ส่วนที่ 1 ตอนที่ 3-1 กักขัง (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

คืนนั้นเสวียนจีเก็บเสื้อผ้า เตรียมขึ้นถ้ำแสงฉานพรุ่งนี้เช้า 

 

เหอตันผิงเช็ดน้ำตาไปจัดอาหารแห้งรสชาติดีให้นางไป กล่าวว่า “วันหน้าต้องขยันฝึกวิชานะ…อย่าได้ทำให้ท่านพ่อเจ้าโมโหอีก อยู่ในถ้ำแสงฉานคนเดียว อย่าคิดมาก และก็อย่ากลัว แม่ต้องไปรับเจ้ากลับมาโดยเร็ว” 

 

เสวียนจีพยักหน้ารับคำเนือยๆ 

 

หลิงหลงช่วยนางม้วนผมเป็นสองมวยแบบสตรียังไม่แต่งงานด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ยังกล่าวแบบเด็กๆ ว่า “เสวียนจีเจ้าอย่ากลัว อีกสองวันข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าในถ้ำ! รอข้าดีๆ! ข้าจะดูแลเจ้า” 

 

เหอตันผิงเดิมกำลังเช็ดน้ำตา พอได้ยินนางกล่าวก็หลุดยิ้มออกมา กล่าวอ่อนโยนว่า “เด็กโง่ ถ้ำแสงฉานไหนเลยเป็นที่ที่ผู้ใดจะไปก็ได้! เสวียนจี เจ้าอย่าได้โทษท่านพ่อไร้หัวใจ ถ้ำแสงฉานนั่นเป็นสถานที่ปรมาจารย์บรรพชนเราสร้างไว้เพื่อฝึกปณิธานตนเอง ไว้สำหรับศิษย์ที่มีจิตใจไม่มั่นคง ท่านพ่อให้เจ้าไป ก็เพราะหวังดีกับเจ้า เป็นบุตรสาวเจ้าสำนักยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านพ่อ อย่างน้อยก็อย่าทำให้ท่านพ่อต้องเสียหน้า อย่างวันนี้เรื่องเช่นนั้นที่ลานฝึกยุทธ์ ไม่อาจให้เกิดขึ้นได้อีกแล้วเข้าใจไหม” 

 

หลิงหลงไม่รอให้เสวียนจีเอ่ยปาก ก็แย่งกล่าวว่า “ท่านพ่อก็รู้จักแต่รักษาแต่หน้าตา! เห็นอยู่ว่าน้องเสวียนจีสุขภาพไม่ดีนัก ไม่เหมาะกับการฝึกยุทธ์ ท่านพ่อไม่รู้จักสงสาร!” 

 

เหอตันผิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “หลิงหลงเจ้าพูดให้น้อยหน่อย! เรื่องของท่านพ่อเจ้าจะว่าได้อย่างไร” 

 

หลิงหลงไม่ยอม เบ้ปากไปยืนบ่นอยู่อีกทาง 

 

เหอตันผิงกุมมือเสวียนจีกล่าวว่า “ในถ้ำเหน็บหนาวและชื้นแฉะ จำไว้ต้องใส่เสื้อผ้าให้หนาสักหน่อย ศิษย์พี่หกจะไปส่งอาหารให้เจ้าทุกวัน หากเกิดล้มป่วยก็ต้องบอกเขา พวกเราจะได้ไปรับเจ้าลงมา” อย่างไรนางก็เป็นผู้เมตตา พร่ำบ่นสั่งสอนมากมาย ล้วนเป็นเรื่องเล็กจุกจิก 

 

รอจนศิษย์รุ่นเล็กหลายคนมาตามไปกินข้าว นางถึงหยุดพูด ได้แต่ถอนหายใจ ลูบหัวเสวียนจี 

 

“อาจารย์หญิง อาจารย์บอกว่าวันนี้จะกินข้าวที่ยอดเขาเสี่ยวหยาง จะได้หารือกับอาจารย์ลุงเหอหยางเรื่องงานชุมนุมปักบุปผาเดือนหน้าไปด้วย คืนนี้ไม่กลับมาแล้ว ขออาจารย์หญิงกับศิษย์น้องทั้งสองตามสบาย” 

 

ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงแล้วก็รู้ว่าเป็นศิษย์พี่หกจงหมิ่นเหยียน 

 

หลิงหลงพอได้ยินว่าเป็นเขา ก็ยิ้มร่าเปิดม่านวิ่งออกไป กล่าวว่า “เช่นนั้น วันนี้ศิษย์พี่หกก็กินข้าวกับพวกเราได้แล้ว” 

