เสวียนจีตัวสั่น โดดลงจากคทาสมประสงค์เหล็กนิล เห็นบรรยากาศลานฝึกยุทธ์ไม่ถูกต้องนัก บิดามองมาที่นางด้วยสายตาเย็นเยียบ นางลังเลอยู่นาน ไม่กล้าเข้าไปหา
ตู้หมิ่นหังเก็บคทาสมประสงค์เหล็กนิล ลูบหัวนางกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว มา รีบไปคารวะอาจารย์”
เสวียนจีไร้หนทาง ได้แต่ถูกเขาดึงไปตรงหน้าฉู่เหล่ย คุกเข่ากล่าวว่า “เสวียนจีคารวะเจ้าสำนัก”
ฉู่เหล่ยแค่นเสียงฮึ กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “เจ้าถึงกับยังรู้จักคารวะเจ้าสำนัก! ข้ายังคิดว่าในสายตาเจ้าไม่มีสำนักเส้าหยางนี้แล้ว!”
เสวียนจีรู้ว่าเขากำลังโมโหจัด ไหนเลยกล้ากล่าววาจา ได้แต่ก้มหน้าเล่นกับเสื้อผ้าตนเองอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ครั้งนี้ในใจนางรู้สึกว่าตนเองไม่ผิด แต่กลับไม่กล้าดื้อรั้น
“เจ้าลองว่ามาซิ วันทั้งวันเจ้าเอาแต่อยู่เรือนรับรองด้านหลังเขาทำอะไรกัน วันๆ นอกจากแอบนอนขี้เกียจแล้ว ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องราวของผู้บำเพ็ญตนควรกระทำบ้าง!”
เสวียนจีไม่กล้าเงยหน้า ตู้หมิ่นหังข้างๆ รีบยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์โปรดระงับความโกรธ เมื่อครู่ตอนศิษย์หาศิษย์น้องเล็กพบที่ด้านหลังเขา นางกำลังท่องสมุดรายชื่อปีศาจอยู่ เห็นได้ว่ามิได้แอบเกียจคร้าน ศิษย์น้องเล็กยังตั้งใจบำเพ็ญอยู่ เพียงแต่นางร่างกายบอบบาง เรื่องฝึกยุทธ์นี้เกรงว่าร้อนใจไม่ได้ ขออาจารย์พิจารณา!”
ฉู่เหล่ยยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “แม้ว่าจะท่องรายชื่อหุบเขาหมื่นแห่งใต้หล้าได้แล้วอย่างไรเล่า พอถึงวันลงเขา หรือว่าจะจ้องมองปีศาจแล้วท่องตำราใส่ ไม่อาจเหินฟ้าได้ ไม่เข้าใจวิชากระบี่ ไม่เป็นวิชาเซียน ฝึกบำเพ็ญเซียนอันใด!”
ตู้หมิ่นหังยังจะกล่าวต่อ แต่ถูกเขาโบกมือขัดว่า “เจ้าถอยไป! ไม่ต้องกล่าวอีกแล้ว!”
