บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ

หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น

“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”

เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป

“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”

อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!

ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต

ผู้จัดการเหงื่อออก

ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!

เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!

จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!

ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ

“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?

“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที

“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย

“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”

ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?

หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน

“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”

เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที

“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“คุณ…”

จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ

“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง

หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป

แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที

ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที

วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด

เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น

และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้

อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ

ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที

กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!

“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”

ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว

ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้

ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้

“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”

ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้

“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”

ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน

ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋

อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น

“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”

“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”

“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”

ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”

ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”

ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”

“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”

บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป