ตอนที่ 370 จุดพักม้า

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

แม้นโจวเสาจิ่นจะเป็นคนมาสองชาติภพ แต่ไหนเลยจะเคยเจอคนอันธพาลที่สามหาวเช่นนี้มาก่อน

นางจับแขนเสื้อของซางมามาเอาไว้แน่นไม่เอ่ยอะไร

เซียวเจิ้นไห่ยิ่งคึกคะนอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนงาม หากท่านเสียดายเงินเก็บส่วนตัวเหล่านั้น ไม่สู้ให้ข้าซ่อนตัวอยู่ในหีบสัมภาระของเจ้าดังเดิม และพาข้าไปจิงเฉิงด้วยเป็นอย่างไร เมื่อไปถึงจิงเฉิง ข้าจะมอบบ้านหลังใหญ่ให้เจ้าหนึ่งหลังทันที เจ้าจะขายก็ดีจะแลกเป็นเงินเก็บส่วนตัวก็ดี หรือจะเก็บเอาไว้เป็นสินติดตัวก็ดี…”

โจวเสาจิ่นฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่ประโยคเดียว มองเขาอย่างตื่นตระหนก กลัวว่าเขาจะวิ่งเข้ามาจับตัวนางเอาไว้

เซียวเจิ้นไห่มองแล้วยิ่งรู้สึกสนุก ยังคิดจะแกล้งนางอีกสักหน่อย ทว่าภายในห้องกลับมีเสียงเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีบ้านหลังใหญ่ในนามของเจ้าอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดหรือ ข้ากำลังอยากหาบ้านสักหลังให้คนของข้าพอดี เจ้ามิสู้มอบให้ข้าดีกว่ากระมัง”

คนในห้องต่างหันไปมองตามเสียง

ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร

เขาสวมชุดจิ้นจวงที่เน้นความคล่องตัว รูปร่างผอมเพรียว สูงโปร่งดุจต้นสน ทว่าในมือถือคันศรยาวสามฉื่อ บริเวณเอวเหน็บแล่งเก็บลูกศรที่บรรจุลูกศรขนสีขาวเอาไว้ สีหน้าเคร่งขรึมดุดัน ไอเย็นแผ่ซ่านทั่วบริเวณ

ห่างออกไปสองสามก้าว มีไหวซานที่หรี่ตาลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างประสานกันเอาไว้ติดตามเข้ามาด้วย

โจวเสาจิ่นตกตะลึง

นี่ท่านน้าฉือแต่งกายอะไรกัน?

ซางมามาเผยสีหน้ายินดีออกมา

ถ้าหากนายท่านสี่มาไม่ทัน แล้วเซียวเจิ้นไห่ก็ไม่ยอมปล่อยคุณหนูรองด้วย นางคงได้แต่ต้องประมือกับเซียวเจิ้นไห่จนกว่าปลาจะตายหรือไม่ก็ตาข่ายขาดกันไปข้างหนึ่งเสียแล้ว

เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าคงจะทำให้คนตระกูลโจวตกใจเป็นแน่ ซึ่งจะนำความวุ่นวายใหญ่หลวงมาให้นายท่านสี่ได้

ตอนนี้นายท่านสี่มาถึงแล้ว คนแซ่เซียวก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ไม่ควรค่าให้ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว

นางถอยไปยังด้านหลังของโจวเสาจิ่น

ทว่าเซียวเจิ้นไห่นั้นลูกตาแทบจะถลนตกลงมา ประหนึ่งแมวเจอนักล่า ขนตั้งขึ้นขณะมองเฉิงฉือ กล่าวตะกุกตะกักว่า “จะ…เจ้าตามมาหาถึงที่นี่ได้อย่างไร”

เฉิงฉือไม่ตอบ หันไปมองทางโจวเสาจิ่น

นัยน์ตานั่นว่างเปล่าและเยือกเย็น มองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ

เหตุใดท่านน้าฉือต้องมองนางเช่นนี้ด้วย

ขอบตาของโจวเสาจิ่นพลันรื้นชื้นขึ้นมา เปล่งเสียงอาดูรออกมาเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”