เขาได้แต่ทิ้งมือแนบกายถอยออกไป
ฉู่เหล่ยมองเสวียนจีเป็นนานไม่กล่าวอันใด
เห็นท่าทางหน้าตางดงามของนาง ในใจก็รู้สึกเมตตาสงสารบุตรสาวผู้นี้ ฉู่เหล่ยชีวิตนี้ตั้งใจบำเพ็ญเพียร มองเรื่องสามีภรรยาและการมีบุตรนั้นเป็นเรื่องเล็ก ดีที่วัยกลางคนได้บุตรสาวฝาแฝด สองนางล้วนงดงามไร้ที่ติราวหิมะขาว เสวียนจียิ่งบอบบางอ้อนแอ้นเหมือนมารดานาง แต่ไรเขาทำใจบังคับนางฝึกวิชาไม่ได้ แต่เพราะเสวียนจีเกียจคร้านเกินไป ถึงตอนนี้ฝึกท่าหม่าปู้ก็ยังไม่ดี สอง เพราะเขาเป็นเจ้าสำนัก จะปล่อยปละบุตรสาวตนเองได้อย่างไร วันหน้าจะสยบผู้คนได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ ในใจก็โมโหยิ่ง กล่าวเยียบเย็นว่า “เจ้าลุกขึ้น ข้าต้องการดูเพลงหมัดเสวียนหมิง เจ้าฝึกไปถึงไหนแล้ว ตรงนี้เลย ต่อหน้าศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ต้องอาย”
เสวียนจีไหนเลยฝึกเพลงหมัดเสวียนหมิงเป็น เกรงว่าแม้แต่กระบวนท่าก็ลืมหมดแล้ว แต่คำสั่งเจ้าสำนักนางได้แต่ยืนขึ้น
พริบตา บังเกิดความเงียบทั่วลาน ราวกับแม้เข็มเล่มหนึ่งตกบนพื้นยังได้ยิน ลมร้อนยามบ่ายพัดผ่านผมยาวของเสวียนจี แผ่นหลังนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ สายตามากมายจ้องมองมาที่นาง นางตัวแข็งเป็นศพ นิ้วมือยังมิอาจขยับ
เหอตันผิงทนเห็นบุตรสาวที่รักถูกหมิ่นต่อหน้าทุกคนไม่ได้ ก้าวออกมากำลังจะกล่าวอันใด ฉู่เหล่ยกลับยกมือบอกให้เงียบ เขาหันไปกล่าวว่า “ไม่ฝึกใช่ไหม เช่นนั้นข้าถามเจ้า หลายปีนี้ เจ้ามัวทำอะไรอยู่”
เสวียนจียังไม่ได้กล่าวอันใด แสงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่องใบหน้านาง ทำให้นางรู้สึกราวหมดสิ้นเรี่ยวแรง อยู่ห่างกันไกล ทุกคนมองไม่เห็นสีหน้านางกระจ่างนัก พวกที่แอบดีใจที่เห็นผู้อื่นเคราะห์ร้าย ยามนี้อดปาดเหงื่อไม่ได้ หากนางยังนิ่งเงียบต่อไป อาจารย์คงยิ่งโมโหมากเป็นแน่
“ฉู่เสวียนจี พูดมา” เสียงฉู่เหล่ยเบามาก ราวกับแผ่นน้ำแข็งบางแตกละเอียดในบัดดล
เสวียนจีคุกเข่าลงกับพื้นทันที กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ข้าไม่ฝึก! ขอเจ้าสำนักลงโทษ!”
ฉู่เหล่ยถึงกับหัวเราะดังลั่น “ลงโทษ?! ดีเลย! เจ้าถึงกับรู้คำว่าลงโทษ!” เขาหยุดหัวเราะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบยิ่งว่า “เจ้าฟังนะ คืนนี้กลับไปเก็บของ พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องไปยังถ้ำแสงฉาน ยอดเขาทางเหนือยอดเขาอรุณ! ให้เจ้าออกมาได้เมื่อใดเจ้าค่อยออกมา!”
ทุกคนล้วนพากันตกใจ รู้กันว่าถ้ำแสงฉานแห่งนั้นลึกหลายพันจ้าง ด้านในมืดมิดราวคุกใต้ดิน ทั้งปีเหน็บหนาวและชื้นแฉะ มีแมลงและงูมากมาย ศิษย์ปกติอยู่ในนั้นเพียงแค่ไม่นานก็เสียสติได้ นับประสาอันใดกับกับการลงโทษที่ไร้กาลเวลาเช่นนี้! นางยังเป็นเด็กหญิงอายุแค่สิบเอ็ดปีเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร การลงโทษนี้ก็รุนแรงเกินไป!
