ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 39-2 จี้กู่

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ก่อนที่จี้กู่จะหลบหนีไปได้หนึ่งวัน ผู้คุมที่เข้าเวรเฝ้ากลุ่มของพวกเขาบังเอิญยิงกระต่ายป่าได้ตัวหนึ่ง พวกผู้คุมที่เข้าเวรในวันนั้นมีกันอยู่หลายคน ต่อให้กระต่ายป่าตัวหนึ่งจะอ้วนพีเพียงใดก็ไม่พอให้คนหลายคนเอากลับไปแบ่งกันที่บ้านได้ ครั้นแล้วเหล่าผู้คุมจึงตัดสินใจว่าจะกินกันเสียเดี๋ยวนั้น จึงสั่งให้นักโทษเอากระต่ายป่าตัวนั้นไปต้มเป็นน้ำแกงให้พวกเขากิน ยามนั้นมีนักโทษสองคนถูกเรียกตัวให้ไปช่วยดูแลรับใช้ หนึ่งในนั้นก็คือจี้กู่ …สาเหตุที่เรียกเขาก็เพราะเขามีร่างกายผ่ายผอมอ่อนแอ ทำเรื่องใดก็มักจะย่ำแย่กว่าผู้อื่น ให้เขาใช้แรงงานแทบเป็นแทบตายอยู่ที่นั่น เขาก็ทำงานใดไม่ได้มากเท่าใด

ดังนี้แล้วเมื่อมีงานเล็กน้อยใดๆ ก็จะให้เขาไปทำเสียก็นับว่าสะดวกดี

ปรากฏว่าผู้คุมเหล่านี้ข่มขู่บีบคั้นอยู่บนหัวนักโทษเสียจนกลายเป็นความเคยชิน แม้จะรู้ความเป็นมาของจี้กู่ แต่ก็กลับประเมินตระกูลจี้ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี โดยเฉพาะวิชาแพทย์ในสายตระกูลของจี้อิงต่ำเกินไป จี้กู่ก็เพียงหิ้วกระตายที่ถลกหนังออกแล้วตัวนั้นไปทำความสะอาดที่ลำธารต่อสายตาของผู้คุม จากนั้นก็เอามันไปต้มเป็นน้ำแกงกับนักโทษอีกคนหนึ่งที่ไม่นับว่าสนิทสนมกันต่อสายตาของทุกคน …และในระหว่างนั้นเขาก็ฉวยโอกาสที่กำลังล้างเนื้อกระต่ายอยู่ที่ริมลำธาร ใช้มือดึงยาสมุนไพรสองสามต้นที่เรียกได้ว่าขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบนั้นมา …หรือจะบอกว่ามันคือวัชพืชในสายตาของคนทั่วไปก็ได้ แล้วทำเป็นยาถ่ายชนิดรุนแรงชนิดหนึ่ง!

ไม่เพียงเท่านี้ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาใช้วิธีใดจึงสามารถใส่ยานั้นลงไปในน้ำแกงต่อหน้าต่อตาพวกผู้คุม…

ฉะนั้นเมื่อเหล่าผู้คุมกินน้ำแกงเนื้อกระต่ายไปแล้วไม่นานทุกคนจึงท้องเดินกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!

อาศัยโอกาสนี้ จี้กู่จึงปลุกระดมให้ทุกคนพากันหนี ทั้งเขาและจี้เจียนซึ่งเป็นพี่ชายที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวในขณะนั้นก็ปะปนอยู่ในคนจำนวนนั้นด้วย …เพียงแต่จี้เจียนโชคไม่ดี หลังจากนี้ไปได้ไม่ไกลก็ถูกผู้คุมพบตัวและสังหารเขาตายกับที่!

