ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 41 ป้อมตระกูลเฉา

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เว่ยฉางอิ๋งฟังความแปลกประหลาดในน้ำเสียงออก จึงอดจะหยัดตัวขึ้นมานั่งตรงๆ ไม่ได้ กล่าวว่า “มีสิ่งใดไม่ถูกต้องรึ?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวสูดหายใจลึกๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ ว่า “การทำไฝดำบนร่างกาย วิธีนี้ข้าก็ทำเป็น!”

“จริงรึ?!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ แล้วรีบใคร่ครวญอย่างรวดเร็วคราวหนึ่ง จากนั้นก็ปิดปาก กล่าวว่า “หากเป็นดังนี้ …เช่นนั้นในปีนั้น …ก็เป็นป้อมตระกูลเฉาจึงใจปกปิดเรื่องของจี้กู่!”

แต่นางก็คัดค้านความเห็นนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ไม่ถูก! หากเป็นป้อมตระกูลเฉาคิดจะปกปิดเรื่องขอจี้กู่ แต่ถ้าจี้กู่ไม่เห็นด้วยแล้วจะไยต้องไปทำไฝดำบนศพเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นตัวเขาเล่า? เคล็ดวิชาเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องปิดบังเพียงใด แม้แต่ข้าก็ยังเพิ่งเคยได้ยินเป็นคราแรก เดิมทีผู้คนในป้อมตระกูลเฉาก็เป็นชาวไร่ชาวนาโดยกำเนิด ด้วยต้องการฟางเส้นสุดท้ายให้มีชีวิตรอดจึงได้สร้างสถานที่เช่นป้อมตระกูลเฉาขึ้นมา คาดว่าสิ่งที่พวกเขาได้รู้ได้เห็นมาก็ไม่น่าจะกว้างขวางจนถึงขั้นนี้กระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่จะนำเคล็ดวิชาเช่นนี้ไปใช้ก็มีไม่มาก จี้กู่จึงไม่น่าแพร่งพรายเคล็ดวิชานี้ออกไปง่ายๆ”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวกำลังจะพูด เว่ยฉางอิ๋งก็นึกออกอีกแล้ว “ใช่แล้ว …ก่อนนี้เสิ่นหยิวอี่บอกว่า แต่แรกตอนที่พวกของจี้กู่เพิ่งจะถูกเนรเทศ อดีตฮองเฮาเฉียนยังคงเรืองอำนาจ จึงเคยกำชับตระกูลเสิ่นให้ดูแลพวกเขาสักเล็กน้อย ทว่าสนมเอกเติ้งกลับซื้อตัวคนจำนวนหนึ่งในตระกูลเสิ่นเพื่อจะได้กดขี่ข่มเหงพวกเขา …หรือเป็นเพราะเขาเคยถูกคนของตระกูลเสิ่นที่ถูกสนมเอกเติ้งซื้อตัวไปทำให้ต้องลำบากที่นี่มาก่อน ฉะนั้น เมื่อจี้กู่รู้ว่ามีจากคนตระกูลเสิ่นที่รับการไหว้วานจากท่านย่าของข้าให้มาตามหา เขา จึงไม่กล้าเชื่อ? ด้วยเขากลัวว่าจะเป็นคนที่สนมเอกเติ้งซื้อตัวและคิดจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก จึงทำศพขึ้นมาปลอมเป็นตนเองเสียเลย เพื่อจะได้รอดตัวไปอย่างสะดวก?”

“พี่สะใภ้สาม!” เว่ยฉางอิ๋งคาดเดากลับไปกลับมา หมุนไปหมุนมาเช่นนี้ทำให้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่กำลังสับสนร้อนใจอย่างยิ่งอยู่แล้ว จนยามนี้ก็กลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจและจ้องมองนางอย่างไร้คำพูด กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านคิดเห็นเช่นใดกันแน่?”

