“ตามที่คนในป้อมตระกูลเฉาบอก แม้จี่กู่จะมีชีวิตรอดมาได้ แต่ร่างกายก็ย่ำแย่ลงอย่างมากขอรับ” เสิ่นหยิวอี่ถอนหายใจ กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นจี้กู่ก็คอยเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะสืบทอดสายเลือดของจี้อิงต่อไปได้หรือไม่ …แม้จะบอกว่าที่เมืองหลวงยังมีท่านหมอเทวดาจี้ แต่หลานคิดว่าบางทีเขาอาจกังวลว่าครั้งนั้น ท่านหมอเทวดาจี้ก็ยังอายุน้อยนัก เมื่อไร้คนปกป้องทั้งยังอยู่ภายใต้สายตาของสนมเอกเติ้ง ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่จนโตได้ ฉะนั้นเขาจึงหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะมีบุตรชายบุตรสาวสักคน …เพื่อเป้าหมายนี้ เขาจึงคิดปรุงยาที่สามารถกระตุ้นเลือดลมได้ชั่วขณะขึ้นมา และเสี่ยงอันตรายลงมาจากป้อมตระกูลเฉา เข้าไปในภูเขาเพียงลำพังเพื่อไปเก็บยามาบำรุงรักษาร่างกาย …ไม่คิดว่าระหว่างทางกลับไปพบกับฝูงสุนัขป่า และตายภายใต้คมเขี้ยวสุนัขป่าทั้งเช่นนั้นขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่นๆ เนิ่นนานจึงบอกว่า “เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงปากคำของป้อมตระกูลเฉา ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นคือจี้กู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตายใต้คมเขี้ยวสุนัขป่าหรือไม่?”
เสิ่นหยิวอี่บอกว่า “ท่านอาสะใภ้กล่าวถูกต้องขอรับ ครั้งนั้นท่านลุงที่ตระกูลส่งไปก็มิได้เชื่อปากคำของผู้คนในป้อมตระกูลเฉา เพราะเวลานั้น ท่านหมอเทวดาจี้ก็มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วแล้ว แม้เวลานั้นชื่อเสียงของเขายังแพร่ไปไม่ถึงป้อมตระกูลเฉา แต่ตอนที่จี้กู่วางยาผู้คุมก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือแพทย์และศาสตร์ยาที่เก่งกล้าของเขา ขอเพียงผู้คนใน ป้อมตระกูลเฉาไม่ได้เลอะเลือน ย่อมไม่มีทางไม่เก็บซ่อนตัวเขาเอาไว้ ฉะนั้นท่านลุงผู้นั้นจึงขอรวบรวมหลักฐานขอรับ”
“ป้อมตระกูลเฉาให้หลักฐานหรือไม่?”
“ให้ขอรับ” เสิ่นหยิวอี่ถอนใจ แล้วว่า “แม้จี้กู่จะตายใต้คมเขี้ยวสุนัขป่า ทว่า ป้อมตระกูลเฉาก็ยังเก็บซากศพบางส่วนของเขามาได้ ท่านลุงผู้นั้นส่งหนังสือมาที่ ตระกูล พานักชันสูตรศพกับเจ้าหน้าที่ศาล และนายพรานไปขุดหลุมศพเพื่อตรวจสอบศพ …ครั้งนั้นแม้ว่าศพจะถูกฝังมาสิบกว่าปีแล้ว ทว่าอากาศที่ซีเหลียงแห้งนัก ป้อมตระกูลเฉาก็เลือกที่ที่หันหน้าเข้าดวงอาทิตย์ฝังเขา จึงกลับไม่ได้มีการเน่าเปื่อยอันใด ศพได้รับการตรวจจากนายพรานและบอกแน่ชัดว่าถูกสุนัขป่ากัดจริงๆ แต่ใบหน้าที่เหลืออยู่เมื่อนำมาเทียบกับภาพวาดก็เหมือนกันอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่า ที่สุดแล้วสาเหตุที่ทำให้แน่ใจว่าเป็นจี้กู่ ก็ด้วยปากคำของผู้คุมว่าตำแหน่งของไฝดำที่แขนและคอของจี้กู่นั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย!
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “แล้วเหตุใดข่าวนี้ …จึงปิดบังไม่ให้ท่านหมอเทวดาจี้รู้เรื่อยมา?”
