ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 42-1 มู่ชุนเหมียน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

จูอียืนอยู่ข้างธรณีประตูเมื่อเห็นว่าทั้งเว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวทยอยเดินออกไปจากฉากกันลมและนั่งลงในโถง ก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วจึงหันออกไปบอกกับข้างนอกว่า “ฮูหยินน้อยและคุณหนูแปดมาถึงแล้ว พาคนเข้าไปได้!”

สักพักจากนั้นจูเสียนก็พาคนสามคนเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาข้างในอย่างระมัดระวัง

เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวนั่งอยู่ในที่นั่งหลักพลันกวาดตามองไปแล้วต่างสะดุ้งตกใจ …ตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งกำลังห่วงอาจารย์ของตนร้องออกมาทันใดว่า “เหตุใดจึงพาเด็กคนหนึ่งเข้ามา?!”

พวกนางสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเมื่อมองลงไปจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน คนผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังจูเสียนมา แม้จะพยายามแสดงท่าทีเคารพนบนอบอย่างเต็มที่แต่ก็เห็นชัดว่านางเพิ่งจะเคยเข้ามาในคฤหาสน์ใหญ่โตเช่นหมิงเพ่ยถังแห่งนี้เป็นครั้งแรก จึงคอยแอบชะเง้อคอมองนั่นนี่ด้วยข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ไหว …นี่เป็นสตรีที่อายุราวยี่สิบกว่าปีผู้หนึ่ง

ป้อมตระกูลเฉาที่มีคนอยู่มากถึงสามพันคน แต่กลับเอาสตรีผู้หนึ่งกลับมาตอบความก็ยังพอทำเนา ประเด็นสำคัญก็คือยังมีเด็กหญิงอายุราวสี่ห้าขวบผู้หนึ่งตามมาข้างกายสตรีผู้นี้ด้วย …นะ…นี่เป็นการมาให้คำชี้แจงอย่างเป็นทางการแล้วรึ!

แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้เอ่ยปากสอบถาม แต่สีหน้าของนางก็พลันไม่น่าดูขึ้นมาแล้ว…

ดีที่เสิ่นหลุนหัวหน้ากองกำลังของซีเหลียง ซึ่งเป็นตัวแทนจากศาลาว่าการแคว้นไปช่วยเว่ยฉางอิ๋งไต่สวนคนว่าคำพูดของคนจากป้อมตระกูลเฉาจริงเท็จเพียงใดเดินตามจูเสียนเข้ามาด้วยกัน และเอ่ยปากชี้แจงแทนได้ทันกาลว่า “ฮูหยินน้อย คุณหนูแปดขอรับ ท่านผู้นี้คือแม่นางมู่ เป็นหัวหน้าป้อมตระกูลเฉาคนปัจจุบัน และเด็กหญิงผู้นี้ก็คือเฉายาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของนางขอรับ เพื่อแสดงความจริงใจของป้อมตระกูลเฉา หัวหน้าป้อมและหัวหน้าป้อมน้อยจึงได้มาตอบความพร้อมกันเป็นการเฉพาะขอรับ!”

“หัวหน้าป้อมตระกูลเฉา?!” เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันร้องออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ และมองไปที่ตัวของสตรีผู้นั้นด้วยสายตาเคลือบแคลงในทันใด…

ไม่ว่าจะมองอย่างไร สตรีผู้นี้ก็น่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปี ดูเค้าโครงหน้าก็นับว่ามีหน้าตาหมดจดและค่อนข้างงดงามทีเดียว แต่เมื่อมองให้ละเอียดแล้วก็จะพบได้ว่าผิวพรรณของนางหยาบนัก หางตาของคนที่อายุน้อยๆ เช่นนี้กลับมีรอยตีกาบางๆ หลายเส้น แม้จะบอกว่าซีเหลียงอาการเหน็บหนาว ต่อให้หญิงผู้นี้พอจะมีปัญญามาบำรุงดูแลผิวพรรณอย่างพิถีพิถันได้เหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าฮั่วทำ แต่เนื่องด้วยสภาพดินฟ้าอากาศ อย่างไรก็ย่อมแตกต่างกับบรรดาสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงมากมายนัก แต่สตรีผู้นี้ก็ดูแก่เกินไปสักหน่อย กอปรกับเป็นเพราะป้อมตระกูลเฉาเกิดขึ้นมาจากเหล่าผู้อพยพทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะนางต้องตรากตรำลำบากเกินไปจึงได้ดูแก่เกินอายุเช่นนี้