 

จงหมิ่นเหยียนลอบทำหน้าผีใส่นาง ไม่กล่าวอันใด เหอตันผิงประคองเสวียนจีเดินออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ ศิษย์พี่จงโตกว่าเจ้าสามปีนะ! ทำเช่นนี้ไม่รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย! หมิ่นเหยียน ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์เจ้าไม่อยู่เรือนรับรอง วันนี้ก็พาบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ้ามากินข้าวกันที่นี่ ทุกคนมากินพร้อมหน้าก็ครึกครื้นดี” 

 

จงหมิ่นเหยียนยิ้มรับคำ ก่อนจะยืนตัวตรง เขาเป็นศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นที่อายุน้อยที่สุด ต่อจากเขาก็เป็นหลิงหลงกับเสวียนจี นอกจากเขาจะหน้าตาหล่อเหลา ยังฉลาด พูดจาอ่อนหวาน ดังนั้นอาจารย์และอาจารย์หญิงล้วนชอบเขา หลิงหลงก็เอาแต่เกาะติดหาเรื่องโวยวายใส่เขาทุกวัน 

 

เขามองสีหน้าซีดขาวของเสวียนจีที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์หญิง ราวกับบนใบหน้าน้อยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด ในใจอดไม่ชอบใจไม่ได้ 

 

เขาไม่ชอบฉู่เสวียนจี นางมักจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ไรมาไม่เคยยิ้ม ราวกับเป็นท่อนไม้ เข้าใกล้นางแล้ว ก็อดเบื่อหน่ายตามไปด้วยไม่ได้ บรรยากาศรอบๆ ก็ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความเกียจคร้าน เขาเองเกิดมาเป็นคนช่างพูด วาจาเป็นเลิศ แม้แต่อาจารย์ก็กล่อมได้ แต่ไร้หนทางกล่าวเหตุผลหลักการกับเสวียนจี นางน่ารังเกียจยิ่ง ตอนฟังก็เอาแต่พยักหน้าติดๆ กัน เจ้าคิดว่านางยอมรับ ปรากฏว่าหันหลังก็ทำตามใจตนเองต่อ 

 

จงหมิ่นเหยียนตัดสินใจทันทีว่านางยากหยั่งถึง ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง จากนั้นมาก็ไม่พูดกับนางอีก มีแต่หลิงหลงที่ดี ตุ๊กตาน้อยก็ควรจะดูไร้เดียงสาและดูเอาเรื่อง ไม่ควรไม่ต่างอันใดกับหุ่นกระบอก? 

 

เดิมทีเขาหันหลังจะไปตามบรรดาศิษย์พี่มากินข้าวพลันนึกอันใดได้ หันกลับมากล่าวเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว อาจารย์มีวาจาฝากถึงศิษย์น้องเสวียนจีว่า อย่าคิดแอบเกียจคร้านอีก ให้ทบทวนตนเองฝึกวิชาในถ้ำให้ดี ครั้งหน้าหากทดสอบ หากยังไม่เป็นเพลงหมัดเสวียนหมิงอีก ก็อย่าได้คิดออกจากถ้ำ” 

 

เสวียนจีส่งเสียง “อ้อ” เสียงหนึ่ง ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอันใดมากนัก เดิมจงหมิ่นเหยียนคิดจะดูนางร่ำไห้สักหน่อย บัดนี้กลับรู้สึกไร้สนุก ได้แต่เดินจากไป  

 

ปรากฏว่าวาจาจงหมิ่นเหยียนทำให้บรรยากาศอาหารค่ำเคร่งเครียดอย่างมาก อาจารย์หญิงขอบตาแดง คิดว่าคงแอบร่ำไห้มาพักหนึ่ง แม้แต่หลิงหลงก็หน้าตาเคร่งเครียด ไม่พูดสักคำ จงหมิ่นเหยียนรู้สึกเสียใจ แอบใช้ขาเตะศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ย ให้เขาพูดเรื่องตลกคลายบรรยากาศ 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยก่อนจะมาคารวะฝากตัวเป็นศิษย์ หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นผู้ช่วยนักเล่านิทาน แต่เล็กได้ฟังเรื่องตลกน่าประหลาด วาจาเป็นเลิศ เขาเห็นทุกคนล้วนไม่กล้าพูด ในห้องนอกจากอาจารย์หญิงก็มีเพียงตนที่อายุมากที่สุด อดกระแอมไอในลำคอไม่ได้ จงใจกล่าวด้วยท่าทีลึกลับว่า “นี่ ระยะนี้สำนักเราจะมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง พวกเจ้ารู้ไหม?” 

