ตอนที่ 427 แสดงให้ศัตรูรู้ว่าอ่อนแอ

พันธกานต์ปราณอัคคี

“คุณชาย ชายหญิงคู่นั้นวันนี้ช่วงเช้าเดินเล่นชมตลาดอยู่นาน ในที่สุดก็จะออกนอกเมืองแล้วขอรับ” ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดสีเทาเข้มเอ่ยขึ้น

 

 

เขาไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนไม่ผอม ใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งเหลี่ยมมุม บวกดับการแต่งกายสีเข้มเมื่อไปอยู่ปะปนกับกลุ่มคนแล้วก็ไม่อาจแยกออกได้

 

 

คนเช่นนี้ถึงจะเกิดมาก็เหมาะสมกับการทำงานเชิงสะกดรอยตาม ซึ่งก็คืออิ่นอี หนึ่งในลูกน้องทั้งสี่นั่นเอง

 

 

ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดสีฟ้าครามหลังฝนตกดวงตาเป็นประกายวับ “อ่า เร็วเช่นนี้เชียว”

 

 

พูดจบนิ้วมือประสานเข้าหากัน เคาะลงบนโต๊ะกระจกสีเป็นจังหวะเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว “หรือว่า…พวกเขาจะรู้สึกตัว”

 

 

อิ่นอีก้มหน้าประสานมือ “คุณชาย ตั้งแต่ที่พวกเราสี่คนสะกดรอยแล้วสองคนนั้นรู้สึกตัว ก็ทำตามคำสั่งของท่านอย่างรอบคอบ ไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก ล้วนเป็น…”

 

 

คิดถึงหนูสะกดวิญญาณของตนเอง คิ้วที่ขมวดมุ่นของชายหนุ่มผ่อนคลายลง “พวกเขาออกไปจากประตูไหน”

 

 

เมืองไท่หยินมีสองประตูใหญ่ ประตูหน้าคือประตูประจิม ประตูหลังคือประตูบูรพา หากออกไปจากประตูประจิมมีความเป็นไปได้สูงที่จะออกจากเมืองไท่หยินไปยังสถานที่อื่น หากออกจากประตูบูรพากลับเป็นการมุ่งหน้าไปยังสถานที่ลับแลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บริเวณใกล้เคียงเมืองไท่หยินเพื่อเสาะหาผลพลอยได้

 

 

“ประตูบูรพาขอรับ” อิ่นอีพูด

 

 

คราวนี้ชายหนุ่มถึงได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ประตูบูรพาเช่นนั้นหรือ หมายความว่าไปป่าคุกคู้เช่นนั้นหรือ ไปเถิด พวกเราไปดูกัน”

 

 

ใบหน้าตายด้านไร้สิ่งแปลกของอิ่นอีในที่สุดก็ปรากฏแววแปลกใจออกมา “คุณชาย ท่านจะไปด้วยหรือขอรับ”

 

 

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “มิเช่นนั้นเล่า อาศัยแค่พวกเจ้าสี่คนเช่นนั้นหรือ”

 

 

อิ่นอีลอบกำหมัดแน่น แฝงความอัดอั้นใจ “คุณชาย พวกเราล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานชั้นปลาย ลงมือกับพวกเขาสองคนถือว่ามากพอแล้วขอรับ”

 

 

“เหรอๆ แล้วหากพลาดเล่า” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มแฝงความเย้ยหยันเอาไว้

 

 

อิ่นอีรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ดูเสียดแทงผิดปกติ แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่ง แต่เสียงกลับแข็งกร้าวขึ้นมา “หากผิดพลาด อิ่นอีและอีกสามคนจะปาดคอฆ่าตัวตาย ไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาพบคุณชายเป็นแน่ขอรับ!”

 

 

ชายหนุ่มหัวเราะส่ายหน้าไปมา “พวกเจ้าไม่รอดชีวิตมาพบข้า แล้วข้าก็ต้องไม่รอดชีวิตไปพบนายท่านเหมือนกันหรือ ไปเถิด ทั้งสองคนนั้นรู้ตัวว่าพวกเจ้าสี่คนสะกดรอยตาม ย่อมต้องมีความสามารถไม่ธรรมดาเป็นแน่ ข้าไม่อาจวางใจได้”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ตบบ่าอิ่นอีเบาๆ ครั้งหนึ่ง “อิ่นอี ข้ามาถึงวันนี้ได้ เจ้านึกว่าอาศัยเพียงแต่ความสามารถที่แท้จริงหรืออย่างไร ไม่ ที่สำคัญกว่านั้นคือความรอบคอบ ข้าไม่มีทางที่จะดูถูกใคร ต่อให้เขาเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ข้าก็ตะต้องเตรียมตัวเสมือนเผชิญหน้ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นี่ นี่ถึงจะเป็นรากฐานที่ทำให้ข้ามีชีวิตจนถึงวันนี้!”