เว่ยฉางอิ๋งกระแอมแห้งๆ คราวหนึ่ง กล่าวว่า “ตามคำที่เจ้าว่ามา บางทีจี้กู่อาจจะยังไม่ตาย เช่นนี้ก็ดีเหลือเกิน …แต่แน่นอนว่าต้องให้เจ้าไปดูศพนั่นก่อนจึงจะแน่ใจได้”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวนิ่งเงียบไปสักพัก กล่าวว่า “ข้ากลับไม่สนใจว่าต้องวิ่งไปเปิดโลงศพอีกครั้ง ดีชั่วตลอดหลายวันมานี้คนเจ็บที่เละเทะหลากหลายรูปแบบก็เห็นมามากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นความปรารถนาเดียวของท่านอาจารย์ ต่อให้ต้องหาหนทางนานาก็ต้องจัดการให้เขาเป็นอย่างดีจึงจะได้ เพียงแต่พี่สะใภ้ท่าเคยคิดบ้างหรือไม่? ตอนคนตระกูลเสิ่นไปพิสูจน์ศพที่ป้อมตระกูลเฉาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ศพนั้นก็ยังพอจะมองออกได้สักหลายส่วน แต่ยามนี้ก็ผ่านไปอีกสิบกว่าปีแล้ว ศพ…ครานี้พวกเราจะไปพิสูจน์กระดูกหรือพิสูจน์ศพกันแน่?”

“…” ต่อให้อากาศที่ซีเหลียงจะแห้งอีกสักเท่าใด ก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยว่าศพอายุหลายสิบปีจนวันนี้จะเหลือแค่โครงกระดูกเปล่าๆ เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปพักหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็มีแต่ไปสอบถามกับป้อมตระกูลเฉาให้ชัดเจนได้เท่านั้นแล้ว! ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อตอนแรกเป็นพวกเขาให้ข่าวว่าจี้กู่ตายแล้ว ดีชั่วอย่างไร ยามนี้ก็ต้องไปสอบถามกับพวกเขาต่อ”

แม้จะว่ามาดังนี้ แต่ชัยภูมิเช่นนั้นของป้อมตระกูลเฉา ต่อให้เป็น ‘จี๋หลี’ ออกโรงเข้าโจมตี หากไม่ได้สังเวยชีวิตผู้คนไว้ที่หน้าผา ก็อย่าหวังเลยว่าจะขืนโจมตีจนเข้าไปภายในได้

ฉะนั้นหากต้องการให้ป้อมตระกูลเฉาบอกเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อนออกมาให้ชัดแจ้งก็เป็นมิใช่เรื่องที่สตรีสองคนจะทำได้แล้ว หากแต่ต้องอาศัยทางการ ใช้กำลังของตระกูลเสิ่น หรือไม่หากท่าไม่ดีขึ้นมาก็อาจถึงขึ้นต้องใช้ดาบใช้ทวน…เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญแล้วตัดสินใจว่าจะไปสอบถามและวางแผนกับผู้ตรวจการแคว้นก่อน …ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางที่ดูแลที่แห่งนี้ ย่อมเข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่าสตรีที่เพิ่งมาซีเหลียงได้ไม่กี่วัน!

…เสินตงไหล ผู้ตรวจการซีเหลียงคนใหม่ส่งนางหวงกลับไปอย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วหันหลังมาสั่งความกับคนในศาลาว่าการสองสามคำ แล้วยกชายเสื้อสาวเท้าไวๆ ไปที่ประตูหลังของศาลาว่าการแคว้น

รีบกลับไปที่บ้าน เสิ่นตงไหวยังไม่ทันนั่งก็ปาดเหงื่อแล้วเล่าเรื่องที่นางหวงมาบอกกล่าวว่าเว่ยฉางอิ๋งไหว้วานตั้งแต่ต้นจนจบให้เสิ่นซวินผู้บิดาฟัง “…ลูกคิดว่าป้อมตระกูลเฉานั้นปกป้องง่ายโจมตียาก ยิ่งไปกว่านั้นภูมิประเทศทั้งหมดในแถบนั้นก็สลับซับซ้อนยิ่งนัก หากจะเก็บซ่อนคนผู้หนึ่งไว้จะเป็นเรื่องยากอันใด? ยามนี้หลานสะใภ้เอ่ยเสียง่ายดาย บอกว่าจะไปสอบถามเรื่องความเป็นตายของจี้กู่ผู้นั้นกับป้อมตระกูลเฉาให้ชัดแจ้ง แต่หากจะไปสอบถามจริงๆ จะง่ายดายเช่นนั้นที่ใด? นับแต่ลูกรับตำแหน่งจนบัดนี้ก็เพียงไม่กี่วัน จู่ๆ หลานสะใภ้ก็ร้องขอเรื่องเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากใจนักขอรับ!”

