ตอนที่ 369 เข้าเมืองหลวง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เมื่อไปถึงบ้านตระกูลถาน ฮูหยินถานกำลังสนทนากับภรรยาของเสมียนชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งอยู่

เห็นทั้งสองคนหยุดบทสนทนาลุกขึ้นมาต้อนรับนาง นางยิ้มร่าพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ดูครึกครื้นยิ่งนัก”

ภรรยาของเสมียนชั้นผู้น้อยผู้นั้นเห็นฮูหยินถานยิ้มทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร จึงกล่าวขึ้นว่า “กำลังคุยเรื่องที่เรือนใต้เท้าโจวอยู่เจ้าค่ะ มิใช่ว่าต้ากูไหน่ไนกับบุตรเขยคนโตของพวกเขามาหาอย่างกะทันหันหรอกหรือ เริ่มแรกพวกข้ายังคิดว่าเป็นเพราะต้ากูไหน่ไนมีปัญหากับตระกูลเลี่ยว จึงถูกบุตรเขยคนโตส่งตัวมาที่นี่ วันนี้ข้าไปขอยืมลายดอกไม้ที่เรือนใต้เท้าโจวถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะบุตรเขยคนโตของพวกเขาได้เป็นลูกศิษย์ของขุนนางอาวุโสอย่างนายท่านผู้เฒ่ารองเฉิง ปัจจุบันขุนนางอาวุโสอย่างนายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงสอนหนังสืออยู่ที่สำนักฮั่นหลิน เป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งยศประจำปีการสอบเจี่ยซวีรัชศกหย่งชางปีที่ยี่สิบ ขุนนางอาวุโสเฉิงคนรองท่านนี้ยังได้รับพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ให้เป็นคนรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ อีกด้วย บุตรเขยคนโตของพวกเขาเป็นดั่งศาลาริมน้ำที่ได้รับแสงจันทร์ก่อนผู้อื่น ว่ากันว่าจะได้ติดตามขุนนางอาวุโสเฉิงคนรองในการรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ ด้วย ด้วยเหตุนี้ถึงได้เร่งเข้าเมืองหลวงอย่างรีบร้อน ระหว่างทางจึงถือโอกาสพาต้ากูไหน่ไนของพวกเขามาไหว้ปีใหม่ใต้เท้าโจวสักครั้ง อีกสองสามวัน ก็ต้องเข้าไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว บอกว่าจะได้ดูแลบุตรเขยคนโตของพวกเขาได้สะดวกขึ้น แต่พวกเราล้วนทราบกันดี ว่าเป็นเพราะอยากจะอาศัยอานิสงค์อำนาจของตระกูลเฉิง ดังนั้นคนตั้งครรภ์ท้องโย้ก็ไม่เว้น เร่งเดินทางไกลกว่าพันหลี่มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง เพื่อให้คนตระกูลเฉิงเห็นแก่หลานสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ให้ช่วยดูแลบุตรเขยคนโตผู้นั้นดีขึ้นอีกเล็กน้อย นี่ช่างสมกับประโยคที่กล่าวว่า มีสหายอยู่ในราชสำนักช่วยให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญยิ่งขึ้น ข้าดูบุตรเขยคนโตของตระกูลโจวผู้นี้แล้วขาดก็แต่ยศจิ้นซื่อเท่านั้น ถึงเวลาอย่าให้สอบตกอีกถึงจะดี!”

น้ำเสียงในตอนแรกยังถือว่าปกติดีอยู่ แต่พอกล่าวถึงประโยคสุดท้าย กลับเต็มไปด้วยความริษยา ไม่มีอะไรดีสักประโยคแล้ว

ฮูหยินหวงได้แต่หัวเราะ ทว่าในใจกลับลอบมองฮูหยินถานอย่างดูถูกครั้งหนึ่ง

เอาแต่คบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ และชอบนินทาผู้อื่นลับหลัง จึงไม่แปลกที่จนถึงวันนี้สามีก็ยังเป็นได้เพียงเสมียนขั้นเก้าผู้หนึ่งเท่านั้น

ฮูหยินถานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินโจวและคนอื่นๆ กำหนดออกเดินทางไปจิงเฉิงพรุ่งนี้ พวกเราจะไปส่งหรือไม่”

ฮูหยินหวงตะลึงงันอย่างประหลาดใจ

นางไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!