“อะไรนะ” ดวงตาของเซียวเจิ้นไห่เบิกกว้าง มองเฉิงฉือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง แล้วก็มองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ทะ…ท่านน้าฉือ? เฉิงสี่เป็นน้าของเจ้า? นั่นก็หมายความว่า เขาเป็นน้องภรรยาของเจ้าเมืองเป่าติ้งโจวต้าเฉิงอย่างนั้นหรือ นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…”

เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็น

เซียวเจิ้นไห่กระโดดพรวดขึ้นมา “ข้ารู้แล้วๆ เฉิงสี่ เจ้าเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่จินหลิงนี่เอง! มิน่าๆ! ข้าเคยบังเอิญเจอเจ้าบริเวณใกล้ๆ กับเมืองจินหลิงถึงสี่ครั้ง! บรรพบุรุษของเจ้าคือคนก่อตั้งพรรคเจ็ดดารานั่น เพราะเหตุนั้นทั้งที่เจ้าอายุยังน้อย ทว่าจอมยุทธ์ในยุทธภพทั่วทั้งทางใต้ต่างเรียกขานเจ้าอย่างให้ความเคารพว่า ‘นายท่านสี่’…เหตุเพราะพรรคเจ็ดดารามีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนาง…เพราะฉะนั้นหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาตระกูลจอมยุทธ์เหล่านั้นจึงล้วนไม่กล้าทำให้เจ้าขุ่นเคืองและยอมให้เจ้ากระทำการตามอำเภอใจ…” ขณะที่เขากล่าว ก็หมุนร่างหมายจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง

โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าตาลาย มีเสียงผ้าฉีกขาดดังมาให้ได้ยินที่ข้างหู เซียวเจิ้นไห่ดูประหนึ่งผีเสื้อตัวหนึ่งก็ไม่ปาน ถูกยิงด้วยลูกศรขนสีขาวหนึ่งดอกตรงไหล่ซ้าย แน่นิ่งอยู่บนขอบหน้าต่าง

“ลูกศรดาวตกของนายท่านสี่เฉิงแห่งพรรคเจ็ดดารา มิใช่แค่ข่าวโคมลอยจริงๆ!” หลังจากที่เซียวเจิ้นไห่มองลูกศรขนสีขาวบนหัวไหล่ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ทิ้งสายตาไว้บนดวงหน้าของเฉิงฉือโดยตลอด สีหน้าโหดเหี้ยม ดูเสมือนกับต้องการจะสลักภาพท่าทางของเฉิงฉือเอาไว้ในไขกระดูก ต้องการแก้แค้นเขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีท่าทีขี้เล่นหรือบ้าบิ่นของเมื่อครู่อีกเลยแม้แต่ครึ่งเดียว ประหนึ่งเสือร้ายในหุบเขา ที่จู่ๆ ก็เผยด้านดุร้ายอำมหิตของมันออกมาอย่างกะทันหัน

โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าซีดเผือด

“ท่านน้าฉือ!” นางพุ่งตัวเข้าหาเฉิงฉือ

ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยปกป้องเขาจากความอาฆาตมาดร้ายของเซียวเจิ้นไห่ได้

เฉิงฉือใช้มืออีกข้างที่มิได้ถือคันธนูนั้นกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างไม่ลังเล

“ไม่ต้องกลัว!” เขามองเซียวเจิ้นไห่ด้วยสีหน้าเยือกเย็น ราวกับว่าไม่มีอะไรมาสั่นคลอนการตัดสินใจของเขาได้ ทว่ากล่าวอย่างอบอุ่นที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “มีข้าอยู่ตรงนี้ เขาทำร้ายเจ้าไม่ได้ เด็กดี จงเชื่อฟัง ไปอยู่กับไหวซาน”

คำพูดหลอกล่อเพียงไม่กี่ประโยค ทว่าโจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ถึงไอสังหารของเขา

นางสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างห้ามไม่อยู่ขณะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เขา เมื่อครู่เขาไม่ได้ทำร้ายข้าเจ้าค่ะ…”

ถ้าหากปล่อยเซียวเจิ้นไห่ไปได้ก็ปล่อยเขาไปเถิด

แต่ถ้าหากไม่อาจปล่อยเขาไปได้ เช่นนั้นนางจะทำเป็นไม่เห็นอะไรเลยก็แล้วกัน

ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวนั้นก็หลับตาลง

เฉิงฉือเข้าใจขึ้นมา

นัยน์ตาของเขามีความลังเลสายหนึ่งวาบผ่าน

เสาจิ่นเชื่อและศรัทธาในศาสนาพุทธ แม้แต่มดหนึ่งตัวยังไม่เหยียบ แล้วเขาจะสังหารคนต่อหน้านางได้อย่างไร!