ใบหน้าก็ค่อนข้างมีอายุ เสื้อผ้าก็เรียบๆ ธรรมดาเสียยิ่งนัก หญิงผู้นี้สวมเสื้อผ้าจากผ้าหยาบสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว ม้วยผมเป็นก้อนสูงข้างบนหัวเรียบร้อย ปักปิ่นเงินที่เปลี่ยนเป็นสีหม่นๆ สองอันเอียงๆ บนมวยผม สวมต่างหูหยกเม็ดเล็กๆ เนื้อหยกหม่นหมองเสียยิ่งนัก มองผ่านๆ ยังนึกว่าเป็นเพียงก้อนหินเท่านั้น …แม้แต่พวกสาวใช้ทำงานหนักในเรือนของเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่สนใจของเช่นนี้เลย

 แล้วมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เดินตามนางมา ก็สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนๆ ทั้งตัว ตรงอกห้อยสร้อยห่วงกลมทองคำแท้ ทั้งสีสันและฝีมือที่ทำออกมาดูไปแล้วล้วนไม่เลวเลย ลำพังเพียงเครื่องประดับชิ้นนี้ก็มีราคากว่าเครื่องประดับทั้งตัวของมารดาของนางแล้ว คาดว่าเป็นเพราะนางเป็นที่รักใคร่ สตรีในชุดน้ำเงินผู้นั้นจึงยอมให้ตัวเองสวมใส่เครื่องประดับที่ด้อยกว่าสักหน่อย แต่กลับไม่ยอมให้บุตรสาวถูกดูแคลน

ทว่าดูไปแล้วสร้อยห่วงกลมนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย ไม่เหมือนกับสิ่งของที่ชาวบ้านร่ำรวยทั่วไปจะมีได้ …อย่าได้เป็นเพราะป้อมตระกูลเฉาหลบหลีกสายตาของตระกูลเสิ่นแล้วไปทำการค้าไร้ต้นทุนใดเป็นการส่วนตัว จึงเก็บเอาไว้ให้ลูกๆ ของตนเองใช้เสียเล่า?

เว่ยฉางอิ๋งสังเกตดูเด็กหญิงผู้นี้หลายหน ดวงตานางเหมือนมารดายิ่งนัก เพราะอายุยังน้อย ยังไม่ได้รับผลกระทบใดจากดินฟ้าอากาศ ใบหน้าน้อยๆ ยังคงขาวนวลน่ารัก ทว่าก็เพราะยังเล็กนักจึงไม่รู้ความ แม้มารดาของนางจะเก็บอาการที่ถูกสิ่งของล้ำค่าต่างๆ รอบตัวดึงดูดความสนใจไป แต่ยามนี้ก็ยังรู้ว่าจะต้องวางตัวให้นอบน้อมเข้าไว้ ก้มหน้าต่ำ ไม่กลางมองส่งเดช แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวมากมากมายดังนี้

นางเบิกตาโตๆ ที่เห็นตาขาวตาดำชัดเจนคู่นั้น ขบนิ้วชี้ของตน แหงนหน้าจับจ้องปิ่นช่ออุบะลูกปัดที่อยู่ริมมวยผมของ เว่ยฉางอิ๋งอย่างใคร่รู้และไร้เดียงสา …ตามฐานะของเว่ยฉางอิ๋งแล้วไม่จำเป็นต้องมองป้อมตระกูลเฉาอยู่ในสายตา ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษอันใด แต่ต่อให้ไม่ได้แต่งตัวพิเศษอันใด สตรีชั้นสูงในตระกูลใหญ่โต อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเครื่องประดับหลายชิ้น

ปิ่นอุบะลูกปัดรูปนกหลวนอันนี้ ใช้เส้นไยทองคำสานเป็นรูปตัวนกหลวนที่ข้างในตัวกลวง มีนิลดำทำเป็นตา ใช้ขนนกกระเด็นปักเป็นปีกหางของมัน และสิ่งที่คาบอยู่ก็คือช่อลูกปัดสีแดงสดเหมือนไฟช่อหนึ่ง ขนนกกระเต็นและช่อลูกปัดสีแดงฉูดฉาดแวววับจับตานัก ก็มิน่าเล่าจึงได้ดึงดูดความสนในของเด็กเล็กๆ

ทว่า…

ป้อมตระกูลเฉาและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็ห่างเหินไม่ได้สนิทสนมกัน แต่กลับยังต้องพาเด็กเล็กๆ ผู้หนึ่งมาพบโถงเสียให้ได้ อย่างไรก็ควรต้องบอกกล่าวเรื่องธรรมเนียมสักหน่อยกระมัง?