กลับเป็นจี้กู่ผู้นี้ที่โชคดีหนีรอดเข้าไปในป้อมตระกูลเฉาได้

จึงต้องเอ่ยถึงป้อมตระกูลเฉานี้สักหน่อย ที่แห่งนี้เรียกว่าป้อมปราการ จึงแน่นอนว่าต้องมีป้อมอยู่ป้อมหนึ่ง แต่กับแตกต่างจากป้อมปราการทั่วไป

ดังเช่นที่เคยเอ่ยมาแล้วว่ามีผู้คนที่ถูกเรียกเก็บภาษีหรือค่าเช่าที่นา ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางไป จึงไม่อาจไม่เสี่ยงอันตรายไปแพ้วถางที่ดินรกร้างที่อยู่ระหว่างเขตแดนเว่ยและตี๋เพื่ออยู่อาศัยและทำกิน ทั้งต้องเสี่ยงอันตรายจากการถูกพวกตี๋สังหารและถูกทางการต้าเว่ยมาไล่เรียงเอาความ และยังต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อหาทางให้มีชีวิตรอด …ป้อมตระกูลเฉาก็คือสถานที่เช่นนี้

ว่ากันตามหลักแล้วเมื่อในเขตแคว้นมีประชาชนที่ไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ทางการก็ต้องไปปราบปราม เพียงแต่ตำแหน่งของป้อมตระกูลเฉานั้นมีชัยภูมิที่ดีเหลือล้น คำพูดที่ว่าหนึ่งคนเฝ้าด่านทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่านนี้ ก็เรียกได้ว่าสรรค์สร้างมาเพื่อสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ!

ตามการพรรณนาของเสิ่นหยิวอี่แล้ว คามจริงแล้วป้อมตระกูลเฉาแห่งนี้ไม่มีทั้งกำแพงป้อม ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแกร่งอันใด …นั่นเพราะที่นั่นไม่มีความจำเป็นใดๆ อยู่แล้ว! สามด้านของที่แห่งนี้เป็นหน้าผาสูงชันที่ราวกับใช้มีดหรือขวานผ่าออกมา ที่ที่ต่ำที่สุดของหน้าผาก็สูงหลายสิบจั้ง! รถศึกทะลายกำแพงมาถึงก็ยังทำได้เพียงเหม่อมองและถอดถอนใจ …ซึ่งความจริงแล้วรถลากต่างๆ ก็ยังไปไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ เพราะแม้จะนับไม่ได้ว่าแม่น้ำที่อยู่ใต้หน้าผาไหลเชี่ยวนัก แต่ก็สามารถท่วมถึงที่นั่งในรถศึกได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว…

ยิ่งไปกว่านั้นซีเหลียงเหน็บหนาว บนหน้าผาก็มิใช่ว่าจะมีต้นตีนตุ๊กแกขึ้นเต็มไปหมดเหมือนบนยอดเขาทางใต้ หากหวังว่าจะมีเถาวัลย์แก่ๆ เติบโตเป็นแถบกว้างมาหลายร้อยปี จึงทำให้มีความแข็งแรงทนทานพอให้เหล่าทหารใช้ปีนขึ้นไปโจมตีได้ ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้….

ฉะนั้นจึงบอกได้แต่ว่านอกเสียจากมีปีก หาไม่แล้วหากคิดจะโจมตีทั้งสามด้านเพื่อเข้าไปภายในก็เป็นเพียงแค่ความคิดล้มๆ แล้งๆ เท่านั้นแล้ว!

อีกประการหนึ่ง อีกด้านหนึ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งก็หนทางเดียวที่สามารถเข้าไปข้างได้นั้น…

เส้นทางนี้ก็ยังเป็นทางสายเล็กๆ ที่คิดเคี้ยวดังไส้แกะขนาดแท้! หนทางนี้เล็กเสียจนลูกหาบที่มีประสบการณ์ที่สุด หากหาบกระบุงไปอันหนึ่งก็ยังต้องเอียงตัวแล้วแล้วประคองเชือกที่ห้องกระบุงเอาไว้ด้วยจึงจะไม่ไปเสียดสีกับภูเขาหินทั้งสองข้าง…

สถานที่ซึ่งมีชัยภูมิล้ำเลิศเพียงนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนที่คิดจะเข้าโจมตีต้องผิดหวังกันหมดแล้ว!