ทว่าฮูหยินหวงฝืนเอาไว้อย่างยากเย็นด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะระแคะระคาย กล่าวขึ้นว่า “ข้าย่อมแล้วแต่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม”

ฮูหยินถานกล่าวยิ้มๆ อย่างพึงพอใจว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าถึงเวลาพวกเรานำของว่างไปสักสองสามกล่องก็แล้วกัน…”

ฮูหยินหวงฟังอย่างเออออเห็นด้วย เมื่อกลับถึงบ้านก็ให้มามาคนสนิทไปสืบความ ไม่นานก็ได้ข่าวคราวกลับมาว่า “ต้ากูไหน่ไนของพวกเขาจะคลอดบุตรในเดือนสอง ฮูหยินโจวจึงพาคุณหนูรองไปดูแลต้ากูไหน่ไนช่วงอยู่เดือนเจ้าค่ะ”

“คุณหนูรองก็ไปด้วยหรือ” ฮูหยินหวงตกใจเป็นอย่างมาก

มามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าไปสอบถาม ได้พบกับหลี่มามาที่กำลังสั่งการบ่าวชายเคลื่อนย้ายหีบสัมภาระอยู่พอดี บอกว่าหลังจากคุณหนูไปแล้วก็จะอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงยาวเลยเจ้าค่ะ ดูเหมือนกับว่าตระกูลเฉิงจะทาบทามเรื่องงานแต่งงานให้คุณหนูรองได้ตระกูลหนึ่ง จึงต้องไปดูตัวเจ้าค่ะ”

ฮูหยินหวงปากอ้าตาค้าง

ทว่าหลี่ซื่อกลับแย้มยิ้มเต็มใบหน้า กล่าวกับหลี่มามาว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าควรจะกล่าวเช่นนั้น พังพอนเหลืองผู้นั้นจะได้ไม่มาหาประโยชน์จากพวกเราอีก”

หลี่ซื่อตั้งฉายาให้ฮูหยินหวงว่าพังพอนเหลืองอย่างลับๆ กล่าวว่าทุกครั้งที่นางมาล้วนไม่ได้มาด้วยเจตนาดี

หลี่มามาเอามือปิดปากหัวเราะ

โจวเจิ้นกลับมาแล้ว

หลี่ซื่อหันไปส่งสายตาให้หลี่มามาครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องพูดอะไร จากนั้นถึงได้ออกจากห้องชั้นในไปต้อนรับโจวเจิ้น

โจวเจิ้นถามว่า “เก็บของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”

“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้เลยเจ้าค่ะ”

โจวเจิ้นถามรายละเอียดอีกครู่หนึ่ง หลังจากไปดูโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นมาแล้วถึงได้ไปพักผ่อน

จิตใจของโจวชูจิ่นเต็มไปด้วยความยินดีที่จะได้พบสามี ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความขมขื่น

นางให้คนไปบอกเฉิงฉือว่าพรุ่งนี้ตนจะออกเดินทางไปจิงเฉิงแล้ว เฉิงฉือให้คนนำค่าเดินทางมามอบให้ ยังบอกนางว่าหากมีเรื่องยากลำบากอะไรให้ไปหาเขาที่ซอยอวี๋เฉียน เขาอาศัยอยู่บ้านหลังที่สามนับจากตะวันออกไปตะวันตกของซอยอวี๋เฉียน

ดูไปแล้วก็ไม่แตกต่างอะไรจากยามปกติเท่าไรนัก แต่โจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและความเหินห่างอยู่รางๆ

หรือว่าการค้าของท่านน้าฉือทางด้านโน้นจะไม่ราบรื่นนัก?