เหอตันผิงน้ำตาไหลลงมาต่อหน้าทุกคน หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ ปรี่เข้าไปคุกเข่าลง ร้อนใจกล่าวว่า “ขอเจ้าสำนักละเว้นนางสักครา! นางร่างกายไม่แข็งแรง เข้าถ้ำแสงฉานอาจถึงแก่ชีวิตได้!”
ตู้หมิ่นหังกับจงหมิ่นเหยียนและศิษย์ที่ชื่อมีอักษรตัวหมิ่นทั้งหมดพากันคุกเข่าลง ขอร้องว่า “อาจารย์โปรดคืนคำสั่ง! ศิษย์น้องเล็กอายุยังน้อย เกรงว่าไม่อาจรับการลงโทษเช่นนี้ได้! อาจารย์โปรดเมตตาสักครา!”
ฉู่เหล่ยสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง กล่าวอย่างโมโหว่า “ลุกขึ้น ลุกขึ้นทุกคน! เรื่องนี้ข้าตัดสินแล้ว ไม่ต้องกล่าวอีก!” กล่าวจบก็หันหน้าไปมองเสวียนจี นางสีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีความหวาดกลัวอันใด
แม้เขาจะโมโหมาก แต่ในใจก็ยังทนไม่ได้ ถอนใจกล่าวว่า “เสวียนจี…โลกนี้มีหลายคนเป็นได้แค่คนธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชั่วชีวิตต้องก้าวผ่านไปเป็นธรรมดา แต่เจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นศิษย์เส้าหยาง วิถีบำเพ็ญเซียนเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเจ้า เจ้า…ยอมเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
นางเงียบอยู่เป็นนาน จึงกล่าวเบาๆ ว่า “หรือว่า…พวกเราไม่ใช่คนธรรมดาหรือ”
ฉู่เหล่ยได้ยินแล้วได้แต่อึ้ง เป็นนาน ก่อนกล่าวว่า “เจ้า…ไปได้”
เขามองไปยังแผ่นหลังผอมบอบบางของบุตรสาวคนเล็ก ในใจพลันบอกไม่ถูก
ท่อนไม้ผุพังไม่อาจแกะสลัก
ท่อนไม้ผุพังนี้เป็นบุตรสาวเขา แม้ไม่อาจแกะสลัก เขาก็ต้องสลักออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ตู้หมิ่นหังยังคิดขอร้อง ฉู่เหล่ยกลับสะบัดแขนเสื้อเดินไปยังด้านข้างลานฝึกยุทธ์ ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “หมิ่นหัง คืนนี้มาที่ห้องข้า ข้าจะดูว่าเจ้าฝึกหยางเจวี๋ยกงถึงขั้นเท่าไรแล้ว”
ตู้หมิ่นหังพอได้ยิน หยางเจวี๋ยกง สามคำ ก็อดยินดีแทบคลั่งไม่ได้ นี่เป็นเคล็ดวิชาล้ำลึกสุดของเส้าหยางศิษย์ปกติต้องครบยี่สิบปีจึงจะฝึกได้ มีแต่พวกพิเศษเท่านั้น เช่นเจ้าสำนัก หรืออาจารย์ลุง อาจารย์อา จึงจะได้รับถ่ายทอดก่อนล่วงหน้า ตอนนี้เขาเพิ่งจะสิบแปด ที่อาจารย์กล่าวว่าเห็นเขาฝึกหยางเจวี๋ยกงถึงขั้นเท่าไร เป็นแค่สิ่งกล่าวอ้าง ที่แท้ก็คิดจะถ่ายทอดวิชานี้ให้เขา!
ศิษย์รุ่นเยาว์รอบๆ ล้วนมองเขาอย่างอิจฉา พากันมาแสดงความยินดี ตู้หมิ่นหังตื่นเต้นจนเกือบยืนไม่อยู่ พริบตา ก็ลืมเรื่องเสวียนจีไปหมดสิ้น