ส่วนที่ 1 ตอนที่ 3-2 กักขัง (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีถือห่อผ้าเล็กๆ เปิดประตูออก เห็นกลางเขามีอาจารย์อาเหอหยางกับศิษย์สองสามคนจากหอเจิ่นเสียถังแต่งกายด้วยชุดยาวสีขาวขลิบแดงอย่างเรียบร้อยยืนอยู่หน้าประตู พอเห็นเหอตันผิงพวกเขาก็คำนับนอบน้อม พลางกล่าวว่า “คารวะฮูหยินเจ้าสำนัก พวกข้ามาตามคำสั่งเจ้าสำนัก นำศิษย์น้องเสวียนจีไปส่งในถ้ำแสงฉาน” 

 

หอเจิ่นเสียถังมีหน้าที่ลงโทษศิษย์ที่ละเมิดกฎโดยเฉพาะ ฉู่เหล่ยให้พวกเขามารับเสวียนจี เห็นได้ว่ายุติธรรมไร้ความรู้สึกส่วนตน เหอตันผิงอดกำชับอีกครั้งทั้งน้ำตาไม่ได้ ก่อนจูงหลิงหลงที่ร่ำไห้น้ำตานองไปยืนอีกทาง มองดูพวกเขาใช้เชือกทองมัดเสวียนจีไป ประคองนางส่งขึ้นเกี้ยวหยกนิล สี่คนแบ่งออกไปยืนประจำสี่ด้านของคานแบกเกี้ยว ค่อยๆ เคลื่อนพลัง เกี้ยวหนักหลังนั้นก็ลอยขึ้น 

 

“เสวียนจี ไม่ต้องกลัว! แม่จะรีบไปรับเจ้า!” เหอตันผิงพยายามโบกมือให้นางจากด้านล่าง 

 

เสวียนจีเดินมาริมเกี้ยว สีหน้าซีดขาว ดีที่ไม่มีความรู้สึกเสียใจหวาดกลัว นางเห็นมารดาและพี่สาวร้องไห้หนัก ในใจแม้ว่าไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกแปลบๆ เล็กน้อย ดังนั้นจึงตะโกนว่า “ข้าจะต้องปลอดภัย! ท่านแม่ หลิงหลง! อย่าได้เป็นห่วงข้า!” 

 

เสียงจบลง เกี้ยวหยกนิลนั่นก็ลอยขึ้นไป พริบตาก็กลายเป็นจุดดำ มองไม่เห็นอีก 

 

เกี่ยวกับเรื่องเล่าของถ้ำแสงฉาน เสวียนจีเพียงได้ยินมา แต่ไม่เคยไปจริงๆ สักครา ดังนั้นการลงโทษนี้จึงไม่ทำให้นางกลัวอันใด กลับกัน นางยังรู้สึกโชคดี ไม่ว่าอย่างไร ถูกกักตัวก็ดีกว่าถูกตีมาก นางไม่อยากถูกฝ่ามือท่านพ่อ  

 

มารดาให้ห่อสัมภาระนางมาสองห่อ ห่อหนึ่งคือเสื้อผ้า อีกห่อเป็นอาหารแห้งเต็มไปหมด ในแขนเสื้อและอกเสื้อนางก็เต็มไปด้วยของ เป็นของเล่นที่หลิงหลงให้นางไว้คลายเหงา เสียดายเพียงนางตอนนี้ถูกมัดไว้ ไม่อาจมองดูโดยละเอียดได้ 

 

ถ้ำแสงฉานอยู่บนยอดเขาอรุณ ยอดเขาอรุณเป็นยอดเขาที่เตี้ยที่สุดในหมู่เขาแรกอรุณ ที่น่าแปลกก็คือที่นี่ไม่มีต้นไม้สักเท่าไร แต่กลับมีสัตวป่าอยู่กันมากเป็นที่หนึ่ง ถ้ำทางธรรมชาติก็มีมาก ถ้ำแสงฉานก็เป็นหนึ่งในถ้ำที่ลึกและใหญ่ที่สุด 