เซียวเจิ้นไห่นั้นมาถึงทางตันแล้ว จะสังหารเขาเมื่อใดก็ย่อมได้ แล้วเหตุใดต้องทำให้เสาจิ่นหวาดกลัวด้วยเล่า

เฉิงฉือตบหลังของโจวเสาจิ่นเบาๆ

ทว่าในใจของเซียวเจิ้นไห่กลับเต็มล้นไปด้วยความตกตะลึงอย่างมหาศาล

เด็กสาวผู้นั้นขอความเมตตาจากเฉิงจื่อชวนให้เขา และเฉิงจื่อชวนก็มีอาการลังเลด้วย

เฉิงจื่อชวนที่จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ดั่งหินผา ไม่น่าเชื่อว่าจะลังเลแล้ว!

ต้องรู้ว่า เขากับเฉิงจื่อชวนมิใช่ต่อสู้เพื่อประชันความแข็งแกร่งหรือชัยชนะ แต่เป็นอริที่ต้องการแก้แค้นอีกฝ่าย อยู่ในขั้นที่หากไม่ตายก็ไม่เลิกรา

ไม่ง่ายเลยกว่าเฉิงจื่อชวนจะจับตัวเขาได้ ทว่าตอนนี้เพราะเด็กสาวผู้นั้นแล้วกลับคิดจะเปลี่ยนใจ!

ประดุจสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย เซียวเจิ้นไห่รีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ เมื่อก่อนมิใช่ว่าเขาไม่เคยประมือกับเฉิงจื่อชวนมาก่อน ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยเหมือนครั้งนี้มาก่อน เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารของเฉิงจื่อชวน หากมิใช่เพราะเขาใช้แรงกายที่มีทั้งหมดหลบลูกศรดอกนั้นของเขาล่ะก็ ลูกศรดอกนั้นคงจะยิงทะลุหน้าอกของเขาไปแล้ว

“เฉิงจื่อชวน ถือว่าเจ้าชนะ” เขากล่าวอย่างเกลียดชัง ทว่าในใจกลับตัดสินใจยอมแพ้แล้ว “ข้าเซียวเจิ้นไห่ผู้ไม่ครั่นคร้ามต่อสิ่งใด ไม่เคยติดหนี้บุญคุณผู้ใดมาก่อน ทว่าครั้งนี้กลับเป็นหนี้บุญคุณแม่นางน้อยผู้นี้ที่ช่วยชีวิตเอาไว้ มิใช่ว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นแพะรับบาปให้เจ้าหรอกหรือ ตอนนี้ข้าเซียวเจิ้นไห่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีอะไรตอบแทนแม่นางน้อยผู้นี้ได้ เพื่อเห็นแก่แม่นางน้อยผู้นี้ ครั้งนี้ข้าจะช่วยเหลือเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของแม่นางน้อย…”

เปลี่ยนอาวุธให้กลายเป็นหยกและผ้าไหม[1] ช่างดียิ่ง!

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น มองเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น

เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น แสยะยิ้มอยู่ในใจ

ก็แค่ตัดสินใจยอมแพ้เพราะไร้ทางเลือกแล้วก็เท่านั้น ทว่ากลับถือดีมาต่อรองเงื่อนไขกับตน ยังดึงเสาจิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก

คนในยุทธภพนั้นหากถามถึงผู้นำตระกูลเซียวที่มีชื่อเสียงแล้วจะยอมจำนนต่อตัวเองอย่างกะทันหันได้อย่างไร ‘บุญคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ไม่มีอะไรตอบแทน’ ช่างเป็นข้ออ้างที่ดีจริงๆ!

