….แม้ว่าตัวเสิ่นจั้งเฟิงเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ภรรยาเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยังปฏิเสธเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งเสนอว่าจะติดตามเขาไปด้วย สาเหตุก็เพราะยามนี้เขายังไม่รู้ว่าผู้มีความสามารถสูงส่งที่ด่านเตี๋ยชุ่ยผู้นั้นมีคุณค่าเพียงใด หากดีแต่ชื่อ เว่ยฉางอิ๋งติดตามไปด้วยก็ไม่เป็นไร แต่หากคนผู้นั้นเป็นคนที่มีความสามารถล้ำเลิศ เสิ่นจั้งเฟิงย่อมไม่อาจปล่อยเขาไปได้ และต้องหาหนทางเอาคนมาเป็นกำลังของตนให้จงได้
ประเด็นสำคัญก็คือผู้มากความสามารถผู้นี้เคยปฏิเสธคำเชื้อเชิญของคนใน ตระกูลเสิ่นคนอื่นๆ มาแล้วหลายครั้งหลายครา รวมทั้งผู้ตรวจการแคว้นซีเหลียงคนก่อนด้วย จึงทำให้คนพากันรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทะนงความสามารถของตนจนไม่สนใจผู้อื่นไม่มากก็น้อย
ฉะนั้น เสิ่นจั้งเฟิงจึงเป็นกังวลว่าหากต้องทาบทามคนผู้นี้ในทันใด หากพาเว่ยฉางอิ๋งไปด้วยก็เกรงว่าจะไม่สะดวก ประเด็นหลักที่เขาต้องไปเพียงลำพังก็คือ จะทำให้มีเหตุผลที่ชัดเจนและพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาตั้งใจมาเพื่อคนผู้นี้โดยเฉพาะ ทำให้เห็นว่ามีความตั้งใจจริงเพียงพอ แต่หากพาภรรยาไปด้วย …แล้วให้อีกฝ่ายรู้เข้า ไม่แน่ว่าอาจเข้าใจผิดว่าเขาเพียงพาภรรยาออกมาท่องเที่ยว ส่วนการทาบทามคนก็เพียงถือโอกาสทำไปพร้อมกันเท่านั้น …ด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้คนที่มีความสามารถและความรู้จริงแท้ทั้งทะนงในตนเองเช่นนี้รู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่ให้ความสำคัญกับเขาเพียงพอ จึงวางท่าตั้งกำแพงยิ่งขึ้นอีกสักหน่อยก็เป็นได้…
ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงกำลังแข่งกับเวลา ย่อมไม่หวังให้ความเป็นไปได้เช่นนี้มาทำให้เสียการได้
เมื่อได้ยินคำอธิบายของสามี เว่ยฉางอิ๋งก็ทำได้เพียงล้มเลิกความตั้งใจ กล่าวว่า “หวังแต่ว่าคนผู้นั้นอย่าเล่นตัวมากเกินไปเป็นดี” เพราะมีตัวอย่างมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเว่ยซินหย่งเคยปิดบังแซ่ของตนเพื่อเข้ามาใกล้ชิดเว่ยฉางเฟิง นางจึงเตือนสามีไปอีกว่า “เจ้าก็ต้องระวังตัวเอาไว้สักหน่อย มิใช่เคยบอกว่ามีชาวเว่ยจำนวนมากที่ถูกพวกตี๋ซื้อตัวไปเป็นไส้ศึกหรอกหรือ? คราก่อนที่พวกตี๋เข้าโจมตีด่านเตี๋ยชุ่ยอย่างกะทันหันแต่ไม่สำเร็จ ก็อย่าได้เป็นเพราะแผนการที่คนในเป็นใจกับคนนอก เพื่อล่อให้เจ้าไปพบเสียเล่า!”
“วางใจเถิด นายทหารรักษาการณ์ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยตรวจสอบบรรพบุรุษและบุตรหลานของคนผู้นี้มาหลายชั่วอายุคนอย่างละเอียดมาตั้งนานแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆพลางว่า “ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าถูกลอบทำร้ายคราก่อนก็ตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่ามิได้เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยังคงมีท่าทีเป็นห่วงเขาไม่วางใจสักที เสิ่นจั้งเฟิงพลันยิ้มกว้างและกอดภรรยาเอาไว้ ก้มหัวลงไปซุกไซ้ข้างแก้มนาง หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “สามีมีภรรยาแสนงามอยู่ในอก แม้แต่ลูกชายคนแรกก็ยังไม่เคยได้เห็นสักหน แล้วจะยอมไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? อิ๋งเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะชีวิตนี้ของสามี ยามนี้มีค่าสูงดังทองทีเดียว!”