เสิ่นหยิวอี่ยิ้มเจื่อนๆ บอกว่า “ท่านอาสะใภ้ลองคิดดู ครั้งนั้นท่านหมอเทวดาจี้กำลังทำการรักษาให้แก่บิดาท่าน ตามคำของแม่เฒ่าซ่ง ครั้งท่านหมอเทวดาจี้ต้องระเหเร่ร่อนอยู่ข้างถนนก็ได้รับความลำบากมามาก จึงมิได้อาลัยอาวรณ์ผู้คนภายนอกมากมายนัก เหตุที่เขาตั้งอกตั้งใจรักษาบิดาของท่านก็ด้วยความคิดที่จะติดตามหาท่านอาเล็กของเขา …นี่หากให้เขารู้ว่าจี้กู่ตายเสียแล้ว หากเขาคิดไม่ตกขึ้นมา แล้ว….”
“ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้เอง…” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนัก “เช่นนั้นที่ไม่บอกเขาจนบัดนี้ก็เพราะท่านพ่อของข้ายังไม่หายดี?”
เสิ่นหยิวอี่กล่าวว่า “เรื่องเป็นดังนี้ขอรับ ความจริงแล้วคนในตระกูลที่รู้ว่าจี้กู่ตายแล้วก็มีไม่น้อย เพียงแต่ท่านประมุขเคยกำชับมาด้วยตนเองว่าห้ามแพร่งพรายสู่ภายนอกเด็ดขาด จึงได้ปิดบังมาเรื่อยมาขอรับ”
“เรื่องนี้ก็ช่าง….” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ รวมทั้งสาเหตุที่ต้องปิดบังเรื่องนี้มาสิบกว่าปี ก็พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้เกินรับมือนัก นั่นเพราะจนบัดนี้จี้ชวี่ปิ้งยังไม่ได้แต่งงาน ปกติแล้วก็ไม่ได้สนใจเรื่องใด ดูไม่เหมือนว่าจะสนใจอาลัยอาวรณ์กับเรื่องใดในโลกจริงๆ …คิดๆ ไป ก่อนนี้เขาเผชิญหน้ากับการบีบคั้นข่มขู่ของอำนาจและความมั่งคั่งอย่างยอมหักไม่ยอมงอ ก็ด้วยแรงแห่งความคับแค้นในใจอันนี้ จึงไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด สิ่งเดียวที่เขายังคงคำนึงถึงไม่ลืมก็คือติดตามหาท่านอาเล็กที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย และมีความหวังเพียงหนึ่งในหมื่นว่าเขาอาจจะอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เพื่อให้เป้าหมายนี้ลุล่วง เขาจึงทุ่มเทแรงใจหลายสิบปีเพื่อศึกษาอาการป่วยของเว่ยเจิ้งหง ด้วยหวังว่าจะเป็นไทแก่ตัวและได้ไปตามหาที่ซีเหลียงด้วยตัวเอง
หากให้เขารู้ความจริง ภายใต้ความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาจะจงใจรักษาให้เว่ยเจิ้งหงป่วยหนักหรือไม่… หากเขาคิดไม่ตกไม่อยากรักษาแล้ว แล้วจะให้เว่ยเจิ้งหงทำเช่นใด?
หรือหากเว่ยเจิ้งหงรักษาจนหายดีแล้ว …เมื่อนับกันดังนี้ จี้ชวี่ปิ้งก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตบิดาของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ทนดูเขาต้องเป็นทุกข์หนักกับเรื่องนี้ไม่ไหว
ส่วนเรื่องคำสัญญาระหว่างจี้ชวี่ปิ้งกับแม่เฒ่าซ่งเมื่อก่อนนี้ว่าหลังจากรักษา เว่ยเจิ้งหงหายแล้ว ก็จะปล่อยให้เขาไปตามหาญาติที่ซีเหลียง
เวลานี้เว่ยเจิ้งหงก็กำลังหายวันหายคืน ซึ่งก็หมายความว่าในระยะเวลานี้ แม่เฒ่าซ่งก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะรั้งตัวไม่ให้จี้ชวี่ปิ้งมาซีเหลียงแล้ว หากยังคงบังคับขัดขวาง แล้วจี้ชวี่ปิ้งจะเดาความคิดไม่ออกได้อย่างไร?
