อร์” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ครั้งมู่ซิวเอ่อร์ขึ้นสืบทอดตำแหน่งข่านจากบิดาของเขาก่อนหน้านี้ อาอีถ่าหูก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเคยร่วมมือกับผู้อาวุโสหลายคนเพื่อคัดค้าน เพียงแต่ถูกมู่ซิวเอ่อร์ทำทุกวิถีทางกดเขาลงไป แต่มารดาและภรรยาของอาอีถ่าหูล้วนเป็นคนจากเผ่าใหญ่ๆ ของชิวตี๋ ในมือก็มีผู้คนในชนเผ่าในอาณัติตนไม่น้อย ดังนี้แล้ว แม้มู่ซิวเอ่อร์จะกดเขาเอาไว้ แต่ก็กลับไม่กล้าจัดการอันใดกับเขาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปีก่อนครั้งสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องของมู่ซิวเอ่อร์เหลือรอดอยู่เพียงคนเดียวและคุ้มครองเขาหนีตายกลับมาอย่างทุลักทุเล อาอีถ่าหูก็เคยคิดจะมาแทนที่เขา…”
เว่ยฉางอิ๋งฟังถึงตรงนี้ก็อดเอ่ยมาได้ว่า “ว่ามาดังนี้ลุงหลานทั้งสองคนนี้ก็มิใช่ว่าจะไม่ปรองดองกันหรอกหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้ม กล่าวว่า “ไม่ปรองดองกันดังว่า ในระหว่างที่อูกู่เหมิงหนีก็ยังไม่ลืมที่จะเข้าไปเผาทำลายและกวาดยึดข้าวของจากของชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ในอาณัติของ อาอีถ่าหูซึ่งอยู่ระหว่างทางด้วย …แต่แม้ว่าพวกชิวตี๋จะแตกแยกกันเป็นสี่ฝักห้าฝ่าย ทว่าก็มิใช่พวกเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องภัยคุกคามเขตแดนได้โดยสิ้นเชิง”
เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ความจริงแล้วข้ากำลังเป็นกังวลกับเรื่องนี้อยู่!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ใคร่เข้าใจเรื่องการศึกนัก แต่หากคาดเดาเอาจากหลักการทั่วไปแล้ว ก่อนนี้ครั้งพวกตี๋ยังมีข่านอยู่ก็มารุกรานต้าเว่ยอยู่ทุกๆ ปี หากแบ่งแยกกันเป็นสี่ฝักห้าฝ่ายแล้ว ทั้งพลานุภาพและกำลังทหารย่อมไม่เหมือนก่อน …นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องดีจึงจะถูก แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่หวังเพียงเท่านี้ เขาย่อมไม่คาดหวังจะเก็บโจรไว้สร้างผลงานคราวหน้า เพราะต้าเว่ยกำลังล่มสลายแล้ว สิ่งที่เสิ่นจั้งเฟิงร้อนใจเป็นที่สุดในยามนี้ก็คือกำจัดภัยภายนอกและความกังวลภายในของซีเหลียงแห่งนี้ให้สิ้นซาก เพื่อจะได้มีกำลังไปทำการอื่น
เมื่อลองคิดใคร่ครวญดู เว่ยฉางอิ๋งพลันเกิดประกายความคิด จึงกล่าวว่า “เจ้ากำลังกังวลว่าเมื่อไม่มีข่านคอยควบคุมพวกตี๋ ภัยคุกคามที่ชายแดนก็จะยิ่งสงบได้ยากขึ้น?”
เสิ่นจั้งเฟิงมีแววตาชมเชยในดวงตา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิผิด! เมื่อมีข่านอยู่ เพียงแค่ต้องคอยจับตาที่กระโจมอ๋องเอาไว้ ก็จะสามารถรู้ความเคลื่อนไหวในภาพรวมของพวกตี๋ได้แล้ว! แต่เมื่อไม่มีข่านแล้ว ไม่ว่าอูกู่เหมิงและอาอีถ่าหูล้วนไม่มีผู้ใดยอมให้ผู้ใด อีกทั้งไม่มีผู้ใดที่ข่มผู้ใดเอาไว้ได้ การที่พวกตี๋กระจัดกระจายกันอยู่เช่นนี้ แต่ละชนเผ่าต่างปกครองตนเอง กลับยิ่งปราบปรามได้ยากขึ้น …นั่นเพราะชายหญิงในชนเผานี้ล้วนชำนาญเกาทัณฑ์และขี่ม้าทั้งนั้น
เรื่องใหญ่โตเช่นการศึกการปกครองเหล่านี้ เว่ยฉางอิ๋งเพียงแค่เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ดีชั่วมีสามีอยู่ นางก็ไม่เจ็บต้องเป็นห่วง… เหล่าท่านอาหญิงก็กำชับมาเป็นการส่วนตัวแล้วว่าคนเป็นภรรยาไม่ต้องมาสนใจในเรื่องเช่นนี้มากเกินไป นางจึงสอบถามไปเรื่อยและไม่เอ่ยถึงอีก แล้วเอาเสื้อผ้าที่เมื่อครู่นี้ทำหลุดมือไว้บนเตียงขึ้นมาพับใหม่ พับไปๆ จู่ๆ ก็หันหน้ามาถามสามีว่า “จะให้ข้าไปด่านเตี๋ยชุ่ยกับเจ้าด้วยหรือไม่?”
________________