เรื่องนี้จึงตกลงกันดังนี้ เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นจั้งเฟิงนำ ‘จี๋หลี’ ควบม้าออกเดินทางไป
เมื่อส่งสามีไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงมีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่นๆ ซึ่งเรื่องแรกที่นางต้องเอ่ยถามถึงก็คือ “น้องซินเหมี่ยว การรักษาการกุศลของเจ้าในสองสามวันนี้ มีข่าวใดบ้างหรือไม่?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขมวดคิ้ว ทอดถอนใจหลายหนพลางว่า “ก็พอจะมีบ้างเล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะแน่ชัดเพียงใด!”
เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งถามไปส่งเดช …เพราะนางคาดเดาไว้ในใจว่า เกรงว่าญาติของจี้ชวี่ปิ้งผู้นั้นจะตายไปป่ารกร้างนอกเมืองเสียตั้งนานแล้ว แต่เหตุที่นางเสนอความคิดให้ทำการรักษาการกุศลก็ด้วยหวังว่าอาจมีความเป็นไปได้สักหนึ่งในหมื่น ไม่นึกว่ากลับมีหนึ่งในหมื่นนั้นจริงๆ จึงเอ่ยถามอย่างตื่นตะลึงในทันใดว่า “เป็นข่าวใด? เจ้ารีบเอ่ยออกมาให้ข้าได้ฟังด้วยสักหน่อย”
“จูหลานและจูสือไปสอบถามมาได้ บอกว่าญาติผู้นั้นของท่านอาจารย์หนีไปในทิศทางของป้อมปราการตระกูลเฉา บางทีอาจจะถูกนำตัวเข้าไปในป้อมตระกูลเฉาก็เป็นได้” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ไยเจ้าไม่เอ่ยก่อนหน้านี้สักหน่อย จะได้ส่งคนไปสอบถามในป้อมตระกูลเฉาดู?”
“ข้าจะไม่เอ่ยได้อย่างไร?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงคำหนึ่ง กล่าวว่า “เพียงแต่พอข่าวนี้เพิ่งจะมาถึงมือ พี่ชายสามของของข้าผู้นั้นก็กลับมาแล้ว ใจทั้งดวงของพี่สะใภ้ท่านก็ล้วนไปผูกอยู่กับตัวสามี แล้วจะมาสนใจทางข้าได้อย่างไร? ข้าเองก็ไม่กล้าทำตัวเป็นคนชั่วทำลายความสำราญ ดังนี้แล้ว ก็มิใช่ว่าคนรู้ความเช่นตัวข้าต้องไปไหว้วานท่านพ่อบ้านใหญ่เสิ่นเอาเองหรอกหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มอย่างขัดเขิน แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “พ่อบ้านใหญ่เสิ่นว่าอย่างไร?” นางคิดในใจว่าอิทธิพลของตระกูลเสิ่นในซีเหลียงก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น แม้เสิ่นหยิวอี่จะเข้ามารับตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ของหมิงเพ่ยถังได้ไม่นาน ทว่าประการแรกฐานะในตระกูลของทั้งตนและเสิ่นจั้งเฟิงก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นแล้ว จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เสิ่นหยิวอี่ที่ตนเองเป็นคนสนับสนุนให้ได้รับตำแหน่งนี้ก็จะเพิกเฉยชักช้า ประการที่สองเสิ่นหยิวเจี่ยซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเสิ่นหยิวอี่เป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียง แม้ยามนี้ยังคงกำลังนำทัพใหญ่เดินทางกลับมา ทว่าอาศัยเส้นสายที่เขาเป็นผู้บัญชาการมานานปี และในเมื่อเสิ่นหยิวอี่ก็รู้จักพื้นที่ดี หากจะหาคนสักคนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ไม่คิดว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับขมวดคิ้วแล้วว่า “ท่านพ่อบ้านใหญ่เสิ่นบอกว่าที่นั่นรกร้างห่างไกลเกินไป และไม่มีคนตระกูลเสิ่นอาศัยอยู่ ฉะนั้นต้องส่งคนไปสืบถามดูเป็นการเฉพาะ ไปกลับอย่างน้อยก็ต้องสิบวันครึ่งเดือน ซึ่งนี่ก็ต้องไม่ได้เสียเวลายามไปติดตามสอบถามผู้คนด้วยจึงจะได้ ยามนี้คนที่ไปสอบถามข่าวยังไม่ทันกลับมาเลย!”
“เช่นนั้นรึ?” ก่อนนี้เพราะสามีกลับมา เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ละเลยตวนมู่ซินเหมี่ยวไป ยามนี้ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือชดเชยให้แก่นาง จึงเอ่ยเอาใจว่า “อีกประเดี๋ยวข้ามีเรื่องต้องสั่งความกับเขาพอดี จะได้ถามให้เจ้าด้วย หากทางนั้นเกิดปัญหาใดยามติดตามสอบถาม ข้าก็จะสั่งคนที่คล่องแคล่วไปอีก”
พูดเสร็จก็ลงมือในทันใด หลังจากส่งตวนมู่ซินเหมี่ยวไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงให้คนไปเชิญเสิ่นหยิวอี่มาหาเพื่อสอบถามเรื่องที่ป้อมตระกูลเฉา หารู้ไม่ว่านางเพิ่งจะเอ่ยปากเสิ่นหยิวอี่ก็ยิ้มเจื่อนๆ พลางโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “ท่านอาสะใภ้มิทราบ ต่อให้ท่านไม่ได้เรียกหลานมาในยามนี้ หลานก็จะเข้ามาขอความเห็นอยู่แล้ว …เราเคยส่งคนไปสอบถามทางป้อมตระกูลเฉามาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน จำเป็นต้องส่งคนไปสอบถามอีกในยามนี้ที่ใดกัน?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังพลันงงงวยนัก กล่าวว่า “อย่างไรกัน?”
เสิ่นหยิวอี่เอียงตัวไปทางที่นั่งหลักเล็กน้อย กดเสียงลงต่ำแล้วเริ่มอธิบายขึ้นมาว่า “ตอนที่คุณหนูตวนมู่แปดกำลังรักษาอยู่ เพียงแค่ส่งสาวใช้ออกไปเลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนที่มารับการรักษาก็สามารถสอบถามถึงเรื่องป้อมตระกูลเฉาได้แล้ว แล้วพวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้ แม่เฒ่าซ่งก็เคยไหว้วานท่านประมุข และ เมื่อคำสั่งของท่านประมุขมาถึงซีเหลียงนั้น พวกเราก็เคยส่งคนไปสอบถามที่ป้อมตระกูลเฉามาแล้วขอรับ”
“แล้วผลเป็นเช่นใด? ญาติของท่านหมอเทวดาจี้อยู่ที่นั่นหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งรีบถาม
เสิ่นหยิวอี่ถอนใจพลางว่า “ไปนั้นไปแล้ว เพียงแต่ …คนน่ะตายไปแล้วขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจใหญ่ กล่าวว่า “ตายแล้ว?”
“ก็มิใช่หรือขอรับ?” เสิ่นหยิวอี่แผ่มือออก กล่าวว่า “เดิมทีพวกคนตระกูลจี้ก็เกิดและเติบโตที่เมืองหลวง ย่อมคุ้นเคยกับอากาศที่ซีเหลียงของเราได้ยากยิ่ง กอปรกับพวกเขาล้วนเป็นคนชั้นสูงแต่ทุกวันกับต้องมาทนรับความทุกข์ยากลำบาก …แม้จะเป็นเพราะหน้าตาของอดีตฮองเฮาเฉียน ตระกูลของเราจึงออกหน้าไปช่วยดูแลเล็กน้อย ทว่านางเติ้งก็สามารถซื้อคนในตระกูลของเราไปได้จำนวนหนึ่ง …ท่านอาสะใภ้ก็เกิดในตระกูลใหญ่โต จึงย่อมรู้ว่าเมื่อมีคนในตระกูลมากมายแล้ว ก็มิใช่ว่าทุกคนจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น คนตระกูลจี้ที่ถูกเนรเทศส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเป็นเด็กสตรีและคนชรา จึงล้มตายกันไปอย่างรวดเร็วนัก คนที่หลบหนีไปได้นั้นคล้ายว่าจะเป็นบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาเอกของจี้อิงนามว่าจี้กู่ นับๆ ดูแล้ว ปีนั้นอายุเพิ่งจะสิบสี่ปี ยังไม่เติบโตเต็มที่ การที่เขาสามารถหลบหนีจากสายตาของผู้คุมไปได้ชั่วเวลาหนึ่งก็นับว่าโชคดีแล้วขอรับ…”
หลังจากเสิ่นหยิวอี่อธิบายอย่างละเอียด เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้ว่าการที่จี้กู่ผู้นี้สามารถหลบหนีออกไปได้ ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่ง …เพราะซีเหลียงเหน็บหนาว แม้ผู้คุมนักโทษเนรเทศใช้แรงงานจะสามารถรีดไถครอบครัวของนักโทษได้ แต่เมื่อมาเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศแล้ว ก็จะต้องเป็นผู้คนที่สูญเสียอำนาจหรือไม่ก็ไม่ได้รับความสำคัญ สิ่งที่พวกเขาจะได้จากนักโทษเหล่านี้จึงมีจำกัดนัก ซึ่งปกติแล้วพวกเขาส่วนมากก็จะยากจนเสียยิ่งนัก
……………………….