เว่ยฉางอิ๋งอดพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “มิน่าเล่าทั้งที่ท่านย่าอนุญาตให้จี้ชวี่ปิ้ง เริ่มตามหาท่านอาของเขาได้ แต่เขากลับไม่ยอมเอ่ยปากและไม่ยอมใช้กำลังของ ตระกูลเสิ่น แต่กลับให้ซินเหมี่ยวทำการรักษาคนพลางคอยสอบถามข่าว …บอกว่าให้ซินเหมี่ยวได้ฝึกฝนวิชาแพทย์ไปด้วย บอกว่าปลายปีก่อนนั้นตระกูลเสิ่นก็หาไม่พบ ที่แท้เป้าหมายที่แท้จริง….กลับคือการประวิงเวลา?”
เสิ่นหยิวอี่เอ่ยเสียงหนัก “ตามความเห็นของหลาน ก็คิดว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็ยังไม่สมควรนะขอรับ”
“อย่างไรก็ต้องสอบถามท่านย่าก่อนจึงจะได้” เว่ยฉางอิ๋งคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างมีความคิดบางอย่างว่า “ทว่า กลับมิต้องปิดบังซินเหมี่ยว อย่างไรนางย่อมไม่อยากให้ ท่านหมอเทวดาจี้เกิดเรื่องใด …ท่านพ่อกำลังอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วท่านหมอเทวดาจี้ก็จะต้องมาซีเหลียงด้วยตนเอง ย่อมไม่อาจให้เขาหาคนไม่เจอไปชั่วชีวิตกระมัง? ซินเหมี่ยวก็ยังหาเบาะแสเกี่ยวกับป้อมตระกูลเฉามาได้แล้ว! ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องบอกนาง ข้าว่ามิสู้หารือกับซินเหมี่ยวสักหน่อย เพราะคนที่ท่านหมอเทวดาจี้ใกล้ชิดที่สุดก็เป็นนางแล้ว บางทีอาจรู้ว่ามีวิธีอื่นที่จะปลอบโยนท่านหมอเทวดาจี้ ให้ยอมรับกับข่าวร้ายนี้ได้??”
เสิ่นหยิวอี่ยิ้มสู้ กล่าวว่า “หลานไม่ใคร่เข้าใจคุณหนูตวนมู่แปดมากนัก ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องขอให้ท่านอาสะใภ้ตัดสินใจขอรับ”
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นเท่าใดนัก แต่ความเกี่ยวข้องน้อยนิดนี้ก็ยังเพราะถูกตระกูลเว่ยลากลงน้ำไปด้วย จี้ชวี่ปิ้งจะสามารถทนรับข่าวที่จี้กู่ตายไปนานแล้วได้หรือไม่ ตระกูลเสิ่นกลับไม่ได้สนใจนัก …ต่อให้ค่อนข้างเป็นห่วงด้วยนับถือว่าฝีมือแพทย์ของเขาเป็นหนึ่งในเขตทะเล แต่อย่างไรก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข่าวนี้เท่าใด เพราะเรื่องที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือหากตระกูลเสิ่นแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปและเกิดเป็นการทำร้ายเว่ยเจิ้งหง แล้วแม่เฒ่าซ่งจะคิดบัญชีกับพวกเขาอย่างไร
ฉะนั้น เสิ่นหยิวอี่จึงพยายามผลักภาระให้พ้นตัว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็จะไม่ยอมมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ด้วยกลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วเขาจะต้องไปโดนหางเลขไปด้วย
เว่ยฉางอิ๋งมองท่าทีเช่นนี้ของเขาออกจึงไม่ไปร่ำไรกับเขาและเอ่ยคำสองคำให้เขาไปได้ จากนั้นก็สั่งความกับจูอีว่า “เจ้าส่งคนไปที่เหลาสุราไท่ผิงก่อน แล้วไปบอกความแก่คนที่นั่นคำหนึ่งว่าข้ามีเรื่องจะสนทนากับซินเหมี่ยว ให้บ่ายวันนี้ซินเหมี่ยวไม่ได้ไปที่นั่นแล้ว” แล้วบอกกับจูเสวียนว่า “ไปดูทางเรือนซินเหมี่ยวสักหน่อย หากคนที่มารับการรักษาตอนเช้าวันนี้ไปกันหมดแล้ว ก็ให้เชิญนางมาหาข้า บอกว่าข้ามีข่าวจากทางป้อมตระกูลเฉาแล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินว่าทางป้อมตระกูลเฉามีข่าวคราวส่งมาแล้ว นางย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและรีบมาสอบถาม
เมื่อได้ยินเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าจี้กู่ตายแล้ว สำหรับตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เหมือนกับฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ นางพลันนั่งพับลงไปกับที่นั่ง ต้องประคองตัวกับโต๊ะจึงไม่ล้มลงไปและพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนชั่วยาม!