 

หลิงหลงฉลาดที่สุด รีบรับคำกล่าวว่า “ข้ารู้! ก็คืองานชุมนุมปักบุปผาเดือนหน้าอย่างไร!” 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มลูบคางไร้เครานิ่ง ส่ายหน้าไปมากล่าวว่า “งานชุมนุมปักบุปผาไม่เท็จ แต่เจ้ารู้ไหมงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้เรื่องสำคัญหลักอยู่ที่ใด?” 

 

หลิงหลงขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องสำคัญหลัก? ไม่ใช่ว่าห้าสำนักใหญ่แต่ละคนส่งศิษย์ที่เก่งกล้ามาแลกเปลี่ยนประลองวิชาเซียนกันหรือ บรรดาศิษย์พี่รุ่นอักษรหมิ่นเรายังไม่ถึงอายุเข้าร่วม หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้รับเลือกแล้ว” 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยกลับเงียบ เพียงส่ายหน้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางดูลึกลับแสนน่ารังเกียจ หลิงหลงร้อนใจจนแทบจะจับคอเสื้อเขาบังคับให้รีบพูด  

 

เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เราเป็นผู้ที่หาได้ยาก แต่ยังไม่ถึงอายุร่วมงานชุมนุมปักบุปผา นั่นต้องอายุสิบแปดจึงร่วมได้ หมิ่นเจวี๋ย อย่าได้เอาแต่เล่น รีบว่ามา” 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยไม่ร้อนไม่รน ถามก่อนว่า “เช่นนี้พวกเจ้ารู้ไหม งานชุมนุมปักบุปผาเหตุใดจึงเรียกว่าปักบุปผา” 

 

จงหมิ่นเหยียนตอบว่า “อันนี้ข้าก็รู้ ผู้ที่ประลองและได้ชัยนั้น จะได้รับการปักดอกโบตั๋นดอกหนึ่งบนเสื้อจากเจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงด้วยตนเอง ดังนั้นจึงชื่อว่าปักบุปผา” 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “ผิดแล้ว! ดอกนั่นไม่ใช่ว่าเจ้าชิงตำแหน่งได้แล้วจะได้ปักโดยง่าย! ไม่เช่นนั้นเจ้าดูงานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน เจ้าหุบเขาหรงไม่ใช่ว่าไม่ได้ปักให้ผู้ได้ตำแหน่งจากเกาะฝูอวี้หรือ ต้องรู้ว่าดอกไม้นี้ไม่เพียงแต่แค่ดอกโบตั๋น แต่ยังหมายถึงความท้าทายสุดท้ายที่ผู้ชนะการประลองต้องเผชิญอย่างหนึ่ง” 

 

ทุกคนที่ได้ยินคำว่าความท้าทายสุดท้ายเป็นครั้งแรกอดพากันถามกันเองอย่างใคร่รู้ไม่ได้ แม้แต่เสวียนจีก็ตากลมโตมองศิษย์พี่รอง เหอตันผิงย่อมรู้กระจ่างใจ นางเพียงยิ้ม ไม่กล่าวเผย ให้เด็กๆ ได้ทายสนุกกันไป 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยทำทุกคนอยากรู้แล้วจึงได้กล่าวว่า “ที่เรียกว่าความท้าทายสุดท้าย ก็คือให้ผู้ชนะการประลองสยบมารปีศาจใหญ่ตัวหนึ่ง! แน่นอน มารปีศาจเป็นตัวที่ผู้อาวุโสของเราสยบไว้แล้ว สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปแล้ว ไม่เช่นนั้นศิษย์สามัญต่อให้เก่งกาจเพียงใดจะสยบมันได้อย่างไร แต่พวกเจ้าอย่าได้ดูแคลนความสามารถของมารปีศาจที่บาดเจ็บ แม้พลังส่วนใหญ่เสียหายมาก แต่พลังก็ยังเหลือสามส่วน ไม่ค่อยมีศิษย์รุ่นเยาว์ล้มได้ด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นเพียงแค่ประลองกัน งานชุมนุมปักบุปผาจะทำจนยิ่งใหญ่อลังการได้อย่างไร ตั้งแต่มีการประลองมา ผู้ที่ได้ปักดอกโบตั๋นจริงๆ ไม่เกินสิบคน ดังนั้นมารปีศาจจึงไม่ได้ง่ายดายเช่นที่พวกเจ้าคิด!” 