 

 

อิ่นอีนิ่งเงียบไปนาน จมูกรู้สึกแสบร้อน ประสานมือเอ่ยเสียงหนักแน่น “ขอบคุณคุณชายที่แนะสอนขอรับ!”

 

 

ชายหนุ่มตบบ่าของอิ่นอีอีกครั้ง เดินนำออกไปก่อน

 

 

ประตูบูรพาเมืองไท่หยินเล็กกว่าประตูประจิมอยู่มาก แต่มองดูแล้วไม่เสื่อมโทรมเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะว่าประตูเล็ก คนเข้าออกมาก หน้าประตูมีคนต่อแถวกันยาว จึงยิ่งดูครึกครื้น มีชีวิตชีวา

 

 

หญิงสาวผู้สวมชุดสีขาวอมชมพูผู้หนึ่งยิ้มแย้มดุจดอกไม้บาน จ้อมองชายหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกาย ดูแล้วเหมือนกำลังส่งสายตาให้ แต่ที่จริงแล้วกำลังลอบส่งกระแสจิตเสียง “ศิษย์พี่ หางน้อยยังอยู่หรือไม่”

 

 

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นท่าทีออดอ้อนของนาง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือ ดึงเปียที่ทิ้งตัวลงบนหน้าอกของหน้า “อยู่ อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย มีหนึ่งอันที่น่าจะเป็นระดับก่อแก่นปราณ”

 

 

มั่วชิงเฉินดึงเปียออกมาอย่างหงุดหงิดใจ ถลึงตามองเขา ในใจกลับนึกครุ่นคิด นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่ง ระดับสร้างรากฐานชั้นปลายอีกสี่คน อาศัยนางและศิษย์พี่รับมือขึ้นมาก็ไม่น่ายาก

 

 

แต่ในเมื่อที่นี่คือเสวียนโจวซึ่งโด่งดังด้านการหลอมศพ ควบคุมศพ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านั้นไม่แน่ว่าอาจจะมีฝีมือด้านนี้ด้วย หากในมือของเขามีร่างศพขั้นสูงหลายตัวอยู่ในครอบครองนั่นก็ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจ

 

 

นางจัดเรียงข้อมูลจากม้วนคัมภีร์หยกที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ และจากที่เพิ่งซื้อมาใหม่เข้าด้วยกัน รู้ว่าร่างศพเหล่านั้นแบ่งออกเป็นชั้นลำดับ หลักๆ แล้วแบ่งออกเป็น ซากศพ ศพเหล็ก ศพทองแดง ศพเงิน และศพทองเป็นต้น

 

 

และยังมีร่างศพอีกประเภทหนึ่งที่สืบขานกันมา เรียกว่าภูติมาร เมื่อไปถึงขั้นนั้นร่างศพเกิดมีปัญญาวิญญาณขึ้นมาใหม่ ไม่อาจนับว่าเป็นร่างศพได้อีกต่อไป เล่าต่อกันมาว่าวันแรกที่ศพทองลอกเปลือกหลุดมาเป็นภูติมารแล้วสิ่งแรกที่จะทำคือฆ่ากวาดล้างเจ้านายผู้เลี้ยง และนับจากนั้นก็กลายเป็นร่างอิสระมีพลังโดยแท้จริง เดินกร่างไปทั่วทุกที่

 

 

แน่นอนว่าภูติมารเองก็เหมือนกับนักบำเพ็ญเพียรระดับสู่มหายานของโลกบำเพ็ญเพียร แม้ทุกคนจะรู้ว่ามีแต่กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินคิดว่าไม่แน่ว่าภูติมารนั้นก็เหมือนกับนักบำเพ็ญเพียรมากความสามารถ เมื่อมาถึงระดับสู่มหายานแล้วก็จะเข้าไปในโลกวิญญาณ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดามั่วซั่วของนางเท่านั้นเอง

 

 

นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะสมต่อการฝึกหลอมซากศพ ก็เหมือนกับร่าศพที่คนผู้มีตบะบำเพ็ญระดับเดียวกันหลอมออกมาก็จะมีคุณสมบัติที่ต่างกันออกไปเหมือนกับนักบำเพ็ญเพียร และคุณสมบัติเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวิธีการหลอมประดิษฐ์ ไม่อาจแก้ไขได้ เป็นตัวตัดสินความสามารถในการพัฒนาของซากศพนี้

 

 

ฉะนั้นกระบวนลับการหลอมศพ ฝีมือการคุมศพของตระกูลเจี่ยงและเว่ยทั้งสองตระกูลนั้นแม้จะเป็นเอกลักษณ์ แต่ก็ต้องกำหนดเวลาจัดงานคัดเลือกร่างศพ ตามหาร่างศพที่มีคุณภาพดีมาเลี้ยงดูฝึกฝน ประหยัดเวลาไปเยอะมากมาย

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงชายหนุ่มเสื้อขาวที่พบเจอโดยบังเอิญ ร่างศพเหล่านั้นที่เดินอย่างเปิดเผยภายใต้การนำของเขาส่วนใหญ่แล้วเป็นเพียงซากศพธรรมดาเท่านั้น มีเพียงสองตัวที่พอจะนับเป็นศพเหล็กได้

 

 

แต่ไม่รู้ว่าคนที่จับจ้องอยากได้พวกเขาในมือจะมีร่างศพระดับใด อย่างน้อยศพทองแดงต้องมีอย่างแน่นอน

 

 

ศึกครั้งนี้ต่อให้ชนะ ก็คงจะเป็นการศึกสุดความสามารถ ไม่แน่ว่าจะต้องชิงโอกาสบุกก่อน!

 

 

เดินออกนอกเมืองตามกระแสฝูงชน สภาพภูมิประเทศกว้างขวางในฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่าข้างหน้าห่างออกไปร้อยลี้มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าป่าคุกคู้ ณ ที่แห่งนั้นมีสัตว์ประเภทหนึ่งเรียกว่านกคุกคู้ น้ำลายที่คายออกมานั้นมีประโยชน์เฉพาะสำหรับร่างศพ ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเมืองไท่หยินจำนวนมากย่อมไม่พลาดโอกาสไล่ล่านกคุกคู้

 

 

ป่าคุกคู้ใหญ่โตอย่างมาก บริเวณลึกเข้าไปมีน้อยคนที่จะกล้าเข้าไปเหยียบ เพราะที่แห่งนั้นไม่แน่ว่าตนเองอาจจะกลายเป็นเป้าหมายการไล่ล่าของผู้อื่น

 

 

สถานที่ที่มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนจะไปก็คือป่าคุกคู้

 

 

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายเป็นนกคุกคู้ แต่เป็นการดึงดูดให้คนกลุ่มนั้นออกมาก่อน จัดการคนกลุ่มนั้น และเดินทางจากป่าคุกคู้ไปยังพื้นที่หุบเขามังกร ต่อให้คนกลุ่มนั้นมีตัวช่วยที่ใหญ่โตกว่าก็เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแล้ว

 

 

ระยะทางร้อยลี้สำหรับสองคนไม่ได้ถือเป็นเรื่องยาก เพียงแค่พูดคุยหยอกล้อชั่วครู่ก็มาถึง

 

 

พวกเขาพูดคุยหยอกเย้ากันเหมือนคู่บำเพ็ญทั่วไป หว่างคิ้วใบหน้าล้วนสะท้อนความสุขสมยินดีออกมา ดูแล้วไม่ได้รู้สึกถึงแหใหญ่ที่อ้ารออยู่เลยแม้แต่น้อย

 

 

กระแสจิตที่กวาดจากบนลงล่างปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วขณะเดียวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย มือของมั่วชิงเฉินที่จับเยี่ยเทียนหยวนกระชับแน่นขึ้น สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

“ก่อแก่นปราณชั้นกลาง” คำพูดของเยี่ยเทียนหยวนยังคงกระชับได้ใจความ

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างพึงพอใจ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ลั่วหยางใช้วิธีใดถึงได้เร็วต่อสัมผัสของกระแสจิตผู้อื่นเร็วเช่นนี้ เขาคงไม่ได้เหมือนกับตนเองที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาแบ่งกำลังกระแสจิตหรอกกระมัง

 

 