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจพลางปลอบโยนนาง “นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ปิดบังเจ้า ครั้งข้าอยู่ที่เมืองหลวงก่อนหน้านี้ก็ยังนึกว่าท่านอาผู้นี้ของท่านหมอเทวดาจี้อาจยังมีชีวิตอยู่? แต่นับตั้งแต่มาถึงซีเหลียง ข้ากลับไม่กล้าเชื่อแล้ว ความหนาวเหน็บแสนสาหัสและความยาจนข้นแค้นของที่แห่งนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าไม่อาจเทียบได้กับทางเมืองหลวงเลย! เดิมทีครั้งจี้กู่ใช้แรงงานอยู่ก็มีร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากป้อมตระกูลเฉา แม้จะได้รับการรักษา… แต่เจ้าลองคิดดูว่าผู้คนเหล่านี้ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเดิมของตนได้ จึงได้วิ่งไปหาทางรอดที่ป้อมตระกูลเฉา ยาสมุนไพรที่พวกเขาเก็บเอาไว้จะมีของดีอันใดได้? จะต้องเป็นของที่พอจะพลิกหาในป่าในเขาได้เท่านั้น! หาไม่จี้กู่ยังจะต้องออกไปเก็บยาด้วยตนเองทำสิ่งใด?”
ยาสมุนไพรไม่ดี ต่อให้วิชาแพทย์ของจี้กู่จะสูงส่งอีกสักพักเพียงใด การรักษาก็จะต้องมีข้อจำกัด เขาจึงไม่พักอยู่ในป้อมตระกูลเฉาดีๆ แต่กลับต้องวิ่งออกไปเก็บยาเสียให้ได้ …เมื่อต้องมาตายดังนี้ก็ไม่แปลกอันใดเลยจริงๆ
น้ำตาของตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันร่วงลงมาทันใด นางเหม่อมองไปข้างหน้า สะอื้นว่า “จะ…จะ…จะให้ข้าไปบอกกับท่านอาจารย์อย่างไร?!”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้” เว่ยฉางอิ๋งรีบส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้นางเช็ดน้ำตา ถอนใจพลางว่า “เพียงแต่คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน เจ้าอย่าได้เศร้าโศกเกินไป …ตามที่ข้าดู ท่านหมอเทวดาจี้ยังไม่แต่งงานจนบัดนี้ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือได้มาพบกับท่านอาอีกครั้ง แต่ยามนี้ดูท่าว่าความปรารถนานี้จะไม่มีวันเป็นจริงได้แล้ว หากให้เขารู้ …นับไปแล้ว ท่านหมอเทวดาจี้ก็ผ่านวัยที่รู้ลิขิตฟ้า[1]มานานแล้ว!”
เมื่อฟังคำเตือนในคำพูดของนางออก ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ่งร้องไห้หนักหนากว่าเดิม “ท่านอาจารย์บอกเสมอว่าความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือตามหาท่านอาแท้ๆ ที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวบนโลกนี้ จากนั้นก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าอาหลาน มีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบไปชั่วชีวิต! แต่กลับไม่คิดว่า …กลับไม่คิดท่านปู่ผู้นี้กลับมาเสียไปหลายสิบปีก่อนแล้ว …แล้วท่านอาจารย์จะทนรับข่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? ความปรารถนาทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่นี่นี่นา!”