 

เกี้ยวหยกนิลแบกนางไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงหน้าปากถ้ำแสงฉาน เสวียนจียื่นหน้าออกมามองนอกเกี้ยว เห็นเป็นพื้นที่ราบสี่เหลี่ยม รอบๆ เป็นต้นสนเสียมาก ที่น่าแปลกก็คือพื้นที่สามฉื่อหน้าปากถ้ำแสงฉานจับตัวแข็ง มีสีแดงเข้มราวกับโลหิต ไม่มีต้นหญ้าเติบโต 

 

ศิษย์หอเจิ่นเสียถังทั้งสี่วางเกี้ยวหยกนิลลง คนหนึ่งปลดเชือกให้นาง อีกคนหยิบห่อผ้าสองห่อของนางลงจากเกี้ยวจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องเสวียนจี พวกเราจะเข้าไปส่งสักหน่อยหนึ่ง” 

 

นางพยักหน้าท่าทีเชื่อฟัง ไม่ถามเหตุใดต้องส่ง หรือว่ากลัวนางวิ่งหนี 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้าไปจึงเข้าใจ ที่แท้ในถ้ำมีประตูเหล็กบานหนึ่งสูงสิบจ้าง กุญแจบนประตูหนากว่าท่อนขานางเสียอีก ไม่ว่าเข้าไปหรือออกมา ไม่มีกุญแจย่อมได้แต่มองตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ ช่างเป็นดังคุกโดยแท้ เสียทีที่มีชื่องดงามไพเราะว่าแสงฉาน 

 

เปิดประตูเหล็กออกเดินเข้าไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มืดมัว มองเห็นหน้าคนชัดเพียงในระยะห้าก้าว เสวียนจีมองไปรอบๆ เห็นพืชตะไคร่น้ำขึ้นตามกำแพงและเพดานถ้ำ ดีใจที่ไม่มีค้างคาว คิดว่าคงมีคนมาขับไล่อยู่ตลอด 

 

เดินไปอีกระยะหนึ่ง พลันได้ยินเสียงน้ำดังจากด้านหน้า คิดว่าน่าเป็นตาน้ำใต้ดินที่นี่ 

 

เสวียนจีคิดไม่ถึงว่าถ้ำแสงฉานจะมีอะไรมากมายเช่นนี้ ไม่เพียงปากถ้ำมีประตูเหล็กปิดผนึก หลังเข้ามายังต้องพายเรืออีกหนึ่งเค่อจึงมาถึงที่หมาย ยามนี้นางมองไม่เห็นอะไรแล้ว เอามือมาบังตรงหน้า พยายามจ้องมองก็มองไม่เห็น 

 

ทั้งสี่กระแทกหินจุดไฟจุดคบเพลิง พลันเห็นที่นี่มีคนสร้างห้องจากก้อนหินอย่างไม่ประณีตนัก ด้านในมีเตียงหิน โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนเป็นหินชิงสือทั้งก้อน ที่เรียกว่าเตียงก็แค่ก้อนหินที่ราบเรียบอยู่สักหน่อย ด้านบนปูฟางหญ้าชื้นๆ ไว้ชั้นหนึ่ง แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่มี 

 

ทั้งสี่คนทิ้งคบไฟพร้อมเทียนอีกสองสามเล่มไว้ให้นาง กล่าวว่า “เช่นนั้น ศิษย์น้องเสวียนจีอยู่ที่นี่ ทำใจให้สงบฝึกวิชาเถอะ พวกเราขอไปก่อน” 

 

เสวียนจีพยักหน้าหงึกๆ ทั้งสี่วางห่อผ้าไว้บนเตียง เห็นสีหน้างุนงงตกใจของนางก็อดทิ้งคบไฟไว้ให้นางไม่ได้ กล่าวว่า “ศิษย์น้องรักษาตัวเองให้ดี! หวังว่าเจ้าจะสำเร็จเร็ววัน” 

