นางกำลังใคร่ครวญอยู่ทางนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับอดทนไม่ไหวแล้ว พลันร้องเสียงสูงถามไปว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าที่มาจะเป็นผู้ใด อย่างไรก็ตามต้องบอกเรื่องความเป็นตายของท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้ามาให้ชัดแจ้งเสีย!”
เมื่อเห็นว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดเขาประเด็นในทันใด เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ไปไล่เรียงเรื่องฐานะภายในป้อมตระกูลเฉาของมู่ชุนเหมียนอีก แล้วเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “ไม่ผิด หัวหน้าป้อมตระกูลเฉาของพวกเจ้าเป็นผู้ใด พวกเราไม่ได้สนใจนัก ที่ให้พวกเจ้ามายามนี้ก็ด้วยเรื่องของจี้กู่ เจ้าจงเล่าเรื่องทั้งหมดมาตามจริง!”
มู่ชุนเหมียนเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “คนบ้านท่านที่ไปป้อมตระกูลเฉา ก่อนนี้ก็เคยพูดเรื่องนี้แล้ว แม้ข้าน้อยอายุยังน้อย ครั้งคนที่ท่านทั้งสองเอ่ยถึงเข้าไปที่ ป้อมตระกูลเฉานั้น ข้าน้อยยังไม่เกิด ทว่าเพื่อมาตอบความท่าน ก่อนจะมาถึงได้ข้าจึงสอบถามกับผู้เฒ่าในป้อมมาอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
เมื่อนางว่ามาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน สาเหตุนั้นก็มิใช่ใดอื่น เพราะหากจี้กู่ยังมีชีวิตอยู่ หรือหากมู่ชุนเหมียนยอมรับว่าจี้กู่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเหตุยังต้องไปสอบถามกับผู้เฒ่า เพียงแค่ไปถามเขาตรงๆ ก็พอแล้ว เมื่อเวลานี้นางเอ่ยถึงผู้เฒ่า นี่ก็แสดงว่าถ้ามิใช่เพราะจี้กู่ตายไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นนางก็กำลังยืนกรานคำเดิมว่าจี้กู่ตายไปแล้ว
ปรากฏว่ามู่ชุนเหมียนบอกว่า “ป้อมตระกูลเฉารับคนที่ท่านทั้งสองเอ่ยถึงเข้ามาอยู่ในป้อมเป็นเวลาไม่นานนัก จึงไม่ใคร่รู้จักผู้อาวุโสท่านนั้นเท่าใด แต่แรกนั้น บ้านท่านส่งคนไปที่ป้อมตระกูลเฉาเพื่อตรวจสอบเรื่องความเป็นตายของเขา ก็ได้นำคนทั้ง ป้อมตระกูลเฉามารวมกันและนำภาพเหมือนของเขามาให้ดูจนแน่ใจแล้ว ภายหลังก็ยังไปเปิดโลงศพและพาคนที่รู้จักผู้อาวุโสผู้นั้นไปดู จึงแน่ใจว่าเป็นผู้อาวุโสผู้นั้น ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าเหตุใดยามนี้ยังต้องการให้ป้อมของเราชี้แจงเรื่องใดอีก?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปอย่างผ่อนคลายว่า “ได้ยินว่าภูมิประเทศของป้อมตระกูลเฉาดียิ่งนัก เป็นที่สถานที่ที่หนึ่งคนเฝ้าด่านทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่าน แม้ภายในป้อมไม่อาจซุกซ่อนจี้กู่เอาไว้ได้ ก็มิใช่ว่ายังมีภายนอกป้อมอีกหรอกหรือ? ในป่ารกร้าง ซุกซ่อนคนสักคนจะยากเย็นอันใด? อย่างไรก็ดี คนที่ไปตามหาในปีนั้นก็ไม่มีทางพักอยู่ในป้อมตระกูลเฉาตลอดเวลากระมัง? ส่วนที่เจ้าบอกว่าเปิดโลงนั้น หากเราไม่มีหลักฐาน มีหรือจะเรียกให้เจ้ามา? อย่างไร เจ้านึกว่าพวกเราว่างนักหรือ?” แม้นางจะไม่มีหลักฐาน ทว่าในเมื่อตอนนี้กำลังซักถามมู่ชุนเหมียนอยู่ ย่อมไม่อาจแสดงท่าทีว่าตระกูลตนไร้อิทธิพล….ดีชั่วเช่นใด ด้วยฐานะของนางแล้ว หากนางบอกว่ามีหลักฐานก็ต้องมี ไม่จำเป็นต้องเอาออกมาให้มู่ชุนเหมียนดู
ปรากฏมู่ชุนเหมียนรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ”
“หากไม่กล้าจริงๆ ก็พูดความจริงออกมาสิ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเย็นเฉียบ
มู่ชุนเหมียนหรี่ตา กล่าวว่า “ข้าน้อยแน่ใจว่าเคยเห็นแค่เพียงหลุมฝังศพของคนที่ทั้งสองท่านเอ่ยถึง ยิ่งไปกว่านั้นภายในป้อมยามนี้ก็ไม่มีจี้กู่ผู้นี้อยู่!”