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกไม่สบายใจ …เพียงแต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่คนจะควบคุมได้ นิ่งงันไปพักใหญ่ แต่ก็ยังทำได้เพียงเตือนนางไปอย่างธรรมดาสามัญว่าให้นางระงับความเศร้าโศกเสีย แล้วว่า “ยามนี้ตัวเจ้าเองก็มาเสียใจจนเป็นเช่นนี้ก่อนแล้ว แล้ววันหน้าจะไปปลอบโยนอาจารย์ของเจ้าได้อย่างไร? ในเมื่อรู้แล้วว่าท่านหมอเทวดาจี้จะต้องรับกับข่าวนี้ไม่ได้ เจ้าก็ต้องคิดหาหนทางสิ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเกือบจะร้องไห้โฮออกมา พลางว่า “แล้วข้าจะมีหนทางใดเล่า? พี่สะใภ้ท่านไม่รู้ว่าแต่แรกนั้นเหตุใดท่านอาจารย์จึงยอมรับข้าเป็นศิษย์! ก็ด้วยท่านถามข้าว่าคุณหนูผู้ดีคนหนึ่งวางฉินวางหมากรุก ไม่ร่ำเรียนพู่กันวาดภาพ แล้วเหตุใดจึงมาร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่ทั้งไม่สูงส่งและไม่มีหน้าตา? ไม่กลัวว่าจะถูกพี่น้องผู้หญิงและบรรดาคุณหนูที่มีชาติกำเนิดทัดเทียมกับข้าเย้ยหยันและรังเกียจเอาหรือ? ข้าก็บอกว่าเพื่อพี่หญิงใหญ่และหลานชายของข้าแล้ว ต่อให้ถูกเย้ยหยันก็ไม่เป็นไร ท่านอาจารย์จึงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยคำตอบนี้! แล้วท่านว่าข้าจะนำข่าวนี้ไปบอกกับท่านอาจารย์ได้อย่างไร!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด …เมื่อนับไปแล้วตวนมู่เวยเหมี่ยวกับไช่อ๋องก็เป็นพระสุณิสาและพระนัดดาของอดีตฮองเฮาเฉียนเชียวนะ! ในเมื่อหลังจากจี้อิงเกิดเรื่อง ฮองเฮาเฉียนก็ออกแรงช่วยปกป้องเขา ทว่าเหตุที่ทั้งครอบครัวจี้อิงต้องประสบกับเคราะห์กรรมใหญ่หลวงก็มิใช่เพราะฮองเฮาเฉียนหรอกหรือ? จี้ชวี่ปิ้งยังคงพาลมาโกรธตระกูลเติ้งจนบัดนี้ แต่กลับยอมรับตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นศิษย์ …นางเคยดาดเดาไว้ก่อนหน้านี้และยังนึกว่าเป็นเพราะฮองเฮาเฉียนช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ที่แท้แล้วก็ยังเป็นเพราะจี้ชวี่ปิ้งและตวนมู่ซินเหมี่ยวมีหัวอกเดียวกัน!
สิ่งนี้ยิ่งทำให้น่ากังวลขึ้นไปอีก …จี้ชวี่ปิ้งให้ความสำคัญกับจี้กู่เพียงนี้ แล้วเขาจะทนรับข่าวร้ายว่าจี้กู่เสียไปตั้งแต่หลายสิบปีก่อนได้อย่างไร???
ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ตวนมู่ซินเหมี่ยวขบฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่ยอม! ครั้งแม่เฒ่าซ่งฝากฝั่งเรื่องนี้กับตระกูลเสิ่นในปีนั้น ชื่อเสียงของท่านอาจารย์ของข้ายังไม่เลื่องลือเช่นในยามนี้ อาจเป็นเพราะตระกูลเสิ่นทำการขอไปทีก็เป็นได้? ข้าจะไปที่ป้อมตระกูลเฉาด้วยตนเองสักหน แล้วจะขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง ดูสิว่านั่นเป็นท่านอาของท่านอาจารย์ข้าจริงหรือไม่! ไม่แน่ว่าคนของป้อมตระกูลเฉาจะละโมบด้วยวิชาแพทย์ของท่านอาจารย์ปู่เล็ก จึงจงใจเก็บซ่อนเขาเอาไว้ และเอาตัวแทนมาเพื่อไล่ให้คนตระกูลเสิ่นกลับไปก็เป็นได้!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนอย่างทนไม่ไหวว่า “เจ้าอย่าทำเช่นนี้ คนของตระกูลเสิ่นที่ไปครั้งนั้นได้ตรวจสอบหนแล้วหนเล่าจนแน่ใจแล้ว เจ้าเองก็ไม่เคยพบจี้กู่มาก่อน แล้วจะแยกแยะจริงเท็จได้อย่างไร? แต่แรกนั้น คนของตระกูลเสิ่นที่ไปก็เอาภาพเหมือนไปเทียบกับใบหน้าเขาด้วย และยังตรวจดูตำแหน่งของไฝดำที่คอและแขนมาแล้ว…”
“ช้าก่อน!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังพลันคิดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และเอ่ยขัดคำนางขึ้นมา “ไฝดำ? หรือแต่แรกนั้น ที่แน่ใจว่าเป็นศพของท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้า…ก็ด้วยตำแหน่งของไฝดำเหล่านี้?!”
________________