เฉิงฉือเหลือบมองเซียวเจิ้นไห่อย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง

คนหน้าหนาอย่างเซียวเจิ้นไห่หน้าแดง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

แต่ตอนที่เฉิงฉือก้มหน้าลงไปมองโจวเสาจิ่นนั้น คนกลับไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นแล้ว

ดวงตาของนางแดงก่ำ บนแผงขนตายาวนั้นมีหยดน้ำตาประดับอยู่อย่างจะร่วงมิร่วงแหล่ ดูระยิบระยับดั่งน้ำค้างยามอรุณรุ่ง มองเขาอย่างเศร้าสร้อย…หน้าอกของเขาประหนึ่งถูกอุดเอาไว้จนแน่นก็ไม่ปาน…จะเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้อย่างไร…

หัวสมองของเฉิงฉือขบคิดตลบแล้วตลบเล่า…แต่ก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น

เช่นนั้นก็ค่อยจัดการเซียวเจิ้นไห่วันหลังก็แล้วกัน

เฉิงฉือยื่นคันธนูส่งให้ไหวซาน สั่งการไหวซานว่า “พานายท่านเซียวไปรักษาบาดแผล!”

ไหวซานเดินเข้าไปช้าๆ ประคองเซียวเจิ้นไห่เอาไว้ ดึงลูกศรบนร่างเซียวเจิ้นไห่ออกมา

เลือดสีแดงสดไหลออกมาเป็นวงกว้าง

ไหวซานแตะบาดแผลของเซียวเจิ้นไห่

เซียวเจิ้นไห่กดปากแผลเอาไว้เป็นพัลวัน มองโจวเสาจิ่นที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงฉือครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา น้ำเสียงกลับมาขี้เล่นเหมือนก่อนหน้านี้ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “บ้านที่ข้าสัญญาเอาไว้หลังนั้นยังมีผลอยู่ วันใดเจ้าให้คนไปเอาโฉนดที่ข้าก็แล้วกัน หากเจ้าหาตัวข้าไม่เจอ ก็ไปหาน้าฉือของเจ้า เขาย่อมรู้ว่าข้าอยู่ที่ใด”

โจวเสาจิ่นสัมผัสได้ว่าแขนของเฉิงฉือที่กอดตนเอาไว้นั้นเกร็งขึ้นเล็กน้อย

นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่อยากได้ ข้าไม่อยากได้บ้านของเจ้า!”

เซียวเจิ้นไห่หัวเราะร่า เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะอยากได้หรือไม่อยากได้ก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าจะมอบให้หรือไม่มอบให้ก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าวางใจเถิด น้าฉือของเจ้ามิใช่คนจิตใจคับแคบขนาดนั้น!” เขากล่าว พร้อมกับผิวปาก เดินผ่านเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นไป

ไหวซานแอบมองเฉิงฉือเงียบๆ ครั้งหนึ่ง

สีหน้าของเฉิงฉือเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

ไหวซานเร่งฝีเท้าออกจากห้องพักแขกไป

ภายในห้องจึงเหลือเพียงโจวเสาจิ่น เฉิงฉือและซางมามา

ห้องเงียบเชียบ ไม่มีสรรพเสียงใดๆ

โจวเสาจิ่นถึงได้ค้นพบว่าตัวเองยังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงฉืออยู่

กระแสความร้อนทะยานตรงขึ้นไปบนใบหน้าของนาง

นางรีบผละตัวออกจากเฉิงฉือ ยืนหลุบตาอยู่ข้างๆ

ซางมามารู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปหาคนมาจัดการเก็บกวาดห้องสักหน่อยนะเจ้าคะ” แล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งควัน

เฉิงฉือเองก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าอยากปกป้องโจวเสาจิ่นเอาไว้ใต้วงแขนของตัวเอง ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น ทว่าดูจากตอนนี้แล้วกลับเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมอย่างที่สุด

เฉิงฉือพลันกระแอมออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนที่พวกเจ้าออกจากเมืองข้าไม่ได้ตรวจสอบให้ดี คิดไม่ถึงว่าเขาจะแอบอยู่ในหีบสัมภาระของเจ้า ต่อมาเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาก็เร่งเดินทางตามมา…ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ

การแสดงออกที่เย็นชาของท่านน้าฉือเมื่อครู่ต่างหากที่ทำให้นางตกใจ…

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”

โจวเสาจิ่นยิ้มแล้วก้มหน้าลง

ยามสามของกลางดึก นางควรจะเชิญท่านน้าฉือออกไปถึงจะถูก แต่คำพูดประเภทนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็เอ่ยปากพูดกับท่านน้าฉือไม่ได้

บรรยากาศพลันเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง

เฉิงฉือคิดว่าให้เสาจิ่นเด็กน้อยผู้นี้เป็นคนกู้สถานการณ์คงเป็นไปไม่ได้ แต่จะให้เดินจากไปเช่นนี้เลยก็ไม่ค่อยดีนัก…เขาทอดถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็จะเดินทางไปจิงเฉิงเช่นกัน อยากเดินทางไปพร้อมกันหรือไม่”

“ดีเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสว่างสุกใสประหนึ่งดาวประกายพรึกระยิบระยับ อิ่มเอิบไปด้วยความยินดีอย่างไม่รู้ตัว “มีท่านน้าฉือไปด้วย พวกข้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจเรื่องจะหยุดพักเหนื่อยระหว่างเดินทางที่ไหนและจะเข้าพักที่ใดแล้วเจ้าค่ะ!”

นอกจากนี้ยังปลอดภัยมากอีกด้วย!

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเริงร่าขึ้นมาอีกครั้ง

เฉิงฉือรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองก็เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยเช่นกัน

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องภายในห้องนี้ซางมามาย่อมจะจัดการเก็บกวาดเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น รีบไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเร่งออกเดินทางอีก”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า เดินไปส่งเฉิงฉือที่ประตู ทว่าสายตาของนางกลับเคลื่อนไปตกอยู่บนร่างของเฉิงฉืออย่างห้ามไม่อยู่

นางสังเกตเห็นว่าบนนิ้วโป้งข้างขวาของเฉิงฉือสวมแหวนหยกมรกตทรงปลอกมีดเอาไว้วงหนึ่ง

เมื่อครู่ท่านน้าฉือคงใช้สิ่งนี้ดึงคันศรกระมัง!

แต่เหตุใดท่านน้าฉือถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น

นอกจากนี้ เซียวเจิ้นไห่ยังพูดว่าท่านน้าฉือเป็นนายท่านสี่ของพรรคเจ็ดดาราอะไรนั่นอีก…ชื่อพรรคเจ็ดดารานี้ฟังดูแล้วไม่เห็นเหมือนชื่อร้านค้าสักร้านเลยนี่นา

โจวเสาจิ่นได้สติคืนกลับมา ในหัวสมองตีกันวุ่นวายไปหมด

เฉิงฉือมองพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เอ่ยเย้านางว่า “ชอบสิ่งนี้มากหรือ”

“หา!” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ หน้าตาดูเหลอหลา

เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ ถอดแหวนหยกมรกตบนมือออกมา “มิใช่ว่าจ้องสิ่งนี้ตาไม่กะพริบหรอกหรือ คงจะชอบมากกระมัง มอบให้เจ้าก็แล้วกัน!”

“เปล่าเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นหน้าแดงจนเหมือนกับเมฆสีชมพูในยามเช้า

รอยยิ้มของเฉิงฉือยิ่งเด่นชัดขึ้น

ยัดแหวนมรกตเข้าไปในอุ้งมือของโจวเสาจิ่น กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “อีกหน่อยมีเวลาว่างแล้วข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง!”

“เอ๋!” โจวเสาจิ่นยิ่งเหลอหลาหนักมากยิ่งขึ้น

เฉิงฉือหัวเราะร่าพร้อมกับเดินจากไป

ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน ท่วงท่าของเขาสง่างาม ย่างก้าวรวดเร็วดุจโบยบิน

โจวเสาจิ่นลูบไล้แหวนหยกมรกตในมือ กว่าครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจความหมายของเฉิงฉือ

เขาคงจะหมายความว่าหากมีโอกาสจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพรรคเจ็ดดาราให้นางฟังกระมัง

มุมปากของโจวเสาจิ่นยกยิ้มกว้างขึ้นมา ในใจรู้สึกหอมหวานประหนึ่งได้กินน้ำผึ้งเข้าไปก็ไม่ปาน

…………………………………………………………..

[1] เปลี่ยนอาวุธให้กลายเป็นหยกและผ้าไหม หมายถึงเปลี่ยนความเกลียดชังเป็นไมตรีจิต