เว่ยฉางอิ๋งกวาดตาไปทางนางหนหนึ่งอย่างราบเรียบ กล่าวว่า “เจ้าให้ข้าและน้องซินเหมี่ยวมาพร้อมกัน เพื่อมาฟังคำไร้สาระเช่นนี้หรือ?” ตลอดเวลามานี้ นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งควบคุมหมิงเพ่ยถัง สง่าราศีของนางจึงผิดกับก่อนนี้มากมายนัก ยามนี้เพียงสีหน้าหนักๆ เพียงน้อยก็มีบารมีที่น่าเกรงขามอย่างหนึ่งออกมา มู่ชุนเหมียนสะดุ้ง แล้วบอกว่า “แม้จะไม่มีจี้กู่ผู้นี้อยู่แล้ว แต่ …ข้าน้อยได้ยินผู้เฒ่าบอกว่าเขาทิ้งของไว้จำนวนหนึ่ง เคยฝากฝั่งให้คนนำไปมอบให้กับหลานชายที่พลัดพรากกันในเมืองหลวง ข้าน้อยได้ยินว่า…คล้ายชื่อว่าจี้ชวี่ปิ้ง?”
“อ่ะ เขาคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวโพล่งเอ่ยไป “เป็นของใด?”
“แม้ข้าน้อยจะอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเล ครานี้นับแต่ออกจากป้อมมา ก็ยังได้ยินว่า หมอเทวดาน้อยคุณหนูตวนมู่แปดซึ่งศิษย์เอกของเขากำลังทำการรักษาการกุศลอยู่ในซีเหลียงด้วย” มู่ชุนเหมียนมองไปทางนางพลางยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ตามหลักแล้วคุณหนูตวนมู่เป็นศิษย์ของท่านหมอเทวดาจี้ จะมอบของเหล่านี้ให้แก่คุณหนูตวนมู่ก็ย่อมทำได้ เพียงแต่ว่า…”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “อันใด?”
“เพียงแต่ว่าครั้งนั้นคนที่ทั้งสองท่านกล่าวถึงนั้นมีคำพูดฝากเอาไว้” กว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้ก็เห็นชัดว่ามู่ชุนเหมียนมีความลังเลอย่างมาก นางลังเลอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจและเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “คนผู้นั้นเคยบอกว่า ของเหล่านี้จะมอบให้แก่ ท่านหมอเทวดาจี้ก็ดี หรือคนตระกูลจี้ผู้อื่นก็ได้ หรือไม่ก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูลจี้เช่น คุณหนูตวนมู่… แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเอาไป ล้วนต้องมอบ…ของแลกเปลี่ยนสักเล็กน้อย!”
ที่แท้ก็อยากได้เงินทอง?
เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วนแปลกใจเล็กน้อย เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ต้องการเท่าใด?” นางคิดว่าในเมื่อมู่ชุนเหมียนบอกว่าเป็นของแลกเปลี่ยนสักเล็กน้อย ก็คงจะไม่ได้มากมายอันใด ฉะนั้นตนเองก็ทำตัวเป็นคนดีเสียเลย เมื่อสอบถามจำนวนเงินได้แล้วตนก็จะออกให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นพอ และนับว่าเป็นการขอบคุณที่นางระหกระเหินพันลี้มารักษาเสิ่นจั้งเฟิงที่ซีเหลียง
มู่ชุนเหมียนเองก็เปิดเผยนัก “ทองคำสามพันตำลึง ขาดไม่ได้แม้สักแดงเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?!” ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องตื่นตกใจจนอึ้งกับข้อเรียกร้องดังสิงโตอ้าปากกว้างเช่นนี้ แม้แต่เสิ่นหลุนที่นั่งอยู่ด้วยในที่นั่งรอก็ยังเกือบจะทำน้ำชาหกรดตัวเอง …ทองคำสามพันตำลึง! นี่เห็นทองคำเป็นโคลนทรายรึ!
ครั้งจี้กู่หลบหนีไปนั้นยังมีฐานะเป็นถึงนักโทษ แม้ว่าเขาอาจจะเก็บซ่อนของดีเอาไว้ส่วนตัวสักเล็กน้อย แต่ย่อมมีข้อจำกัดอย่างมาก แล้วเขาจะทิ้งของที่มีค่าพอกับทองคำสามพันตำลึงอันใดได้? หากเขามีของที่มีค่าเพียงนั้น เขาก็น่าจะใช้ติดสินบนผู้คุมไปแล้ว และให้คนทั้งตระกูลหนีรอดไปได้ด้วยการ ‘ตายปลอมๆ’ จากนั้นก็หนีไปอยู่ที่อื่นอย่างลอยนวลเสีย!
…เอ่อ แต่ก็แน่นอนว่าหากเขาแสดงความร่ำรวยออกมาก็อาจถูกคนทำร้ายถึงชีวิตด้วยประสงค์ต่อทรัพย์ก็เป็นไปได้
คำพูดว่า “น้องซินเหมี่ยว เงินทองเพียงเล็กน้อยนี้ พี่สะใภ้จะออกให้เจ้าก็แล้วกัน” ของเว่ยฉางอิ๋งมาถึงที่ริมฝีปากพลันต้องหยุดไว้ทันใด… แม้แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ทำเครื่องประดับชั้นเลิศเสียหายอย่างกับเป็นเพียงเศษหญ้าเพราะต้องการทำเครื่องประดับยาออกมาก็ยังรู้สึกว่าราคาสามพันตำลึงทองก็ออกจะเกินเลยเกินไป …ต่อให้ต้องการตอบแทนบุญคุณที่ ป้อมตระกูลเฉาช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้วหากมอบเงินขาวให้สักพันสองพันตำลึงก็นับว่าเป็นการตอบแทนที่มากมายนักแล้ว!
โดยเฉพาะตามความหมายของมู่ชุนเหมียนนั้น…จี้กู่ก็ตายแล้วจริงๆ! หากจี้กู่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วมาออกปากให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวมอบทองคำสามพันตำลึงเป็นการขอบคุณป้อมตระกูลเฉา ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะต้องไม่ว่าแม้สักคำ! แม้เงินทองของนางจะไม่พอ แต่เว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่เอาแต่นั่งดูดายแน่ ปัญหาคือในเมื่อจี้กู่ก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว เมื่อเป็นดังนั้น ความจริงแล้วปีนั้นก็ไม่ได้มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาไว้สักหน และการจะมาขอรับทองคำสามพันตำลึงเป็นสินน้ำใจที่ช่วยเก็บรักษาของเหล่านี้มาตลอดหลายปี ก็ใจดำเกินไปหน่อยแล้ว!