เสิ่นซวินฟังแล้วพลันด่าทอเขาด้วยหวังให้เป็นอย่างใจว่า “ไอ้เจ้าคนไม่ได้ความ! ก็เพียงแค่ป้อมป้อมหนึ่งก็ทำให้เจ้ารู้สึกลำบากแล้วรึ?”

เสิ่นตงไหลยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ท่านพ่ออย่าเพิ่งด่าลูก ลูกจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านับแต่ลูกมารับตำแหน่ง นี่เป็นเรื่องแรกที่หลานสะใภ้มาขอความช่วยเหลือจากลูก ทั้งยังเป็นนางหวงที่เป็นกำลังสำคัญที่สุดของนางเป็นคนมาบอกกล่าว ตามหลักแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการให้นางให้ดีๆ แต่นี่ดันเป็นป้อมตระกูลเฉา…”

“เจ้าเห็นป้อมตระกูลเฉาเป็นสระมังกรถ้ำเสือที่แตะต้องไม่ได้จริงๆ รึนี่?” เสิ่นซวินเอ่ยอย่างหมดคำพูด “บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าอย่าเอาแต่ฝักใฝ่กับอิสตรี ยามว่างก็ให้ตั้งอกตั้งใจกับเรื่องมีสาระเสียบ้าง แต่เจ้าก็ไม่รู้จักฟัง! ก็เพียงแค่ป้อมปราการหนึ่งเท่านั้น หากมิใช่ว่าที่แห่งนี้เป็นภูเขาเวิ้งว้างน้ำไหลเชี่ยว เมื่อช่วงชิงกลับมาก็ไม่ใคร่มีประโยชน์ใดนัก กอปรกับเหล่าหัวหน้าป้อมทุกสมัยล้วนฉลาดเรียบร้อยยิ่งนัก เจ้าว่า ตระกูลเสิ่นของพวกเรายังจะปล่อยที่นั่นเอาไว้หรือ?!”

เขาเอ่ยอย่างทะนงตนว่า “ณ ซีเหลียงแห่งนี้ ราชโองการของฮ่องเต้ ก็ยังใช้การไม่ได้เท่าคำพูดสักคำของประมุขตระกูลเสิ่นของเราเลย! แล้วป้อมตระกูลเฉานั่นจะนับเป็นสิ่งใด? ก็เป็นเพียงที่สุมหัวของพวกชาวบ้านเร่รอนในเขาในดงรกร้างให้พอได้หายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น! เจ้าเป็นบุตรหลานผู้หนึ่งของตระกูลเสิ่น แต่กลับหวาดกลัวพวกเขาขึ้นมาเสียได้! ตลอดเวลาที่เจ้าขึ้นรับตำแหน่ง เคยได้สนใจเรื่องต่างๆ ในศาลาว่าการและความรับผิดชอบของตำแหน่งขุนนางแคว้นนี้ของเจ้าบ้างหรือไม่กันแน่!”

เสิ่นตงไหลฟังออกว่านี่หมายถึงโอกาส พลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด และไม่สนใจว่าบิดาจะด่าทอตนเช่นไรแล้ว เอ่ยถามขึ้นมาเองว่า “อย่างไรกัน ป้อมตระกูลเฉา …มีช่องโหว่ใดขอรับ?”

“ยังต้องพูดรึ!” เสิ่นซวินก็รู้ว่าบุตรชายคนรองผู้นี้มิได้เป็นคนที่มีชั้นเชิงจิตใจกล้าหาญอันใด …ทว่าต่อให้บุตรชายอีกสองคนของเขาเก่งกาจกว่าเสิ่นซวินบ้างสักน้อยก็ยังมีข้อจำกัด ดังนี้แล้วเสิ่นซวินจึงได้หันมาสนิทชิดเชื้อกับทางสายของประมุขตระกูลอย่างมาก ดีชั่วบุตรชายและหลานๆ ของเขาล้วนมิใช่คนประเภทที่สามารถปกครองทั้งตระกูลได้ จึงมิสู้ติดสอยหอยตามประมุขตระกูลที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์และกอบโกยเกียรติยศความมั่งคั่งให้แก่ลูกหลานจึงจะมั่นใจได้มากกว่า

ฉะนั้นหลังจากด่าทอไปยกหนึ่ง ก็ยังทำได้เพียงทอดถอนใจและอธิบายถึงสภาพการณ์ให้เสิ่นตงไหลฟังว่า “ป้อมตระกูลเฉาปกป้องง่ายโจมตียาก ข้างบนนั้นก็ยังมีที่นาบนเขาและลำธารบนเขา สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างสันโดษจริงดังว่า แต่เจ้าไม่รู้ว่ามีของสิ่งหนึ่งที่มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้บนป่าเขาเวิ้งว้าง! แต่กลับเป็นของที่คนไม่อาจขาดได้?!”