เว่ยฉางอิ๋งคิดอยู่ในใจ หลังจากตื่นตะลึงแล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงใดอีก

กลับเป็นหญิงชุดน้ำเงินผู้นั้นที่คำนับอย่างนบนอบยิ่งอีกครั้ง แล้วแนะนำตนเองว่า “ข้าน้อยมู่ชุ่นเหมียน มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าป้อมตระกูลเฉา ได้ยินว่าฮูหยินน้อยและคุะณหนูตวนมู่แปดมีเรื่องจะถามป้อมของเรา จึงได้เดินทางมาเจ้าค่ะ”

ท่าทีของนางเคารพนบนอบแต่ไม่ได้ประจบประแจง กลับดูว่าว่างท่าได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

ตวนมู่ซินเหมี่ยวร้อนใจและคิดจะเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งแอบเหยียบเท้าข้างในกระโปรงของนางเอาไว้เสียก่อน …เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “ท่านหัวหน้าป้อมตระกูลเฉา เหตุใดจึงแซ่มู่? ทั้งยังเป็นสตรีผู้หนึ่งด้วย? หัวหน้าป้อมคนต่อไปก็ยังเป็นหญิงด้วย ป้อมของท่านเป็นสตรีดูแลปกครองหรือ? แปลกดีแท้ ข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

เสิ่นหลุนกำลังจะตอบ แต่ถูกมู่ชุนเหมียนมองมาคราวหนึ่ง เขาจึงรีบยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มทันใด เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องขมวดคิ้วน้อยๆ และเกิดความเคลือบแคลงในตัวเสิ่นหลุนขึ้นมา

“เรียนฮูหยินน้อย” แม้ไม่มีคนแนะนำมู่ชุนเหมียนทั้งสองคน แต่เว่ยฉางอิ๋งสวมชุดของสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับยังไม่ได้แต่งงาน จึงแยกแยะได้ไม่ยาก มู่ชุนเหมียนย่อมดูไม่ผิด หลังจากนางยั้งเสิ่นหลุนเอาไว้แล้ว ก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “บ้านฝั่งสามีของข้าน้อยแซ่เฉา แต่เพียงเพราะว่าสามีเสียไปเร็ว ข้าน้อยจึงไม่อาจไม่ออกมาดูแลการงานของที่บ้านเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่อาจเชื่อคำพูดนี้ได้ สตรีที่สามีเสียไปและถูกบีบให้ต้องดูแลบ้านเรือนตามลำพังนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ต้องดูว่าเป็นกิจการในครัวเรือนชนิด ใด ในสายตาของตระกูลเสิ่นแล้ว การจะบีบคั้นป้อมตระกูลเฉาให้หนักๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นป้อมที่มีคนสามพันคน! ต่อให้คนส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี แต่อย่างไรก็น่าจะมีชายสักเกือบหนึ่งพัน แล้วจะให้สตรีผู้หนึ่งมาเป็นหัวหนาป้อมได้อย่างไร?

เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้มองผ่านที่เสิ่นหลุนเอ่ยเมื่อครู่นี้ว่า “เด็กหญิงผู้นี้ก็คือเฉายาเป็นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของนาง” เช่นนั้นแล้วความเป็นไปได้ว่ามู่ชุนเหมียนจะอาศัยบุตรสาวเล็กๆ มากุมอำนาจของป้อมตระกูลเฉาก็ยิ่งมีไม่มากแล้ว …เว่ยฉางอิ๋งคิดใคร่ครวญในใจ พลันนึกได้ว่าในคำพูดนี้ก็มีความหมายอื่นด้วย มู่ชุนเหมียนมีเฉายาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว แต่สามีของนางจะมีเฉายาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือไม่?

หรือว่าป้อมตระกูลเฉาก็มีการต่อสู้ภายใน มู่ชุนเหมียนพ่ายแพ้จากการต่อสู้ และมีฐานะเป็นหัวหน้าป้อมที่มีแต่ชื่อ จึงถูกส่งตัวมาพร้อมกับบุตรสาวแซ่เฉาเพื่อตบตาตน? หรือว่าฝีมือชั้นเชิงของมู่ชุนเหมียนไม่ธรรมดาเสียยิ่งนัก แม้จะเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง แต่หลังจากสามีเสียไปแล้ว นางก็ยังสามารถอาศัยฐานะสะใภ้บ้านเฉามาควบคุมป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ได้เป็นอย่างดียังไม่พอ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้บุตรสาวซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ มาเป็นหัวหน้าป้อมน้อยได้อีกด้วย?

………………………