 

หลังพวกเขาจากไป ในถ้ำก็คืนสู่ความเงียบอย่างรวดเร็ว หรืออาจกล่าวได้ว่า เงียบงันไร้สรรพเสียง 

 

เสวียนจีแต่ไรมาไม่เคยกลัวการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบจนน่ากลัวเช่นนี้ เหมือนว่าพออยู่นานเข้า ใจนางเองก็เต้นราวกับฟ้าผ่า ถึงกับได้ยินเสียงขยับเต้นตุบของหลอดเลือดและชีพจร 

 

นางนิ่งอึ้งเป็นนาน ก่อนหันกายเดินเข้าไปในห้องหิน ลูบฟางหญ้าบน ‘เตียง’ ไปมา ตามคาด ชื้นแฉะ ไม่รู้ปูไว้นานเท่าไรแล้ว นางได้แต่หยิบเสื้อผ้าหลายชุดออกมาจากห่อผ้า ปูลงบนเตียง ลองลงนอนดู แข็งยิ่ง ยากจะทนรับได้ 

 

แต่เล็กนางไม่เคยลำบาก ตอนนี้สิ่งแวดล้อมต่างไปมาก ในที่สุดก็รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนขึ้นมาจนอยากร้องไห้แล้ว แต่หวนมาคิดอีกที ที่นี่มีนางผู้เดียว แม้ร้องไห้จนเสียงแหบก็ไร้ความหมาย ได้แต่สูดลมหายใจ เหม่อลอยต่อไป ไม่รู้ท่านแม่จะมารับนางเมื่อใด ตอนนี้นางไม่อยากอยู่ที่นี่เลยจริงๆ ไม่อยากแม้แต่น้อย 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นางเอนตัวลงนอนบนเตียง ฝันไปมากมายอย่างน่าประหลาด เหมือนบิดาจะตีนาง แต่มารดาปกป้องนาง เปลี่ยนไปอีกภาพ จงหมิ่นเหยียนไม่รู้วิ่งออกมาตอนไหน มองนางอย่างเยาะเย้ย กล่าวว่า ‘สมน้ำหน้า ผู้ใดให้เจ้าแอบเกียจคร้าน!’ กล่าวจบเขาพลันเปลี่ยนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหัง ลูบศีรษะนาง รับปากจะช่วยพูดแทนนาง 

 

นางกำลังขอร้องเขาให้ท่านพ่อปล่อยนางออกจากถ้ำ พลันหลิงหลงก็ยกถังน้ำสาดใส่นาง กล่าวว่า ‘เจ้าฝันกลางวันอีกแล้ว รีบตื่นเร็ว!’ 

 

นางหนาวสั่น ตกใจตื่นทันที เบื้องหน้าดำมืดไปหมด นางใช้เวลาเป็นนานกว่าจะได้สติคืนมา คบไฟหมดเชื้อแล้ว กว่าจะคลำจนลุกขึ้นมาได้ รู้สึกเพียงแค่ทั้งตัวหนาวเหน็บ ความหนาวเสียดเข้ากระดูก ความชื้นของฟางหญ้าใต้ร่างทะลุผ่านเสื้อผ้า ร่างเล็กสั่นระริก รีบหาเสื้อหลายตัวมาคลุมร่างเอาไว้ทันที  

 

ไม่มีเสียงอันใด ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ความเงียบและมืดมิดอันน่ากลัวเช่นนี้ เทียบกับความตายแล้วยากยิ่งที่คนเราจะทนรับได้ นางขดตัวกลมอยู่บนเตียงหิน รู้สึกว่าไม่อาจระงับอาการสั่นของร่างกาย นางถึงกับแยกไม่กระจ่างว่าแท้จริงเพราะหนาวจึงสั่น หรือเพราะความกลัวความเหงาเงียบอันไร้ขอบเขตกันแน่ 

 