เมื่อเห็นว่าเอ่ยถึงขนาดนี้แล้ว ใบหน้าของเสิ่นตงไหลก็ยังคงฉงนสนเท่ห์ เสิ่นซวินก็ต้องส่ายหน้า และต้องล้มเลิกความคิดที่จะบอกใบ้เขาอย่างคลุมเครือไปเสีย แล้วบอกเขาไปตามตรงว่า “ก็คือเกลือ! ภายในป้อมตระกูลเฉามีพลเมืองทั้งหมดสามพันคน จำนวนเกลือที่ต้องใช้ในแต่ละวันนั้นจะต้องมากมายเพียงใด? แล้วพวกเขาก็ไม่รับคนขึ้นไปส่งเดชด้วย แต่ไรมาก็จะต้องส่งคนลงมาซื้อ …นับตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ครั้งเพิ่งก่อร่างอาณาบริเวณของป้อมตระกูลเฉาขึ้นมา ทุกครั้งที่พวกเขาลงมาซื้อของและจำนวนของที่เขาซื้อ แต่ไรมาก็ล้วนอยู่ในกำมือของตระกูลเสิ่นของพวกเรา!”

เสิ่นตงไหลตกตะลึง กล่าวว่า “หา?”

“หาอันใดอีกเล่า!” มองดูท่าทีเช่นคนสมองกลวงของบุตรชาย เสิ่นซวินก็มีน้ำโหอยู่เต็มอก พลันยกมือขึ้นมาตบไปเขาไปหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างดุดันว่า “เจ้านึกว่าคน ตระกูลเสิ่นของเราทุกคนล้วนโง่เง่าเช่นเจ้ารึ? เจ้านึกว่าการตระกูลเสิ่นของเราเจริญรุ่งโรจน์มาได้หลายร้อยปีเป็นเพราะโชคช่วยรึ?! หากมิใช่ว่าสามารถควบคุมชีพจรชีวิตสายนี้ของป้อมตระกูลเฉามาได้ตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เจ้าคิดว่าประชากรสามพันคนในป้อมตระกูลเฉาที่อาศัยว่ามีชัยภูมิที่ดีเลิศเช่นนั้น จะสงบเสงี่ยมเชื่อฟังมาหลายสิบปีรึ? มีหัวหน้าป้อมคนหนึ่งที่รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางก็ยังแล้วไป แต่นี่หัวหน้าป้อมทุกสมัยก็ล้วนรู้ความยิ่งนัก นี่เจ้าคิดว่าเป็นเพราะฮวงจุ้ยของป้อมตระกูลเฉาดีดังนั้น จึงทำให้หัวหน้าป้อมทุกคนล้วนรู้หนังสือเข้าใจหลักการสงบเสงี่ยมเจียมตัวเช่นนั้นรึ?!”

แล้วแค่นเสียงหนักๆ ไปหนหนึ่ง “ซีเหลียงมีกฎระเบียบอย่างไม่เป็นทางการอยู่ข้อหนึ่งว่าจำนวนเกลือที่ขายให้แก่ป้อมตระกูลเฉาจะต้องพอดีกับคนสามพันคนใช้เท่านั้นเสมอ หรือไม่ก็ขายให้พวกเขาน้อยกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็สามารถซื้อได้มากที่สุดในปริมาณที่ใช้ในครึ่งปีเท่านั้น! แม้พวกเขาก็พยายามหาทางจัดหามาจากที่อื่นอย่างลับๆ แต่ซีเหลียงของเราก็มิใช่สถานที่มีการค้ารุ่งเรือง พ่อค้าเกลือเถื่อนที่บรรทุกมาขายก็ไม่มาก และพ่อข้าเกลือเถื่อนเหล่านี้ก็รู้กฎของตระกูลเสิ่นของเรา จึงไม่กล้าขายให้แก่พวกเขา! แม้ว่าในหลายสิบปีมานี้พวกเขาจะหาซื้อมาเองได้ แต่ก็คาดว่ามิใช่จำนวนที่มากสักเท่าใด! ซึ่งนี่คือกลยุทธ์ที่ตระกูลวางเอาไว้ตั้งแต่กาลก่อนแล้ว เผื่อว่ามีวันหนึ่ง ป้อมตระกูลเฉาไม่เห็นหัวพวกเราแล้ว พวกเราก็คร้านจะเอาชีวิตเหล่าชายฉกรรจ์ใต้ธงศึกไปเข้าโจมตี เพียงแค่ปิดล้อมเขาเอาไว้ …รอจนพวกเขาไม่มีเกลือแล้ว อ่อนล้าโรยแรงแล้ว ค่อยให้พวกเขาได้เห็นดี!”