โจวเสาจิ่นพยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อย่างยิ่งยวด

นางไม่อาจปล่อยให้ตัวเองคิดไปเองเรื่อยเปื่อยและทำอะไรตะกุกตะกักเหตุเพราะความเย็นชาเป็นครั้งคราวของท่านน้าฉือเป็นอันขาด

เมื่อนึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ปรับอารมณ์ให้แจ่มใสขึ้น

***

บางทีสวรรค์ก็เป็นใจยิ่ง

วันรุ่งขึ้นลมหยุดแล้ว หิมะก็หยุดตกแล้ว ดวงอาทิตย์แย้มใบหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นประคองตัวพี่สาวเอาไว้ขณะกล่าวอำลาโจวเจิ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ หลังจากขึ้นรถม้าแล้วก็มุ่งหน้าออกจากเมืองเป่าติ้งไป

ชาติก่อน หลังจากที่นางไปจากตระกูลเฉิงแล้วก็ไม่ได้กลับเมืองจินหลิงอีก อีกทั้งยังนั่งเรือไปตลอดทางจนกระทั่งถึงท่าเรือทงโจวถึงได้ลงจากเรือ ครั้งนี้กลับเป็นการนั่งรถม้าจากเมืองเป่าติ้งไปจิงเฉิง วิวทิวทัศน์แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง แม้นจะบอกว่าเป็นฤดูหนาว แต่โจวเสาจิ่นยังคงอดไม่ได้ที่จะเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกหลายต่อหลายครั้ง

ตลอดทางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ต่างกระวีกระวาดกันทำงาน

โจวเสาจิ่นปล่อยผ้าม่านลง ยิ้มพลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ปีนี้น่าจะมีผลผลิตดีเจ้าค่ะ!”

โจวชูจิ่นซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาภายในรถม้า มือวางอยู่บนท้องยิ้มไม่หยุด เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เสาจิ่นรู้จักสนใจเรื่องผลผลิตดีหรือไม่ดีขึ้นมาแล้วหรือ”

โจวเสาจิ่นหน้าแดง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ท่านพ่อเป็นเจ้าเมืองแล้ว ข้าสนใจเรื่องการผลิตพืชผล ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือเจ้าคะ”

โจวชูจิ่นหัวเราะร่าดังลั่น

สองพี่น้องเย้าแหย่กันอีกครู่หนึ่ง

ตกกลางคืน พวกเขาพักค้างคืนที่จุดพักม้า

เนื่องจากโจวชูจิ่นกำลังตั้งครรภ์อยู่ โจวเสาจิ่นกลัวว่าหากนอนเตียงเดียวกับพี่สาว หลังจากหลับลึกแล้วจะไปกระแทกใส่พี่สาวโดยไม่รู้ตัว นางจึงแยกนอนคนละห้องกับพี่สาว ส่วนหลี่ซื่อก็พาโจวโย่วจิ่นไปนอนอีกห้องหนึ่ง

จุดพักม้าจะดีเหมือนที่บ้านได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นที่มาถึงสถานที่แปลกใหม่จึงนอนไม่ค่อย

กลางดึก นางสัมผัสได้ว่าดูเหมือนภายในห้องจะมีผู้อื่นอยู่ด้วย

ชุนหว่านที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยในคืนนี้ก็เหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถม้า นางลุกขึ้นมาก็ยังไม่รู้สึกตัว โจวเสาจิ่นจึงยกตะเกียงส่องมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน ทว่ากลับไม่พบอะไร

แต่เมื่อนอนลงมาอีกครั้ง ความรู้สึกประหลาดนั้นก็กลับมาอีก

ไม่ว่าอย่างไรนางก็นอนไม่หลับ

เปล่งเสียงเรียก “ซางมามา” เบาๆ ครั้งหนึ่ง

ไม่นานซางมามาที่พักอยู่นอกห้องก็คลุมผ้าแล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง เป็นอะไรหรือเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายไปทั้งร่าง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ข้าเหมือนรู้สึกอยู่ตลอดว่าภายในห้องนี้มีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย…”

ซางมามาไม่เคลือบแคลงสงสัยคำพูดของนาง ยกตะเกียงขึ้นมองสำรวจไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน ยืนอยู่ตรงหน้าตู้วางของข้างๆ กองหีบสัมภาระที่โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นใช้เป็นประจำ จากนั้นหันกลับมาส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นรีบหมุนกายเดินไปยืนข้างๆ เตียง

