ตอนที่ 428 แล้วจึงอัดอย่างโหดเหี้ยม

พันธกานต์ปราณอัคคี

ล้มเหลวสองครั้งติดต่อกันนกคุกคู้เหล่านั้นก็ไม่ไว้หน้าอีกต่อไป ยิ่งพวกมั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในส่วนลึกป่าคุกคู้มากเท่าไร กลับยิ่งไม่เห็นเงาของนอกคุกคู้อีก

 

 

แต่ดูจากท่าทีที่ทั้งสองคนแสดงออกมานั้นเห็นชัดว่าอัดอั้นตันใจ จะต้องหานกคุกคู้มาให้ได้

 

 

นิ้วมือของมั่วชิงเฉินขยับ นี่เป็นสัญชาตญาณที่คิดจะนำอาวุธออกมา แต่สุดท้ายก็ผ่อนกำลังมือลง

 

 

ห้าคน ซากศพที่ไม่รู้จำนวน สิ่งที่นางต้องทำก็คือใช้คันธนูชิงอิ่นกำจัดฆ่านักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสี่คนในทีเดียวก่อน ตอนนี้ไม่อาจอดรนทนไม่ไหว แหวกหญ้าให้งูตื่น

 

 

เดินต่อไปอีกไม่เกินกี่สิบจั้งก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอะไรแล้ว จู่ๆ บนพื้นเกิดมีแหปากใหญ่ คลุมลากทั้งทั้งสองคนเอาไว้ข้างในแล้วแขวนไว้บนต้นไม้

 

 

และในเสี้ยววินาทีที่แหปากใหญ่ยังไม่ทันดึงขึ้นนั้น มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็กระโดดขึ้นนำฉวยโอกาสการบุกมาไว้ก่อน แต่ในเวลานี้ความมั่นใจมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่มีความมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมากรวมไปถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนนั้นล้วนไม่สังเกตเห็น

 

 

พวกอิ่นอีทั้งสี่คนในมือถือธนูเอาไว้คนละคัน ลูกศรสี่เล่มถูกยิงออกไป เป้าหมายเป็นบริเวณขาของทั้งสองคน ล้วนไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ส่วนที่เห็นชัด

 

 

แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองในมือของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏลูกไฟขึ้นมาสองสามลูก เผาไหม้แหใหญ่ที่ครอบคลุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว

 

 

แหปากใหญ่นั้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด ต่อต้านอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งถึงจะเริ่มมอดไหม้ขึ้นมา

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้สวมใส่ชุดสีฟ้าครามหลังฝนตกในที่สุดก็มีสีหน้าแปลกไป

 

 

แหปากใหญ่นี้ทำมาจากใยจักจั่นน้ำแข็ง และผสมไขกระดูกอิน เย็นสบายเรียบลื่น ทนทานอย่างมาก ไม่กลัวไฟไหม้คมดาบ หากครอบคนเอาไว้แล้วต่อให้ตายก็ไม่อาจดิ้นหนีไปได้ ชายหนุ่มผู้นี้ใช้วิชาลับธาตุไฟอะไร ลูกไฟที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติกลับสามารถเผาไหม้แหกกระดูกอินใยน้ำแข็งนี้ได้’

 

 

แต่ตอนที่สีหน้าของเขาเพิ่งเปลี่ยน สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

 

 

เสี้ยววินาทีที่เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งดีดลูกไฟออกมานั้นสีหน้าของคนที่เหลือยังคงแสดงอาการดูถูกเอาไว้ แต่ยามที่แหใหญ่หมอดไหม้มีเวลาอยู่ชั่วครู่ลมหายใจ เวลาชั่วครู่ลมหายใจนี้สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าสั้นจนแม้แต่กระพริบตาก็อาจจะไม่พอ สำหรับมั่วชิงเฉินแล้วถือว่ามากพอที่จะทำหลายอย่าง

 

 

