ช่างเสแสร้งได้เสมือนจริงยิ่งนัก!
เฉิงฉือหัวเราะขบขันอยู่ในใจไม่หยุด
โจวเสาจิ่นชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
นัยน์ตาดำชุ่มฉ่ำแวววาวนั้นประหนึ่งแช่อยู่ในน้ำของวสันตฤดู ดวงตาโค้งได้รูปสวยหางตายกขึ้นเล็กน้อย ดูน่ารักและงดงามดุจดอกไม้เดือนห้า
ราวกับมีอะไรมาทุบดวงใจของเฉิงฉือก็ไม่ปาน เสียงดัง ตึง ครั้งหนึ่ง ส่ายไหวไปมาเป็นระลอกคลื่น กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่อาจทำให้สงบลงมาได้
โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมาโดยตลอด สีหน้ายังคงสง่างามดังเดิม ไม่เผยอาการออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าโจวเจิ้นเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเฉิงฉือ เขารีบกลับเรือนชั้นในอย่างร้อนใจ เมื่อวานเลี่ยวเส้าถังออกเดินทางไปจิงเฉิงล่วงหน้าเพื่อไปจัดเตรียมเก็บกวาดบ้านที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมอบให้พวกเขาหลังนั้น โจวชูจิ่นจึงพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน รอให้เลี่ยวเส้าถังจัดเตรียมทางด้านโน้นเสร็จแล้วค่อยมารับนาง ตอนนี้โจวชูจิ่นอุ้มท้องพักอยู่ที่เรือนด้านหลัง หลี่ซื่ออยู่เป็นเพื่อนนาง โจวเสาจิ่นเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับโจวชูจิ่น หลี่ซื่อย่อมไม่อาจบอกนางได้ เวลานี้หลี่ซื่ออนุญาตให้โจวเสาจิ่นมาหาเขา เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโจวชูจิ่น หลี่ซื่อถึงได้ตั้งใจผลักโจวเสาจิ่นออกมาเป็นการเฉพาะ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะเป็นตัวแทนท่านไปส่งท่านน้าฉือเองนะเจ้าคะ”
โจวเจิ้นเป็นห่วงโจวชูจิ่น อีกทั้งมีเจตนาจะผลักโจวเสาจิ่นออกไปด้วย จึงตอบรับด้วยความยินดี จากนั้นกลับเรือนชั้นในพร้อมกับบ่าวชายไปอย่างรีบร้อน
โจวเสาจิ่นเดินออกไปด้านนอกเป็นเพื่อนเฉิงฉือ
สองข้างทางเป็นแมกไม้สูงผละใบโล่งเตียนกับต้นตงชิงเขียวขจีพุ่มเตี้ย
โจวเสาจิ่นถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือจะไปอยู่จิงเฉิงเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางตอบว่า “หลังจากจัดการเรื่องที่เป่าติ้งเสร็จเรียบร้อยก็จะเข้าเมืองหลวงเลย”
โจวเสาจิ่นก้าวออกไปสองสามก้าว ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สาวของข้าก็จะไปอยู่จิงเฉิงเหมือนกัน แล้วก็จะพาข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือหยุดฝีเท้าลง มองเด็กสาวที่ระดับสายตาถึงแค่ไหล่ของเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดียิ่ง! เจ้ามีเวลาว่างก็ไปเป็นแขกที่บ้านข้า!”
รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นค่อยๆ เลือนหาย ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ
นางกำลังจะไปจิงเฉิงแล้ว!
มิใช่ว่าท่านน้าฉือควรจะดีใจเป็นอย่างยิ่งหรอกหรือ
เหตุใดน้ำเสียงถึงได้ราบเรียบเย็นชาเช่นนี้เล่า!