 

ทุกคนพากันสูดลมหายใจเข้าลึก นี่เป็นสาระอันยอดเยี่ยมของงานชุมนุมปักบุปผานี่เอง หลิงหลงได้ฟังแล้วก็รู้สึกสนุก ถามต่อ “เช่นนั้นศิษย์พี่รอง ท่านรู้ไหมงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ มารปีศาจนั่นชื่ออะไร” 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยกล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่รู้กระจ่าง แต่ได้ยินว่าก่อนหน้าเขาลู่ไถซานมีสุนัขฟ้าก่อเรื่อง จนชาวบ้านไม่เป็นสุข ข้าเดาว่าครั้งนี้แปดเก้าส่วนก็คือตัวนี้” 

 

หลิงหลงสนอกสนใจ เอาแต่รบเร้าให้เฉินหมิ่นเจวี๋ยกล่าวต่ออีกหน่อย เขาทำหน้าลำบากใจ ถอนหายใจกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก มากกว่านี้ข้าเองก็ไม่รู้แล้ว! เจ้าไม่สู้ลองถามอาจารย์หญิง อาจารย์หญิงย่อมต้องรู้เรื่องงานชุมนุมปักบุปผาละเอียดกว่า” 

 

เหอตันผิงพยักหน้า กล่าวว่า “ศิษย์พี่รองของเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง หากไม่อาจเอาชนะมารปีศาจนั่นได้ ก็ไม่อาจปักบุปผา ตอนนั้นที่อาจารย์ของพวกเจ้าร่วมงานชุมนุมปักบุปผา เขาอายุน้อยที่สุด แต่กลับเก่งกาจเกินผู้ใด ราวกับเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งแน่นอนแล้ว ผลปรากฏเสียเปรียบในด่านมารปีศาจนี้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงตอนนี้บนร่างกายยังทิ้งรอยแผลยาวไว้รอยหนึ่ง!” 

 

“เช่นนั้นท่านพ่อตอนนั้นสู้กับมารปีศาจใด ท่านพ่อได้รับดอกโบตั๋นหรือไม่” 

 

“เป็นมารปีศาจที่มีชื่อเสียงชื่อว่าเฝยอี๋ มันครองพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ที่นั่นฝนไม่ตกอยู่ถึงสามปีเต็ม สุดท้ายอาจารย์ปู่พวกเจ้าจึงได้ร่วมกับผู้อาวุโสสำนักต่างๆ ทุ่มเทรวมกำลังสยบมัน จับมาเป็นด่านสุดท้ายในงานชุมนุมปักบุปผาในปีนั้น ท่านพ่อเจ้าสู้กับมันสองวันสองคืน สุดท้ายจึงชนะ ตอนออกมาทั้งทั่วร่างล้วนมีแต่รอยแผล เกือบสิ้นชีวิต จากนั้นข้า…” 

 

นางพลันนิ่งไม่กล่าวต่อ ใบหน้าแดงเล็กน้อย นางจะบอกอนุชนรุ่นเยาว์พวกนี้ได้อย่างไร จากนั้นนางก็ไม่สนใจสิ่งใด เดินมุ่งเข้าไปกอดเขาร่ำไห้ เขากลับคว้าเอาดอกโบตั๋นที่ได้มายากยิ่งดอกนั้น ปักลงบนผมนางด้วยสองมือสั่นเทา กล่าวยิ้มๆ ว่า “อยากกล่าวมานานแล้ว…ดอกไม้งามคู่ควรหญิงงาม ตอนนี้…นับว่าหาดอกไม้ที่คู่ควรกับเจ้าได้แล้ว” 

 

เฮ้อ เรื่องในอดีตที่หวานล้ำนี้ ค่อยๆ เลือนลางแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีเพียงเก็บไว้ในใจนาง ความทรงจำมีคุณค่าเช่นนี้ยังคงสดใหม่อยู่ดังเดิม ราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวันวาน 

 

หลังอาหารค่ำ ทุกคนคุยเล่นกันครู่หนึ่ง ปลอบใจเสวียนจีครู่หนึ่งก็ขอลากลับไปพักผ่อน  

 

เหอตันผิงคืนนี้ไม่รู้เสียน้ำตาเจ็บปวดใจไปมากมายเท่าไร กอดบุตรสาวกล่าววาจาเป็นห่วงเป็นใยมากมายเท่าไร แค้นใจที่คืนหนึ่งราวกับสั้นมาก มองดูฟ้าใกล้สางแล้ว