เสิ่นซวินยิ้มเย็นอย่างหมดคำพูด “เมื่อป้อมตระกูลเฉารับคนได้แค่สามพันคนแล้วก็จะไม่ยอมรับคนเพิ่มอีก และบอกว่ามีพื้นที่ไม่พอ …เจ้าคิดหรือว่าพื้นที่ไม่พอจริงๆ? เป็นเกลือไม่พอต่างหาก! หลายสิบปีก่อนนี้ตระกูลของเราก็เคยบอกไปแล้วว่าเกลือที่จะขายให้ป้อมตระกูลเฉานั้น ให้ได้มากที่สุดแค่สามพันคน น้อยกว่านี้ได้ แต่ไม่มีมากกว่านี้!”

เสิ่นตงไหลฟังอย่างตระหนักแจ่มแจ้ง กล่าวว่า “ลูกก็ยังประหลาดใจอยู่ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนครั้งทางตระกูลส่งท่านพี่ผู้นั้นไปเสาะหาจี้กู่ที่ป้อมตระกูลเฉา แต่ไรมาป้อมตระกูลเฉาก็ไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้าไปในห้อม แล้วเหตุใดจึงได้ตอบตกลงโดยง่ายดายนัก? ลูกก็ยังนึกว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาไร้เรื่องต้องละอายใจจึงไม่กลัว ตระกูลเสิ่นของเราเสียอีก!”

“ผู้อพยพที่ไม่ยอมจ่ายภาษีจะไร้เรื่องละอายใจใดกันเล่า?! อิทธิพลของตระกูลเสิ่นเราใ ซีเหลียงยิ่งใหญ่เพียงใด แม้แต่ราชสำนักก็ยัง…” เสิ่นซวินแค่นเสียงเอ่ย “ป้อมตระกูลเฉาไม่ได้สลักสำคัญเช่นนั้น ย่อมไม่กล้าล่วงเกินพวกเรา เพียงแต่เจ้าก็ต้องจำไว้ด้วยว่า …บารมีที่มีเพียงแต่ชื่อแต่ไร้ซึ่งความสามารถแท้จริง ซึ่งบนโลกนี้มักจะมีผู้คนเช่นนี้อยู่ เมื่ออายุมากขึ้นกลับไม่รู้จักจำและยังทำผิดซ้ำอีก! เหตุที่หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาทุกสมัยล้วนสงบเสงี่ยมเชื่อฟังและเห็นแก่ส่วนรวม ล้วนเป็นเพราะพวกเราตระกูลเสิ่นมิได้มีแต่เพียงชื่อเสียง หากแต่เพราะคอยควบคุมเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเขาเอาไว้อย่างเคร่งครัดอยู่ทุกชั่วยาม! นี่จึงคือกลยุทธ์ที่ทำให้พวกเขาเชื่อฟังและพวกเราไม่ต้องคอยพะวงได้ครบทั้งสองประการ เข้าใจแล้วหรือไม่?”

เสิ่นตงไหลพยักหน้าหงึกๆ ดังลูกเจี๊ยบจิกข้าวสารเช่นนั้น แล้วเอ่ยอย่างยกย่องเป็นหมื่นเท่าว่า “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ! นี่เปรียบเหมือนกับตอนที่ลูกไปหาหญิงงามในหอคณิกา ไม่ว่าจะมาจากทิศใต้ของฟากฟ้าหรือทิศเหนือของทะเลที่ใด ก็ล้วนอ่อนโยนประจบเอาใจเสียยิ่งนัก! นั่นก็เพราะหากพวกนางปรนนิบัติไม่ดี นอกจากจะไม่ได้ค่าตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังจะถูกตำหนิทุบตีด่าว่าอีกด้วย! หากมิใช่เพื่อให้ได้ค่าตัวแล้ว พวกนางก็จะไม่เกรงใจพวกบ่าวไพร่ชั้นต่ำมากกว่าคนระดับลูก …ฉะนั้น…”