ซางมามากระชากเปิดตู้นั้นอย่างแรง

ภายในตู้ว่างเปล่า

ซางมามาเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านดูสิเจ้าคะ ไม่มีอะไรเลยเจ้าค่ะ ท่านคงคิดมากเกินไปแล้ว…”

นางยิ้มร่าขณะที่กล่าว ทว่ามือกลับตวัดตบลงบนหีบอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดไปฝ่ามือหนึ่ง

เสียง ปัง หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับหีบสัมภาระแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มีเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งกลิ้งออกมา

โจวเสาจิ่นเห็นเพียงว่าเงาร่างของคนผู้นั้นโฉบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปะทะฝ่ามือกับซางมามาดัง พึ่บพึ่บ โจวเสาจิ่นตกตะลึง ดูจากเงาร่างของคนผู้นั้นแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง

เมื่อนึกถึงว่ามีบุรุษอยู่ในห้องชั้นในของตัวเอง โจวเสาจิ่นก็ทั้งร้อนใจและโมโห รีบหมุนกายไปหยิบเสื้อมาสวมทับ อยากสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตะโกนเรียกผู้คุ้มกันเข้ามาช่วย

ใครจะรู้ว่าบุรุษผู้นั้นกับซางมามาจะแยกออกจากกันในทันที

บุรุษผู้นั้นเอามือกุมหน้าอกยืนอยู่ตรงหน้าฉากกั้นห้อง ส่วนซางมามายืนขวางอยู่ตรงหน้านาง

โจวเสาจิ่นอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ประสานสายตาของบุรุษผู้นั้นครั้งหนึ่ง

“เป็นเจ้า!”

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”

ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกัน

บุรุษผู้นั้นเอามือกุมหน้าอกพร้อมกับหัวเราะฮ่าขึ้นมา ในน้ำเสียงหัวเราะนั้นยังมีเสียงหอบอยู่ด้วย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของเจ้าเมือง!” เขากล่าว หันไปขยิบตาให้โจวเสาจิ่นอย่างยียวน “อย่างไรก็ตาม มามาของเจ้าผู้นี้ไปหามาจากที่ใดหรือ ฝีมือดียิ่ง ในบรรดาสตรีนางนับได้ว่ามีฝีมือเป็นลำดับต้นๆ แล้ว แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้า หากมิใช่เพราะข้าได้รับบาดเจ็บ นางจะหาตัวข้าพบได้อย่างไร…”

ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นเบิกดวงตากว้าง จับสาบเสื้อของซางมามาเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว ถลึงตาใส่บุรุษผู้นั้นอย่างเกลียดชังไปครั้งหนึ่ง

ที่แท้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในหีบสัมภาระของนางก็คือเซียวเจิ้นไห่นี่เอง

เขาสวมชุดต่วนเฮ่อสีน้ำตาลสกปรก ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าเปรอะเปื้อน ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังสุกใสดังเดิม

มิใช่ว่าเขาต้องการทำร้ายท่านน้าฉือหรอกหรือ

แล้วมาซ่อนตัวอยู่ในหีบสัมภาระของนางได้อย่างไร

เมื่อครู่นางยังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องนี้ด้วย ถึงแม้นางจะชินกับการยืนเปลี่ยนชุดอยู่หลังฉากกั้น แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะมองเห็นหรือไม่

เมื่อความคิดวาบผ่าน นางพลันรู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาด้วยความอับอายเล็กน้อย อ้าปากกำลังจะตะโกนเรียกคน ทว่ามีเสียงร้อนใจของซางมามาดังมาให้ได้ยินข้างหูว่า “คุณหนูอย่าส่งเสียง ตอนนี้คงได้แต่ต้องคิดหาวิธีไล่เขาออกไป ผู้คุ้มกันของพวกท่านมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา เรียกคนเข้ามามีแต่จะทำให้คนบริสุทธิ์บาดเจ็บเท่านั้นเจ้าค่ะ”