ที่คอขาดบาดตายที่สุดก็คือสถานที่ล้ำเลิศแห่งนี้ยังไม่ใช่เล็กๆ อีกด้วย! นอกจากภายในป้อมตระกูลเฉาสามารถจุคนได้ราวๆ สามพันคนแล้ว ข้างในยังมีที่นา …มีลำธาร …นอกจากเกลือที่จำเป็นต้องออกมาซื้อหาจากข้างนอกแล้ว พวกเขาก็สามารถปิดทางสายเล็กๆ สายนี้เอาไว้ และใช้ชีวิตปลีกตัวจากโลกภายนอกและมีอิสรเสรีได้เต็มที่แล้ว!

 แม้ตระกูลเสิ่นจะมีทหารกล้าม้าแกร่ง แต่ส่วนมากแล้วก็ล้วนตระเตรียมไว้สำหรับการรบพุ่งกับพวกตี๋ …ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่เสิ่นหยิวเจี่ยจนถึงเสิ่นจั้งเฟิง ล้วนจับจ้องแต่เพียงชีวิตของข่านมู่ซิวเอ่อร์ จะมีเวลาใดไปสนใจผู้คนเหล่านี้…เอ่อ…ซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นผู้อพยพ และยังนับไม่ได้ว่าเป็นพวกทรยศต่อบ้านเมืองด้วยซ้ำ …แม้ป้อมตระกูลเฉาจะมีสภาพแวดล้อมที่ธรรมชาติประทานมาให้ดังนี้ ทว่าก็ยังมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษตลอดมา และไม่ได้ทำการค้าที่ไม่มีต้นทุน[1]อันใด ดังนี้แล้ว เมื่อทางการไปปราบปรามผู้คนที่เพาะปลูกบนที่ดินของต้าเว่ยแต่กลับไม่จ่ายภาษีให้แก่ต้าเว่ย จึงไม่ได้มีรายชื่อของพวกเขาอยู่ในนั้นด้วยเสมอมา

เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหา …เรื่องที่ไม่จ่ายภาษีสามารถปกปิดไว้ได้ง่ายดายนัก ดีชั่ว ซีเหลียงก็ไม่ใช่เจียงหนาน พื้นที่ส่วนใหญ่ของที่นี้เป็นสนามรบ เกรงว่าขุนนางในศาลาว่าการที่ดูแลเรื่องนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าที่นามีจำนวนเท่าใด …ประเด็นสำคัญก็คือที่นาดีๆ ในวันนี้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งก็จะกลายเป็นสนามรบ สนามรบในวันนี้ ไม่แน่ว่าผ่านไปสักพักก็จะมีคนไปเพาะปลูกแล้ว…

แต่หากในช่วงที่ว่างเว้นจากการเพาะปลูก แล้วผู้คนที่แอบเพาะปลูกเหล่านี้จะออกมาทำการค้าไม่มีต้นทุนสักเล็กน้อย ทางการก็จะไม่เอาแต่นิ่งดูดายแน่!

อย่างไรเสีย ในขณะที่กำลังต่อสู้กับพวกตี๋อย่างเอาเป็นเอาตายอยูนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดยินยอมให้ตนเองยังต้องมาพะวงว่าจะถูกพวกโจรฉวยโอกาสนี้เข้ามายกเค้าในบ้านตน!

ตระกูลเสิ่นจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ในพื้นที่ทั้งหมดของซีเหลียง หากวันใดมีพวกโจรปรากฏตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นพวกตี๋ลักลอบเข้ามาหรือเป็นชาวเว่ยก่อความวุ่นวายก็จะปราบปรามให้หมด! ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเสิ่นไม่เคยผ่อนผันให้แก่พวกโจร โดยทั่วไปแล้วจะจัดการจนไก่สุนัขไม่เหลือ ตัดหัวห้อยประจานทั้งบ้าน!