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ไม่มีอารมณ์ขันเลยสักนิด
ก็เพียงตอบนางธรรมดาๆ ไปประโยคหนึ่งเท่านั้น ก็เซื่องซึมเสียแล้ว
ดวงตาสุกใสของเฉิงฉือมีลำแสงเปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาราวาบผ่าน
“เด็กโง่!” เขายกมือขึ้นแล้วก็วางลงไปอีกครั้ง น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนดั่งลม เอ่ยขึ้นว่า “ซอยอวี๋ซู่ที่พี่สาวของเจ้าอาศัยอยู่อยู่ใกล้กับซอยซวงอวี๋ยิ่งนัก แล้วก็ใกล้กับซอยอวี๋เฉียนมากด้วยเช่นกัน”
“จริงหรือเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง
ตรอกซอยโดยมากของจิงเฉิงล้วนตั้งชื่อตามสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ซอยซวงอวี๋[1]นั้น โดยมากเป็นตรอกซอยที่มีต้นอวี๋สองต้น
ส่วนซอยอวี๋เฉียน โดยมากก็ปลูกต้นอวี๋เอาไว้ด้วยเช่นกัน
ไม่แน่ว่าตรอกซอยทั้งสองอาจจะอยู่ติดกันเลยก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านน้าฉือดีที่สุด!”
เพียงแค่ซื้อบ้านหลังหนึ่งอยู่ใกล้กับพี่สาวของนางก็ดีที่สุดแล้ว หากนางรู้ว่าตนเป็นคนแนะนำเลี่ยวเส้าถังให้ท่านอารอง ให้เลี่ยวเส้าถังติดตามรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ กับท่านอารอง ด้วยเหตุนี้ท่านอารองถึงได้เขียนจดหมายไปให้เลี่ยวเส้าถัง ให้เขากลับเข้าเมืองหลวงทันทีหลังจากที่เฉลิมฉลองปีใหม่เสร็จแล้ว และเนื่องจากฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาเห็นจดหมายฉบับนี้เข้าพอดี ครั้นคิดว่าหากชื่อของบุตรชายได้ติดผนึกอยู่บน ‘แผนผังเมืองหลวง’ ชีวิตนี้ก็จะมีที่ยืนในหมู่บัณฑิตแล้ว ไม่อาจปล่อยให้อนาคตของบุตรชายต้องหยุดชะงัก และยิ่งไม่อาจปล่อยให้ชื่อเสียงของบุตรชายต้องมาเสียหายอยู่กับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ทำให้เส้นทางในราชสำนักในวันข้างหน้าของบุตรชายต้องเสียหาย นางถึงได้ตัดสินใจส่งบุตรชายกับบุตรสะใภ้ที่ใกล้คลอดบุตรไปตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิง เลี่ยวเส้าถังถึงได้หนีออกมาจากความวุ่นวายของที่บ้านได้…ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะยิ้มอย่างน่ารักเหมือนแมวที่ขโมยกินปลาสำเร็จหรือไม่
ความคิดวาบผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เฉิงฉือรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะคิดกับนางเสมือนเป็นหลานสาวของตัวเองแล้ว บางเรื่องจึงต้องเรียนรู้จักควบคุมตัวเองเอาไว้
ราวกับมีน้ำเย็นเฉียบกะละมังหนึ่งสาดลงมาจากศีรษะ อารมณ์ของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันใหม่ที่จิงเฉิง!”
เนื่องจากหลังจากนี้นางจะไปอยู่กับโจวชูจิ่น ด้วยนิสัยของโจวชูจิ่นและคนอย่างเลี่ยวเส้าถังแล้ว ไม่มีทางเอาเปรียบนางอย่างแน่นอน ตนก็จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี โดยไม่รู้ว่าเฉิงฉือได้ทำการขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้หนึ่งเส้นใหญ่ไปแล้ว
***
ตกกลางคืน โจวชูจิ่นมาหาโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อ กล่าวว่าตัวเองอายุครรภ์มากแล้ว เดินทางไปจิงเฉิงคนเดียวรู้สึกหวาดกลัว อยากให้โจวเสาจิ่นร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนนาง จากนั้นก็รั้งอยู่ดูแลนางสักระยะหนึ่ง
โจวเจิ้นทั้งรู้สึกอาลัยอาวรณ์บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างโจวเสาจิ่น และเป็นห่วงบุตรสาวที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อย่างโจวชูจิ่น เขากล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือว่าเจ้าคลอดบุตรที่เมืองเป่าติ้งดีหรือไม่”
นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ยิ่งนัก
นอกจากนี้ลูกในครรภ์ของโจวชูจิ่นอาจจะเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตของภรรยาเอกอีกด้วย หรือต่อให้มิใช่หลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตของภรรยาเอก แต่นั่นก็เป็นบุตรคนแรกของผู้สืบทอดตระกูลอย่างเลี่ยวเส้าถังผู้นี้ สถานะในตระกูลก็สูงส่งไม่น้อยเช่นกัน
แต่สำหรับโจวเจิ้นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีข้อยกเว้นได้
ยกตัวอย่างเช่นโจวชูจิ่นที่ใกล้คลอดแล้ว ทว่ากลับตามเลี่ยวเส้าถังเร่งเดินทางไกลกว่าพันหลี่เพื่อไปจิงเฉิง
การได้คลอดลูกที่บ้าน ได้อยู่พร้อมหน้ากับบิดาและน้องสาว โจวชูจิ่นพลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าทางด้านของแม่สามีนั้น…
นางส่ายศีรษะเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าในสภาพเช่นนี้ เดิมทีบรรดาญาติพี่น้องในตระกูลต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ข้าออกจากบ้านอยู่แล้ว เป็นแม่สามีที่ช่วยรับประกันอย่างแข็งขัน ข้าถึงได้ติดตามเส้าถังไปจิงเฉิง ได้เจอท่านพ่อ ฮูหยิน และพวกน้องสาวพร้อมหน้ากันได้…”
แต่การให้เสาจิ่นไปอยู่บ้านของบุตรสาวคนโตที่แต่งงานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็ไม่ยินยอม
เขายังแข็งแรงดี เดิมทีที่เอาพวกนางไปฝากไว้ที่ซอยจิ่วหรู เป็นเพราะอยากให้พวกนางได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีกว่า แต่ตอนนี้เหตุใดยังต้องให้บุตรสาวไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นอีกเล่า
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยคำปฏิเสธออกไป หลี่ซื่อก็ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ ส่งสายตามาให้เขาครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมาหลี่ซื่อไม่เคยมายุ่งเรื่องของเขากับบุตรสาว เวลานี้นางมีเรื่องอยากพูด โจวเจิ้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องนี้ให้ข้าเอาไปคิดดีๆ ก่อนแล้วค่อยมาให้คำตอบเจ้าก็แล้วกัน”
โจวชูจิ่นเห็นการกระทำของหลี่ซื่อแล้ว นางรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ยิ้มพลางกล่าวขอตัวลาโจวเจิ้น
โจวเจิ้นจึงหันไปมองหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ท่านจะให้ต้ากูไหน่ไนไปจิงเฉิงเช่นนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
โจวเจิ้นไม่เข้าใจ ถามขึ้นว่า “มิใช่ว่าข้ามอบเงินให้ชูจิ่นไปสองร้อยเหลี่ยงเป็นค่าเดินทางแล้วหรอกหรือ”
หลี่ซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นางเป็นสะใภ้ที่เข้าไปอยู่บ้านเพียงลำพัง และเป็นครั้งแรกที่จะได้เป็นมารดา ข้างกายไม่มีทั้งมารดาตัวเองและไม่มีแม่สามี คลอดลูกออกมาแล้วจะเลี้ยงดูอย่างไร ระหว่างอยู่เดือนควรจะกินอะไรบ้าง…ล้วนไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ท่านจะวางใจให้นางไปอยู่จิงเฉิงเพียงลำพังได้อย่างไรเจ้าคะ”
โจวเจิ้นเอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่ามีแม่นมอยู่ด้วยหรอกหรือ ถึงเวลานั้นยังจะเชิญหมอตำแยต่างๆ มาด้วยมิใช่หรือ”
“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะ!” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “บ่าวรับใช้เหล่านั้นต่อให้ซื่อสัตย์เพียงใด แต่ก็มีความต่างระหว่างนายบ่าวคั่นเอาไว้อยู่ บางเรื่องก็ไม่กล้าบอกกล่าว แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ต้ากูไหน่ไหกระทำตามใจตัวเองได้”
“เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” โจวเจิ้นถาม
“หากนายท่านเห็นด้วย ข้าอยากพาโย่วจิ่นไปจิงเฉิงพร้อมกับต้ากูไหน่ไนและคุณหนูรองเจ้าค่ะ!” หลี่ซื่อกล่าวอย่างจริงใจว่า “จะได้อยู่เป็นเพื่อนต้ากูไหน่ไน ได้อยู่ดูแลต้ากูไหน่ไนตอนคลอดบุตร และโย่วจิ่นยังได้อยู่กับพี่สาวทั้งสองคนระยะหนึ่งด้วย พี่น้องจะได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น”
“เจ้าจะไปดูแลชูจิ่นคลอดบุตรหรือ” โจวเจิ้นเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าทำได้หรือ”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ภรรยาจะทำไม่ได้ แต่อย่างไรก็มีประสบการณ์มาก่อน ไปสร้างขวัญกำลังใจให้ต้ากูไหน่ไนก็ยังดีเจ้าค่ะ! นอกจากนี้…” นางชี้ไปยังทิศทางที่ฮูหยินหวงอาศัยอยู่ “ก็จะได้หลบเลี่ยงคนผู้นั้นได้ด้วย”
ตอนจัดการกับฉางซิ่วไฉก็จะได้ไม่ทำให้ผู้คนคิดว่าเกี่ยวข้องกับโจวเสาจิ่น
โจวเจิ้นครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นมา
กระทั่งวันต่อมาตอนที่โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นมารับมื้อเช้าที่เรือนหลัก โจวเจิ้นจึงเล่าเจตจำนงของหลี่ซื่อให้โจวชูจิ่นฟัง กล่าวด้วยว่า “เสาจิ่นยังไม่ออกเรือน จะไปรู้เรื่องอะไร มีฮูหยินตามไปด้วย ข้าเองก็วางใจกว่า”
โจวชูจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “แต่ถ้าฮูหยินไปกับข้า ท่านพ่อทางด้านนี้…”
โจวเจิ้นหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากมารดาของเจ้าจากไป ข้าก็อยู่ตัวคนเดียวอย่างสบายดีมาได้ตั้งหลายปีมิใช่หรือ”
ที่ตระกูลโจว คำว่า ‘มารดา’ คำนี้หมายถึงจวงซื่อผู้นั้น
โจวชูจิ่นคิดๆ แล้วก็เห็นจริงตามนั้น
นางจึงหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน กล่าวกับหลี่ซื่อว่า “เช่นนั้นก็คงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
หลี่ซื่อรีบกล่าว “มิกล้า” เอ่ยขึ้นว่า “คนครอบครัวเดียวกันไม่กล่าววาจาเป็นอื่น เพียงตั้งตารอให้ต้ากูไหน่ไนคลอดบุตรชายอย่างราบรื่น”
ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างสุภาพไปสองสามประโยค แม้นจะมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างคนครอบครัวเดียวกันจริงๆ ทว่าบรรยากาศก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
โจวเจิ้นรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนโจวเสาจิ่นก็ยินดีอย่างลิงโลด
เช่นนี้ก็จะได้ดูแลพี่สาวด้วย แล้วก็จะได้เจอหน้าท่านน้าฉือด้วยแล้ว…
คนทั้งครอบครัวต่างวุ่นอยู่กับการเก็บหีบสัมภาระกันอย่างมีความสุข
ทางด้านของฮูหยินหวงกับฉางซิ่วไฉกลับเฝ้ารอจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว
งานเทศกาลโคมไฟใหญ่โตขนาดนี้ คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นวันแรกก็ไม่มา วันที่สองก็ไม่มา วันที่สามก็จะไม่มาด้วยอย่างนั้นหรือ
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจะบังเอิญขนาดนี้ งานเทศกาลโคมไฟจัดติดต่อกันถึงหกวัน ใช้เงินไปมากกว่าหนึ่งพันเหลี่ยง คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นกลับไม่ก้าวออกมาจากบ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เวลานี้ฮูหยินหวงไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรแล้ว
แต่นางไม่อยากได้ยินคำประจบประแจงของฉางซิ่วไฉน้อยลง และไม่อยากได้รับความเคารพจากฉางซิ่วไฉน้อยลงด้วย!