คิดมาถึงเรื่องนี้ก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นที่ไหนกัน ความเป็นไปได้มากที่สุดเกรงว่าคงเพราะเขาหลอมประดิษฐ์สิ่งของหายากแปลกประหลาดอะไรขึ้นมาได้อีกเรื่องพวกนี้ถึงปิดบังเขาไม่ได้ ก็เหมือนกับวันนั้นในกอดอกไม้ที่เขาได้ยินเสียงสนทนากระแสจิตของสยงสี่และมู่ซีเหนียนเหมือนกับตนเอง

 

 

การหลอมอาวุธสมกับที่เป็นความสามารถจำเป็นในการฆ่าคนวางเพลิง สะกดรอยแอบฟัง มั่วชิงเฉินรู้สึกอิจฉาริษยาอีกครั้ง

 

 

ไม่นานก็มาถึงป่าคุกคู้ ทอดสายตามองออกไปไกลก็เป็นภาพป่าต้นไม้อัดแน่นที่มองไปไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอนก็ไม่เห็นปลายทาง

 

 

ต่อให้มีคนจำนวนไม่น้อยตกร่วงลงไปอยู่บ่อยครั้งก็จะแบ่งแยกกันไปภายในชั่วพริบตา น้อยครั้งที่จะได้บังเอิญพบกันอีกครั้ง

 

 

มั่วชิงเฉินสบตาเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง นี่ช่างไม่เลวเลยจริงๆ ช่างเป็นสถานที่ดีต่อการทำลายซากล้างร่องรอย!

 

 

เหอๆ อีกฝ่ายก็คงจะคิดเหมือนกันกระมัง

 

 

ทั้งสองคนค่อยๆ ร่อนตัวลง มุดเข้าไป

 

 

เมื่อเข้าไปแล้วมั่วชิงเฉินต้องขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ที่นางฝึกบำเพ็ญคือวิทยายุทธ์ธาตุไม้ ตามหลักการแล้วเมื่อเข้าไปในป่าก็จะต้องเหมือนปลาได้น้ำถึงจะถูก แต่ภายนอกของป่าคุกคู้ดูเหมือนเขียวชอุ่มเจริญงอกงาม ไม่แตกต่างอะไรจากป่าไม้ธรรมดา แต่เมื่อเข้ามาไปอากาศเย็นเยียบขนลุกกระแสหนึ่งกับปะทะเข้าหน้า เมื่อเดินเข้าไปอีก กลับเหมือนมีอยู่แต่บางเหมือนไม่มี

 

 

มองดูคนอื่นข้างกายที่เดินตัดผ่านกันไปเป็นช่วงๆ ล้วนมีท่าทีเหมือนไร้ซึ่งสัมผัส มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะรากวิญญาณและวิทยายุทธ์ของตนจึงสัมผัสไวอยู่บ้าง

 

 

เข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ยื่นนิ้วขาวเรียวเสมือนหอมน้ำขึ้นมา ยิ้มอ่อนพูดว่า “ศิษย์พี่ นั่นคือนกคุกคู้ใช่หรือไม่ ท่านไปยิงมาให้ข้าซิ!”

 

 

ให้ตายเถิด กี่ปีมาแล้วที่ตัวข้าไม่ได้พูดเช่นนี้ แต่เมื่อเข้ามาในป่าคุกคู้แล้วยังทำเหมือนมองไม่เห็นนกคุกคู้คงจะยิ่งทำให้คนกลุ่มนั้นนึกสงสัยกระมัง

 

 

ศัตรูอยู่ในที่มืดข้าอยู่ในที่สว่างหรือว่าศัตรูอยู่ในที่สว่างข้าอยู่ในที่มืดไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือศัตรูคิดว่าศัตรูอยู่ในที่มืดข้าอยู่ในที่สว่างหรือว่าศัตรูอยู่ในที่สว่างข้าอยู่ในที่มืด!