จนถึงบัดนี้ ผู้ที่กล้าทำผิดเรื่องนี้ นอกจากมีคนจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และหลบซ่อนตัวในที่ที่มิดชิดยิ่งนักจนทัพใหญ่เข้าไปปราบปรามไม่สะดวกแล้ว ก็แทบไม่มีคนสามารถหลุดรอดจากการจับกุมไปได้

ความเฉลียวฉลาดและชัยภูมิของป้อมตระกูลเฉาเป็นสิ่งที่ทำให้มั่นคงอยู่มาได้หลายสิบปี

เพียงแต่หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาหลายสมัยก็รู้กาลเทศะเสียอย่างยิ่ง สามารถควบคุมประชากรในป้อมเอาไว้ที่สามพันคนได้เรื่อยมา เมื่อจำนวนคนถึงสามพันคนแล้ว หากมีคนที่คิดจะเข้ามาอาศัยหาที่ทำกินในป้อมอีก ก็จะอ้างว่าในป้อมไม่มีที่เหลือและไม่ยอมรับคนเพิ่ม

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทางการ ตลอดจนตระกูลเสิ่นและบางตระกูลใหญ่ๆ ในซีเหลียงมีความต้องการใดพวกเขาก็ล้วนพยายามทำตามจนพึงพอใจ

ฉะนั้น ทั่วทั้งซีเหลียงจึงพากันลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งให้แก่การมีตัวตนอยู่ของป้อมตระกูลเฉา ดีชั่ว คนที่อยู่ในป้อมตระกูลเฉาก็เป็นเพียงผู้คนที่หากินประทังชีวิต …ต่อให้ที่แห่งนั้นจ่ายภาษีมา แท้จริงแล้วก็เก็บไม่ได้สักกี่มากน้อย

อย่างไรก็มีเพียงสามพันคน มิได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด หากพวกเขาจะก่อเรื่องใดขึ้นมาก็เพียงแค่ชาวบ้านก่อจลาจลคราวหนึ่ง ทำให้เป็นสถานการณ์คับขันได้ยากยิ่ง

“…ปีนี้นั้นตระกูลเราส่งท่านลุงผู้หนึ่งเข้าไปในป้อมตระกูลเฉาด้วยตนเอง และนำภาพวาดของจี้กู่ไปด้วย ครั้งนั้นห่างจากตอนที่จี้กู่หนีไปอย่างไร้ร่องรอยได้สิบกว่าปีแล้วขอรับ” เสิ่นหยิวอี่ถอนใจ “ตอนที่เขาหนีไปนั้นยังเด็ก หลังจากโตขึ้นแล้วไม่แน่ว่าหน้าตาอาจจะเปลี่ยนไป แต่ตระกูลเราคิดว่าเขามีวิชาแพทย์เก่งกาจ เป็นแพทย์แห่งตระกูลจี้ที่สืบทอดมานับร้อยปี ไม่ว่าที่แห่งใด มีหรือจะเกี่ยงว่ามีคนเช่นเขามากเกินไป? ฉะนั้นมีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนที่ป้อมตระกูลเฉาจะต้องรับเขาไว้! หลังจากเข้าไปในป้อมแล้ว ขอเพียงสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวิชาแพทย์ ย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะถามหาเบาะแสไม่ได้!”

เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “จากนั้นเล่า?”

“ภายหลังกลับสอบถามได้เพียงว่าหลังจากจี้กู่หลบหนีไป ป้อมตระกูลเฉาก็เคยช่วยเด็กหนุ่มที่เสื้อผ้าขาดวิ่นเอาไว้คนหนึ่งจริงๆ และเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นผู้ที่รู้วิชาแพทย์จริงๆ” เสิ่นหยิวอี่ถอนใจ กล่าวว่า “เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้ได้รับการช่วยเหลือจากคนในป้อมตระกูลเฉานั้นเขาก็ไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน และเรียกได้ว่าเหลือเพียงลมหายใจรวยรินแล้ว! และเนื่องด้วยเขารู้เรื่องการแพทย์ จึงถูกพาตัวเขาเข้าไปในป้อมทั้งที่เป็นการฝ่าฝืนกฎ…เขาใช้สมุนไพรต่างๆ ที่รวบรวมได้จากในป้อมมารักษาตัวเองอยู่ระยะหนึ่ง และกลับมีชีวิตรอดมาได้….”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ก็มิใช่มีชีวิตรอดแล้วหรอกหรือ? ภายหลังตายอย่างไร?”

_________________