“เพี๊ยะๆ!” เสิ่นตงไหลพูดจาด้วยความได้ใจจนลืมตัวยังไม่ทันจบ ก็โดนเสิ่นซวินตบแสกหน้าไปสองหน …เสิ่นซวินแทบกระอักเลือดหลายหน บันดาลโทสะขึ้นมาดังสายฟ้า “เหลวไหลสิ้นดี! ตาแก่เช่นข้ากำลังสอนสั่งเคล็ดการปฏิบัติตนและการทำงานให้เจ้า เจ้านี่มันของไม่ได้ความ หาเรื่องใดมาเปรียบเปรยไม่หา แต่กลับเอาเรื่องหอนางโลมของเจ้ามาพูด! นี่เจ้ากลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นของไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่มัวเมากับอิสตรีหรือไร!”

ครานี้เสิ่นซวินโมโหหนักจริงๆ แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วรีบมาปรามเขาก็ไร้ผล พอจับตัวเสิ่นตงไหลได้ก็ทุบตีเขาไปหนักหนาสาหัสยกหนึ่ง! ส่วนเรื่องที่เสิ่นตงไหลรับปากว่าจะให้คำตอบในวันรุ่งขึ้น จึงได้แต่เพียงให้บ่าววิ่งไปบอกกับเว่ยฉางอิ๋งแทนว่าไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้…

เว่ยฉางอิ๋งได้ยินจูสือบอกมาก่อนหน้านานแล้วว่าหลังจากนางหวงก้าวขาออกจากประตูศาลาว่าการ ก็มีบ่าวที่เกิดในบ้านเห็นว่าเสิ่นตงไหลรีบรุดกลับไปที่บ้านแล้ว …ซึ่งต้องไปข้อคำปรึกษากับเสิ่นซวินเป็นแน่ เว่ยฉางอิ๋งยังคงเชื่อในฝีมือของเสิ่นซวิน ในเมื่อได้รับคำมั่นแล้วจึงไม่ไปเป็นกังวลอีก เพียงแต่ไปกล่อมให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวคอยรออยู่ด้วยกันเท่านั้น

ปรากฏว่ากลยุทธ์ที่ตระกูลเสิ่นใช้ควบคุมป้อมตระกูลเฉามาตั้งแต่หลายสิบปีก่อนก็เป็นผลอย่างยิ่งยวด เสิ่นซวินเพียงให้เสิ่นตงไหลคัดลอกจดหมายที่เลือกใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวด้วยลายมือของตน แล้วให้คนนำไปส่งที่ป้อมตระกูลเฉา ผู้คนใน ป้อมตระกูลเฉาก็พากันนั่งไม่ติดแล้ว

ทั้งก่อนหลังรวมแล้วเจ็ดแปดวัน คนที่ป้อมตระกูลเฉาส่งมาก็มาถึงตัวเมืองซีเหลียงและขอเข้าพบเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยหวังเข้าไปอธิบายเรื่องของจี้กู่ด้วยตนเอง

เสิ่นซวินเสนอแนะให้บอกกับคนของป้อมตระกูลเฉาว่า ปีนั้นป้อมตระกูลเฉาถึงกับบังอาจหลอกลวงตระกูลเสิ่นถือเป็นโทษที่ไม่อาจละเว้นได้จริงๆ! แต่ในเมื่อต้องการจะสอบถามเรื่องราวจึงยอมให้เวลาพวกเขาสักวันสองวัน ทั้งนี้ก็เพื่อข่มขวัญพวกเขามาขึ้นอีกสักหน่อย

จนใจเหลือที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวร้อนใจอยากรู้คำตอบเสียยิ่งนัก เว่ยฉางอิ๋งเองก็เป็นกังวลว่าจี้กู่เป็นหรือตายอย่างไรกันแน่ ฉะนั้นหลังจากคิดสารตะแล้วก็ยังขอบคุณและตอบปฏิเสธคำเสนอแนะของเสิ่นซวิน พอคนของป้อมตระกูลเฉามาถึง ก็ถูกนำไปที่โถงทางด้านหลังของเรือน เมื่อทั้งเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวรู้ข่าวก็วางกิจทุกอย่างในมือลงและเร่งรุดมาสอบถามในทันใด

__________