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นอ้าปากแล้วก็หุบลง น้ำตาใกล้จะไหลออกมาแล้ว

เซียวเจิ้นไห่หัวเราะเสียงเบา เอ่ยขึ้นว่า “คนงามไม่ต้องกลัว บุรุษที่ดีไม่ต่อสู้กับสตรี ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน ข้าเพียงแต่ถูกอริตามฆ่าเมื่อหลายวันก่อน ไม่มีทางเลือกจึงขออาศัยชื่อเสียงของสตรีจวนเจ้าเมืองของพวกเจ้าออกจากเมือง ถึงได้มาซ่อนตัวอยู่ในหีบสัมภาระ ผู้ใดจะรู้ว่าจะเป็นหีบสัมภาระของเจ้า เห็นได้ชัดว่าพวกเราถือได้ว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว” ขณะที่เขากล่าว ก็มองสำรวจโจวเสาจิ่นขึ้นลง กล่าวอีกว่า “ไม่เจอกันสองปี เจ้างดงามมากยิ่งขึ้นแล้ว! ที่วัดในปีนั้นเพียงเจอกันผ่านๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังจำข้าได้…”

เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ท่าทางเจ้าชู้ แต่โจวเสาจิ่นที่ผ่านการถูกเฉิงสวี่ทำร้ายมาก่อนกลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายประเภทนั้นกับตน เขาก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเท่านั้น

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

มีเสียงอึกทึกหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก

“เจ้าก็ได้ยินเหมือนกันใช่หรือไม่”

“อื้ม! ดูเหมือนจะดังออกมาจากห้องของคุณหนูรอง”

“รีบไปดูเร็วเข้า!”

“บอกฝานมามาสักคำหนึ่งก่อน ห้องของคุณหนูรอง พวกเราไม่ควรเข้าไป”

โจวเสาจิ่นนึกถึงคำของซางมามา รีบเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารีบไปเสีย! เรื่องของเจ้าข้าจะไม่เอาเรื่องก็แล้วกัน!”

เซียวเจิ้นไห่ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่เพียงหน้าตางดงามเท่านั้น จิตใจก็ดีอีกด้วย เสียดายที่ข้ากำลังตกอยู่ในเคราะห์ร้าย ไม่อย่างนั้นจะต้องสู่ขอเจ้ากลับไปเป็นภรรยาอย่างแน่นอน…”

โจวเสาจิ่นอับอายเป็นอย่างยิ่ง

ซางมามากางแขนทั้งสองข้างออกอย่างร้อนใจ คุ้มกันให้นางไปอยู่ด้านหลังของตัวเอง

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก

ซางมามาไม่เคยคุ้มกันนางด้วยท่าทีเช่นนี้มาก่อน

มีคนเอ่ยขึ้นที่หน้าประตูของนางว่า “คุณหนูรอง ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”

“ข้าไม่เป็นอะไร!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว กลัวว่าผู้คุ้มกันเหล่านั้นจะพุ่งตัวเข้ามา “เพียงไม่ระวังทำของตกพื้นเท่านั้น ข้าไม่เป็นอะไร”

ผู้คุ้มกันขานรับคำเสียงหนึ่ง แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไป

โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

ซางมามาเองก็ดูออกว่าเซียวเจิ้นไห่มิได้มีเจตนาร้ายอะไร ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้นว่า “สุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับใช้สตรีอ่อนแอบอบบางผู้หนึ่งเป็นที่หลบภัยหมายความว่าอย่างไร เจ้ายังไม่รีบไปอีก! ต้องการบีบบังคับให้พวกข้าตะโกนเรียกผู้คุ้มกันเข้ามาหรืออย่างไร”

เซียวเจิ้นไห่หัวเราะหึหึ ไม่สนใจซางมามา มองโจวเสาจิ่นพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คนงาม เจ้าเป็นคนดีให้ถึงที่สุดดีหรือไม่ ให้ข้ายืมค่าเดินทางสักเล็กน้อย ถึงเวลาข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”

……………………………………………………………………….