“ดูแล้วคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นคนอ่อนโยนและสง่างามอย่างมากจริงๆ” นางได้แต่กล่าวปลอบโยนฉางซิ่วไฉ “มิเสียแรงที่เติบโตอยู่ในซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิงที่จินหลิง ช่างสมกับเป็นคุณสมบัติของคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงจริงๆ รักษากิริยาและอยู่อย่างสงบได้”
ฉางซิ่วไฉเองก็คิดเช่นเดียวกัน
ดังนั้นหลังจากได้ฟังคำของฮูหยินหวงแล้ว เขาก็ยิ่งดีอกดีใจ กล่าวขอร้องฮูหยินหวงว่า “หากเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ ข้าจะมอบเงินสองพันเหลี่ยงเป็นของขวัญตอบแทนแม่สื่อ” ขณะที่กล่าว ก็รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้มีค่าเพียงเท่านี้ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่…ข้าจะมอบเงินสามพันเหลี่ยงเป็นของขวัญตอบแทนแม่สื่อ”
ฮูหยินหวงหน้ามืดตาลายไปหมด
ตำแหน่งเจ้าเมืองของโจวเจิ้นนี้ รายได้หนึ่งปียังได้แค่ข้าวหนึ่งร้อยเก้าสิบสองตั้น[2]กับเงินสี่สิบสองเหลี่ยงเท่านั้น…นี่เงินตั้งสามพันเหลี่ยง!
“ท่านวางใจเถิด” นางรีบรับประกันอย่างอดรนทนไม่ได้ “เรื่องนี้ข้าจะต้องทำให้สำเร็จเพื่อท่านให้ได้!”
ฉางซิ่วไฉโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ฮูหยินหวงส่งฉางซิ่วไฉออกไปแล้วก็เดินวนไปวนอยู่ภายในห้อง
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลี่ซื่อเว้นระยะห่างจากนาง
โดยมากน่าจะเป็นเพราะกล่าวโทษนางเรื่องของคุณชายเหมียว
นึกถึงเรื่องนี้ ฮูหยินหวงก็รู้สึกหนักอกหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียจริงๆ
ใครจะรู้ว่าคุณชายเหมียวผู้นั้นจะหยาบคายเกินจะรับได้ถึงเพียงนั้น! บิดาของเขาเคยเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก แต่แค่มองก็เห็นแล้วว่าเป็นคนไร้การศึกษาเหล่านั้น ก็ไม่แปลกที่หลี่ซื่อจะไม่พอใจนาง
เรื่องนี้ต่อให้ไม่มีเรื่องที่ฉางซิ่วไฉมาขอร้องนาง นางก็ต้องหาวิธีฟื้นฟูความสัมพันธ์กับหลี่ซื่ออยู่แล้ว
แม้นจะบอกว่านายท่านของบ้านนางจะเดินอยู่ในเส้นสายของขุนนางใหญ่ซ่ง แต่จะเทียบกับความสัมพันธ์ของใต้เท้าโจวและตระกูลเฉิงได้อย่างไร
โชคดีที่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องของสตรีในเรือนชั้นใน และนางก็ทำไปด้วยเจตนาดี คาดว่าใต้เท้าโจวคงจะไม่ใช่คนที่ไม่สนใจหัวอกของผู้อื่นเลยแม้แต่นิดเดียวหรอกกระมัง
นางครุ่นคิดพิจารณาอยู่นานครู่ใหญ่ สุดท้ายตัดสินใจขอให้ฮูหยินถานช่วยออกหน้าไปหยั่งเชิงดูท่าทีของหลี่ซื่อให้นาง
อย่างมากหลังจากที่เรื่องราวประสบผลสำเร็จแล้วนางจะแบ่งเงินให้ฮูหยินถานสักห้าสิบเหลี่ยงก็แล้วกัน
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฮูหยินหวงก็ไปหาฮูหยินถาน
………………………………………………………….
[1] ซวงอวี๋ (双榆) ซวง หมายถึง อะไรที่เป็นคู่ๆ ส่วน อวี๋ กล่าวถึงต้นไม้ชนิดหนึ่ง ภาษาไทยเรียกทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า ต้นเอล์ม ดังนั้น ซวงอวี๋ จึงหมายถึงต้นอวี๋หนึ่งคู่หรือต้นอวี๋สองต้น
[2] ตั้น (石) หน่วยวัดปริมาตรของข้าวสาร เมล็ดธัญพืชต่างๆ โดยหนึ่งตั้นเท่ากับหนึ่งร้อยลิตร