คันธนูชิงอิ่นปรากฏขึ้นในมือ คันธนูเอนบังอยู่บริเวณหน้าอก มือเปลือยดึงสายธนู ศรน้ำแข็งเหมันต์ลอยออกไป เรียกใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นสี่ วิญญาณบุปผาจรัสแสงแล้วเปลี่ยนแปลงตามการควบคุม ศรน้ำแข็งเหมันต์แบ่งออกเป็นสี่ หนึ่งจริงสามมายา ยิงตรงไปยังทิศทางทั้งสี่คนอย่างรุนแรงราวกับพายุ

 

 

จากนั้นไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือมายา แสงกระบี่ทั้งสี่เล่มนั้นก็ผ่าธนูสี่คันที่พุ่งเข้ามาหาออกเป็นสองส่วนอย่างไร้สิ้นเสียง ทะลุกลางปล้องออกไป จากนั้นก็พุ่งไปยังทั้งสี่คนอย่างไม่ลดความเร็วลง กลับยังรุนแรงกว่าเดิม ส่งเสียงกรีดอากาศก้องออกมา

 

 

อ๋ากกก เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณยังคงตกอยู่ในภวังค์ตื่นตะลึงวิธีการทำลายแหของเยี่ยเทียนหยวน ก็ถูกเสียงร้องน่าเวทนาดึงสติกลับคืนมา ทอดสายตามองออกไปไกลก็อดตกใจไม่ได้

 

 

เห็นว่าพวกอิ่นอีทั้งสี่คนมีรูลูกธนูเล็กๆ อยู่กลางหน้าอก เลือดไหลหลั่งริน สีหน้ายังคงแฝงความภาคภูมิใจแกมดูถูกเอาไว้ จากนั้นก็ล้มตึงลงไปข้างหลัง นอนหมอบกองลงที่พื้น ดวงตาสองข้างเบิกโต นอนตายตาไม่หลับไปแล้ว

 

 

เสียงร้องแหลมเมื่อครู่นี้คือเสียงของทั้งสี่คนที่ผสมรวมกัน

 

 

ความเย็นยะเยือกกระแสหนึ่งไหลบ่าขึ้นมาจากปลายเท้า ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณกำหมัดแน่น มองไปยังหญิงชายที่หนีรอดหลุดมาจากแหเพลิง กลับมายืนเคียงข้างกันด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่ฟื้นคืนมา

 

 

ใบหน้าบริสุทธิ์งดงามของหญิงสาวประดับรอยยิ้มบาง มือเปลือยเรียวขาวถือคันธนูยาวที่มองดูแล้วย่อมไม่ใช่ของธรรมดาเอาไว้คันหนึ่ง และชายหนุ่มเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในมือไม่มีอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลับเหมือนเสือดาวที่รอตะครุบเหยื่อเสมือนลมฝนที่พร้อมถล่มรวมตัวกันเป็นไอสังหารที่ไม่อาจละสายตา

 

 

‘ทั้งสองคนนี้เป็นใครกันแน่’

 

 

“พวกเจ้า ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเป็นแน่!” ชายหนุ่มก่อแก่นปราณเอ่ยปากช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก

 

 

น่าตลกที่บอกว่าตนเองรอบคอบ แต่ก็ยังถูกสภาพการไล่ล่านกคุกคู้มากระทบการตัดสินใจ หญิงชายคู่นี้จะรับมือนกคุกคู้ตัวเล็กๆ ไม่ได้เลยเชียวหรือ ดูท่าคงทำให้พวกเขาเห็นเท่านั้นเอง

 

 

น่าตลกที่พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่ในที่มืด เห็นพวกเขาสองคนเป็นสัตว์ร้ายในวงแห แต่แท้จริงแล้วในสายตาของคนอื่นพวกเขาไม่ได้อยู่กลางแหหรืออย่างไร

 

 

“พวกเราใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหรือไม่ ไม่จำเป็นให้ท่านลำบากใจ!” เยี่ยเทียนหยวนที่กลับมามีรูปโฉมเย็นชาไร้อารมณ์พูดออกมาดุจน้ำแข็ง เยือกเย็นพอที่จะแช่แข็งคนตาย

 

 

ชายหนุ่มก่อแก่นปราณใบหน้าตึงเครียด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดทั้งสองท่านจำต้องปิดบังหลบซ่อน ลดราตนเองด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะออกมา ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณตะลึงงันในทันใด ได้ยินเสียงสง่างามเรียบเฉยพูดขึ้นว่า “คำพูดของท่าช่างน่าตลกยิ่งนัก ปิดบังบำเพ็ญเพียรหรือไม่เป็นเรื่องของพวกเราสองคน คงไม่อาจว่าขานกล่าวโทษที่พวกเราปิดบัง แล้วการที่ท่านจับจ้องพวกข้า ฆ่าคนหลอมศพเป็นเรื่องถูกเช่นนั้นหรือ

 

 

‘คิดจะเอาเปรียบแล้วยังกล้าที่จะเอาเรื่องศีลธรรมมาเล่น ที่แท้แล้วเป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างนักบำเพ็ญเพียรเต๋าและนักบำเพ็ญเพียรมารเช่นนั้นหรือ’ มั่วชิงเฉินคิดหัวเราะหยันในใจ

 

 

ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณหรี่ตา “พวกเจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าจะใช้พวกเจ้ามาหลอมศพ”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ “มิเช่นนั้นเล่า ใช้กำลังทั้งหมดที่มีรวบตัวพวกข้า หรือจะเชิญไปเป็นแขกเหล่า”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็กระพริบตาปริบ น้ำเสียงลากยาว “แต่ข้านึกแปลกใจนัก ตอนนี้มีท่านเจ้าคนเดียว พวกเรากลับมีสองคน ทั้งๆ ที่ท่านคาดเดาได้แล้วว่าพวกเราปิดบังระดับตบะบำเพ็ญ แต่น้ำเสียงกลับไม่เห็นจะผ่อนลงเลยแม้แต่น้อย คิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีหลักพึ่งพิง มิเช่นนั้นก็…เบื้องหลังยังมีผู้ที่มีฝีมือมากกว่านี้ ท่านจึงจำต้องยินยอม”

 

 

ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณสวมใส่ชุดลายครามตัวสั่นสะท้าน ในที่สุดสีหน้าเปลี่ยนไป “แม่หญิงช่างปากคอเราะร้ายยิ่งนัก ช่างเป็นความคิดที่ฉลาดเฉลียวเสียเหลือเกิน!”

 

 

ที่เขายอมรับคำพูดของมั่วชิงเฉินไม่ได้เป็นเพราะว่าลนลานจากการที่ความลับถูกเปิดเผย แต่เพราะสถานการณ์หนึ่งคนต่อศัตรูสองคน แม้จะมีซากศพเป็นตัวช่วย แต่เพื่อความปลอดภัยทางที่ดีก็ยังต้องใช้ภาพลักษณ์ในการกดดันพวกเขา

 

 

และในตอนนี้เองไม่มีสิ่งที่ดีไปกว่ายอมรับว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับตบะลำเพ็ญสูงกว่า พวกเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณแล้ว จะโอหังหาญกล้าก็ไม่มีทางที่จะไม่ขลาดกลัวระดับก่อกำเนิด!

 

 

ลดทอนความกล้า เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะกุมชัยชนะก็ยิ่งสูงมากขึ้น!

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะเบา “ดูท่าข้าคงจะเดาถูกกระมัง แต่เจ้านายของเจ้า รวมไปถึงพวกเจ้าตอนแรกคิดว่าพวกข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกระมัง ส่งเจ้าออกมาได้ก็ถือว่ารอบคอบมากพอแล้ว ฉะนั้นข้าเดาว่าเจ้านายของท่านในตอนนี้ยังคงนั่งจิบชาอยู่ที่โรงชาสักแห่งเมืองไท่หยินกระมัง ท่านว่าครั้งนี้ข้าเดาถูกอีกแล้วใช่หรือไม่”

 

 

สายตาที่ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณมองมั่วชิงเฉินแฝงความตื่นตะลึง สตรีผู้นี้หรือว่าจะเป็นนางมารเช่นนั้นหรือ

 

 