ผ่านไปอีกเป็นนาน นางจึงคิดได้ว่าศิษย์หอเจิ่นเสียถังยังเหลือเทียนกับหินจุดไฟไว้ให้นางอีก นางคลำหาบนเตียงอยู่นาน ในที่สุดก็หาหินจุดไฟเจอ กระทบมันสองสามทีก็จุดเทียน พอมีแสงสว่าง ใจนางก็สงบลงสักหน่อย ขดตัวอยู่บนเตียง จ้องมองไปยังเปลวไฟสีแดงส้มอย่างเหม่อลอย 

 

เทียนมีเพียงสี่เล่ม นางไม่อาจใช้ได้ตลอด ดังนั้นคิดดูแล้ว วันหนึ่งนางต้องเวลาส่วนใหญ่อยู่กับความมืดมากกว่า ที่จริงขอเพิ่มจากจงหมิ่นเหยียนได้ แต่คนผู้นี้ไม่เคยรู้สึกดีกับตนมาโดยตลอดย่อมไม่รับปาก เอ่ยปากแล้วตนถูกหลู่เกียรติตนเอง ไม่สู้ไม่เอ่ยเสียดีกว่า 

 

เวลาในถ้ำนั้นเหมือนชะงักนิ่ง นิ่งไม่ขยับ นางไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร 

 

ไม่มีอันใดให้ทำ ปกตินางก็เหม่อทั้งวันไม่ทำอะไรอยู่แล้ว แต่หากให้นางอยู่คนเดียวเช่นนี้ นางกลับไม่อาจเหม่อลอยได้ ดีที่เอาของเล่นที่หลิงหลงให้มาด้วย เป็นหนังสติ๊กไว้ยิง นกน้อยปั้นจากดิน ยังมีกลองป๋องแป๋งสีแดงอันเล็กๆ 

 

ของเล่นพวกนี้เอามามีประโยชน์อันใด? ทำเอารู้สึกงุนงงเสียจริง 

 

ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรก็ได้แต่นอนต่อ แต่เตียงหินเย็นเหน็บหนาวเข้ากระดูก นางพลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ ถูกความเงียบเหงาแปลกประหลาดหนึ่งกระทบจนได้แต่สั่นระริก 

 

กลองป๋องแป๋งในอกตกลงบนพื้นเตียง เกิดเสียงดังกังวานใส นางลูบคลำในความมืดคว้าขึ้นมาไว้ในมือ สักพักก็ค่อยๆ หมุนเบาๆ 

 

ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง 

 

กลองป๋องแป๋งเล็กๆ ส่งเสียงกังวานใส 

 

ในสถานที่เงียบเหงาเช่นนี้ เหลือเพียงเสียงนี้เป็นเพื่อนนางแล้ว 

 

นางหมุนต่อ 

 

ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง 

 

เหมือนว่าได้เห็นภาพปีใหม่ครึกครื้น 

 

ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ไม้ตีกลองพันด้วยแถบแพรแดงตีกลองใหญ่หนังขุย หลิงหลงกระโดดโลดเต้นอยู่ด้านหลัง ตีกลองใบเล็กที่เอวของนาง ในอากาศยังมีกลิ่นขนมถั่วแดงหอมหวานที่ท่านแม่ทำ พวกท่านพ่อกำลังสั่งให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เปิดผนึกสุราดีที่เก็บไว้ปีหนึ่งออก 

 

แท้จริงแล้วนางเป็นคนชอบเรื่องรื่นเริง นางมักเป็นของประกอบฉากล็กๆ ด้านหลังเในงานรื่นเริง เป็นคนที่ถูกมองข้าม ทุกคนล้วนลืมนาง ไม่สนใจมองนาง 

 

เสวียนจีคิดไปมาหลายเรื่องมากมาย ในที่สุดก็ค่อยๆ จมสู่ห้วงนิทรา คิดเรื่องที่ไม่อาจกระทำอันใดและแสนวกวนจิตใจเหล่านี้ไม่ออกอีก