เหตุที่ป้อมตระกูลเฉาไม่ยอมรับคนนอก แต่ก็ยังยอมฝืนกฎรับจี้กู่เข้ามา ที่แท้แล้วก็เป็นเพราะเล็งเห็นในวิชาแพทย์ของเขา หาได้เป็นเพราะต้องการจะช่วยชีวิตคนแต่ประการเดียวไม่ หรือต่อให้เป็นตามคำของป้อมตระกูลเฉาว่าจี้กู่อยู่ในป้อมตระกูลเฉาเพียงไม่นานก็ถูกสุนัขป่ากัดตายแล้ว แต่ระหว่างที่อยู่นั้นจี้กู่ย่อมไม่ได้พักอยู่เฉยๆ หากแต่ต้องทำการรักษาคนในป้อม บุญคุณที่ช่วยชีวิตครานั้น ตัวเขาเองก็จะต้องตอบแทนไปแล้วบ้างไม่มากก็น้อย
ในสภาพการณ์ดังนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนเหมือนกับว่ามู่ชุนเหมียนกำลังพูดเรื่องตลกอยู่
ทว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เป็นศิษย์ของจี้ชวี่ปิ้งโดยแท้ จึงกลับพอเข้าใจตระกูลของอาจารย์ของตนอยู่บ้าง หลังจากนางตกใจแล้ว กลับไม่ได้เอ่ยปากตำหนิว่ามู่ชุนเหมียนหวังลมๆ แล้งๆ ในทันใด หาแต่นิ่งคิดสักพัก แล้วกลับถามว่า “เจ้าคงรู้ว่าท่านอาจารย์ปู่เล็กของข้าผู้นี้ทิ้งของใดเอาไว้?”
มู่ชุนเหมียนเองก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ได้ยินว่าคุณหนูตวนมู่เป็นถึงศิษย์ของท่านหมอเทวดาจี้ ข้าน้อยจึงตั้งใจไปขอสิ่งของเหล่านั้นมาจากผู้เฒ่ามาจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาให้คุณหนูตวนมู่ดู …และแน่นอนว่าที่ข้าน้อยนำมาด้วยนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
คราวนี้แม้แต เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังรู้สึกสนใจขึ้นมา …หรือก่อนที่จี้อิงจะถูกกล่าวโทษ ตระกูลจี้ก็มีของล้ำค่าใดที่มีค่าเท่าทองคำสามพันตำลึง ทั้งยังซุกซ่อนเอาไว้ได้ง่ายและจี้กู่เก็บรักษาเอาไว้ตลอดมา แล้วนำเก็บไว้ในป้อมตระกูลเฉา?
สายตาของทุกคนในโถงเรือนหลังล้วนถูกดึงดูดไปที่ตัวของมู่ชุนเหมียน ทว่ามู่ชุนเหมียนกลับหันหน้าไปบอกกับเฉายาว่า “ยัยหนู รีบเอาของออกมาให้พวกท่านๆ ดูเร็ว!”
สายตาของเฉายาเอาแต่จับจ้องไปที่ปิ่นอุบะที่ไหวไปมาของเว่ยฉางอิ๋งด้ามนั้น มองพลางกัดนิ้วไปพลาง เมื่อได้ยินคำก็ร้องโอ๊ะออกมาคำหนึ่ง วางนิ้วมือลง แล้วล้วงมือเข้าไปหาในอก …ดูไปแล้วเด็กหญิงผู้นี้ก็อายุเพียงสี่ห้าขวบ ทั้งยังเป็นเด็กที่ตัวผอมบางสักหน่อยด้วย ของที่สามารถซ่อนอยู่ในอกนางได้ก็เห็นชัดว่าคงไม่ใหญ่โตเท่าใด
ทุกคนจึงยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
….ของสิ่งนั้นคล้ายว่าจะเล็กกว่าที่ทุกคนคิดไว้อีกมาก เฉายาคลำไปคลำมาอยู่ครึ่งค่อนวัน ที่สุดจึงล้วงออกมาได้ …ทั้งหมดก็คือห่อกระดาษน้ำมันเล็กๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือนางไม่เท่าใดห่อหนึ่ง มองจากบนกระดาษน้ำมันก็เห็นชัดว่ามันผ่านวันเวลามาระยะหนึ่งแล้ว…
ข้างในนั้น จะเป็นสิ่งใด?
_____________