ปฏิกิริยาของเขาทำให้มั่วชิงเฉินพอใจอย่างมาก เบนหน้าหันไปมองเยี่ยเทียนหยวนเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ดูเช่นนี้แล้วพวกเราจะต้องกำจัดให้ถอนรากถอนโคน มิเช่นนั้นดึงดูดนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดออกมา เช่นนั้นศิษย์น้องกลัวจังเลย”

 

 

ตอนที่พูดว่า ‘กลัวจัง’ สีหน้ากลับยิ้มแย้มแจ่มใส พลิกหมุนคันธนูชิงอิ่นที่อ่อนน้อมไร้ความเรียบหรูในมือไปมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลูบผมมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง เจ้าจะไปพูดมากกับเขาทำไมกัน”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกไปชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ถึงขั้นที่ไม่ตายก็ไม่หยุด ย่อมต้องฉวยโอกาสสามส่วนลงมือก่อน มือสะบัดพลิ้วร่างศพสี่ตนปรากฏขึ้นมา ประกายแสงสีทองแดงออกมาจางๆ ล้วนเป็นศพทองแดงทั้งสิ้น

 

 

การขยับตัวของศพทองแดงทั้งสี่ตัวไม่ได้เชื่องช้าเหมือนซากศพ แต่กลับฝีเท้าเร่งรีบประหนึ่งเหาะบิน เหยียบลงบนพื้นดังตึงตังพุ่งเข้าหาทั้งสองคน

 

 

ในมือชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณมีของวิเศษลักษณะคล้ายกำไลเงินเบอร์ใหญ่ บนนั้นฝังกระดิ่งเล็กอยู่เต็มไปหมด ปากพึมพำร่ายคาถา

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนกระโจนตัว พุ่งเข้าไปต่อสู้กับฝูงศพทองแดง

 

 

ศพทองแดงเหล่านี้ความสามารถยอดเยี่ยม ต่อให้พวกเขาคิดจะลงมือจัดการกับตัวหลักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดการกับมือเท้าของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

ศพทองแดงเพราะเหลือเพียงเนื้อหนัง ไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งเมื่อมาถึงขั้นศพทองแดงแล้วยิ่งฟันแทงไม่เข้า ต่อให้กรีดแทงเกิดรอยแผลก็เลือนหายในพริบตา

 

 

หากเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณธรรมดาสองคนบังเอิญพบกับศพทองแดงสี่ตนต่อให้ไม่ถูกกำจัดไล่ฆ่า ก็จะต้องฝืนสู้กันเป็นเวลานาน

 

 

แต่พวกมันกลับต้องพบเจอมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ในเสี้ยววินาทีที่มั่วชิงเฉินปะทะกับศพทองแดงร่างหนึ่ง ปะมือกันไม่กี่ครั้งก็รู้ถึงจุดเด่นของศพทองแดงอย่างชัดเจน ย่อมไม่ฝืนรับมืออีกต่อไป ร่างกายพลิกพลิ้วกลางอากาศ ลอยออกไปข้างหลังประหนึ่งนกนางแอ่น ปากตะโกนเสียงใส “ศิษย์พี่ พวกมันสี่ตนท่านรับมือไปก่อน”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรับคำเสียงเบา ห่วงตะวันย้อยดาราในมือถูกโยนออกไป ห่วงทองแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ประกายเพลิงที่สะท้อนแสงม่วงโจมตีใส่ศพทองแดงทั้งสี่ตน

 

 

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ศพทองแดงเหล่านั้นที่ไม่กลัวคมกระบี่ ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดกลับพากันถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง

 

 

ชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณสีหน้านิ่งขรึมดุจน้ำแข็ง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ ช่างยากจะพบในชาตินี้เสียจริง หรือว่าจะเป็นวิบากกรรมของเขากัน

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้แววตากลับดูเด็ดเดี่ยวอย่างผิดปกติขึ้นมา แสงวิญญาณกระแสหนึ่งถูกยิงเข้าไปในกำไล บนร่างศพทองแดงทั้งสี่ตัวประกายแสงขึ้นมาในทันใด

 

 

แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกมันไม่ต้องหลบหนีห่วงทองเข้ามาใกล้ ประกายไฟบนห่วงกลับร้อนแรงประกายเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา

 

 

และในเวลานี้เองมีศรยาวสี่คันพุ่งเข้ามา ส่งเสียงแหวกอากาศทะลุเข้าไปกลางหลังศพทองแดง พวกมันตัวสั่นไหวฝีเท้าซวนเซ

 

 

เก็บคันธนูเข้ามา มั่วชิงเฉินหัวเราะเบาๆ ต้นท้อสามารถปัดสิ่งชั่วร้ายได้ รับมือกับซากศพก็ยังเห็นผล!

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสีหน้าไม่น่ามองอย่างมาก ทั้งสองคนนี้ร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติอย่างที่คิดไว้ แล้วยังมีสิ่งที่ชำนาญต่างกัน ประกายไฟของชายหนุ่มแล้วยังมีศรไม้ท้อน่าแปลกประหลาดของหญิงสาวสามารถยับยั้งสมบัติล้ำค่าของซากศพได้ เขาเป็นผู้ชำนาญการหลอมศพ เพียงแค่มองปฏิกิริยาของศพทองแดงเหล่านี้ก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว

 

 

‘วันนี้คงจะเจอวันเลวร้ายเข้าซะแล้ว!’

 

 

ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัว เขากลับไม่มีจิตใจนึกเสียดาย มือยกขึ้นของสิ่งหนึ่งถูกโยนออกมา

 

 

เสียงดังสนั่นก้อง พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น เห็นว่ากลางอากาศมีซากศพขนาดใหญ่กว่าสองจั้งปรากฏขึ้น บนร่างประกายแสงสีเงิน

 

 

เป็นถึงศพเงิน!

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงตกใจไปชั่วครู่แล้วง้างสายธนูขึ้นอีกครั้ง ศรไม้ท้อหลายคันยิงทะลุออกไป

 

 

สวนท้อของนางที่ได้มาจากไม้ท้อของตระกูลหวังจากทะเลขนาบใจมีอายุกว่าหมื่นปี ศรไม้ท้อที่ทำมาจากกิ่งท้อหลากประเภทอายุกว่าหมื่นปีจะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร

 

 

ศพเงินนี้ดุร้ายจริง แต่เพราะจำนวนที่ไร้สิ้นสุด จนถึงสุดท้ายแทบจะกลายเป็นทะเลลูกศร ความสามารถที่แท้จริงกลับยากแสดงออก

 

 

ชายหนุ่มก่อแก่นปราณกัดฟันกรอด เจ้าเด็กบ้านี้ นึกว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขายตามถนนเช่นนั้นหรือ แท้จริงแล้วนางมีเท่าไรกันแน่!

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเองก็ไม่น้อยหน้า ห่วงตะวันย้อยดาราของเขาแต่เดิมไม่ได้เป็นของยอดเยี่ยมอะไร ที่เป็นของชั้นเลิศคือเพลิงวาสนาตะวันที่ผสมผสานอยู่ข้างบนต่างหาก

 

 

เพลิงวาสนาตะวันทั้งบริสุทธิ์และร้อนแรง แต่เดิมเป็นเปลวไฟที่สามารถสิ่งของทุกสิ่งอย่าง

 

 

รับมือกับศพเงินแม้จะยากลำบากกว่าศพทองแเดงอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยเพราะการร่วมมือของทะเลศรไม้ท้อของมั่วชิงเฉิน ไม่นานก็จัดการบีบให้ศพเงินค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เจ้านายของมั่นมากขึ้น ไร้ซึ่งพื้นที่ให้หลบหลีก

 

 

ฉวยโอกาสตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลันชายหนุ่มระดับก่อแก่นปราณหมุนตัวหนีไป

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นลำแสงดกระแสหนึ่งตามไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของหญิงสาวชุดเขียวค่อยๆ ปรากฏขึ้น มุมปากประดับยิ้ม ลักยิ้มปรากฏขึ้นบางๆ “ท่านจะไปที่ใดหรือ”