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเองก็อึ้งตะลึงไปเช่นเดียวกัน เหมือนว่าไม่ค่อยคุ้นชินกับน้ำเสียงของมั่วชิงเฉินที่แต่เดิมสุภาพเรียบร้อยกลายเป็นหวานน่ารัก นี่ทำให้เขานึกถึงหญิงบริการเหล่านั้นในทันใด

 

 

ตราบจนมือที่หลบอยู่ใต้แขนเสื้อของมั่วชิงเฉินบิดเขาอย่างแรงทีหนึ่งเขาถึงได้สติกลับคืนมา ส่งรอยยิ้มเอ็นดูหลงใหลออกมา “ได้ ศิษย์พี่จะไปยิงมาให้เจ้า”

 

 

ยังดี บทพูดนี้ยังถือว่าอ่อนโยนเรียบลื่น มองดูท่าทีตะลึงงันของเขาเมื่อครู่นี้นางกลัวว่าจู่ๆ เขาจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็งใหญ่ เช่นนั้นคงจะเล่นใหญ่ไปแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกำมือเข้าหากัน จากนั้นก็ยิงออกไปอย่างรุนแรง ปราณวิญญาณกระแสหนึ่งหลอมตัวเป็นช่อบาง ลอยออกไปอย่างเร็วเหมือนกับดาวตกตรงไปที่นกคุกคู้

 

 

น่าเสียดายที่ปราณวิญญาณเหล่านั้นแม้จะมาเร็วและรุนแรง แต่นกคุกคู้เหล่านั้นเหมือนกับมีความรู้สึกรุนแรงผิดปกติต่อปราณวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ไม่รอให้ได้เข้าใกล้ก็สยายปีกบินจากไปเสียก่อน

 

 

แม้กระทั่งมั่วชิงเฉินยังเห็นว่านกคุกคู้เหล่านั้นลอบกรอกตามองบน

 

 

‘ศิษย์พี่ ลำบากท่านแล้ว!’

 

 

แต่ปากกลับพูดติเตียนว่า “ศิษย์พี่ ท่านซื่อบื้อเสียเหลือเกิน นกตัวเดียวก็ยังยิงไม่ได้!”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าประหม่า “ศิษย์น้องเจ้าอย่าโกรธ ตัวต่อไปข้าจะต้องยิงมาให้เจ้าได้แน่”

 

 

“ช่างเถิด ตัวต่อไปข้าทำเอง”

 

 

ทั้งสองคนตามหานกคุกคู้อย่างใจเย็น ยิ่งเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดก็บังเอิญพบกับนกคุกคู้ตัวหนึ่งที่กำลังจัดการแต่งขนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนขอนไม้ขอนหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินวางมือลงเบาๆ หยุดการกระทำเยี่ยเทียนหยวน ใบหน้าปรากฏแววโหดเ**้ยม ชักเอาก้อนอิฐออกมานิ้วมือพลิกเร็วยิงเคล็ดวิญญาณเข้าไปไม่ขาด ตะโกนเสียงใส “ไป!”

 

 

ก้อนอิฐสี่เหลี่ยมลอยอยู่กลางอากาศสะท้อนแสงทอง ท่าทางดุดันลอบไปยังนกคุกคู้อย่างรวดเร็ว

 

 

โครม เสียงดังสนั่น ต้นไม้สั่นไหว จากนั้นก็ล้มลง นกจำนวนนับไม่ถ้วนร้องเสียงดังกระจายบินออกไปทั่วทิศทาง เศษโคลนดินที่หล่นร่วงมาจากปีกตกโดนทั้งสองคนจนหน้าเทาหัวเต็มไปด้วยฝุ่น

 

 

ไฉนเลยจะยังได้เห็นเงาของนกคุกคู้

 

 

“แค่กๆ” อิ่นสี่ที่หลบซ่อนอยู่ในที่มืดคิดอยากหัวเราะ รีบใช้เสียงไอเบาปิดบังไว้ ถูกอื่นอีถลึงตาใส่

 

 

อิ่นอีมองชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดสีครามหลังฝนตกทีหนึ่ง

 

 

ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “ความสามารถไม่เลว ของวิเศษชั้นเยี่ยม ประสบการณ์อ่อนไปอยู่บ้าง เกรงว่าคงจะเป็นศิษย์ของตระกูลใหญ่ที่เพิ่งออกมาท่องบำเพ็ญ”

 

 

จากนั้นก็ปรับสีหน้าใหม่ น้ำเสียงเปลี่ยนไป “แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจวางใจได้ ศิษย์เช่นนี้ออกมาข้างนอก บนร่างย่อมต้องมีวิชาที่แอบซ่อนไว้ รอพวกเขามาตรงนี้ก็ลงมือซะ!”

 

 

“ขอรับ!” ทั้งสี่คนตอบรับพร้อมกัน แต่ในใจกลับคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายว่ามีของที่หลบซ่อนเอาไว้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เอาออกมา