ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 186 มีคนเคยคิดเช่นนี้ ทว่าเขาตายไปแล้ว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองผู้มาเยือน เลิกคิ้วเล็กน้อย

เขาเห็นว่าผู้มาเยือนมีอายุประมาณสามถึงสี่สิบปี ผมสีแดงทั้งศีรษะ นับว่าแปลกประหลาดและพบได้น้อย มือทั้งสองข้างสวมสิ่งของที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนวม

ม่านตาดำทั้งสองของอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เปล่งแสงสีโลหิตหลากหลายสายออกมาจากด้านใน เป็นผู้ที่ตกเป็นมารคนหนึ่งเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจอยู่บ้างก็คือ ด้านหลังจอมยุทธ์ผมแดงผู้นี้ มีเส้นโลหิตหลายสายขยายยื่นออกมารำไร ปลายด้านหนึ่งเข้าไปในเขตไอมารที่คล้ายกับหมอกดำหมุนวนรอบๆ ปลายอีกด้านหนึ่งเชื่อมอยู่บนร่างกายเขา

จอมยุทธ์ผมแดงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงย่างก้าวเข้ามา

หลังจากเห็นรูปร่างหน้าตาเยี่ยนจ้าวเกอชัดเจนแล้ว ใบหน้าจอมยุทธ์ผมแดงพลันเผยสีหน้าตื่นตกใจ ความกระหายเลือดในดวงตาปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

“เฮอะ! บุตรของเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอ?” จอมยุทธ์ผมแดงแยกเขี้ยวพลางแสยะยิ้มกล่าว “แม้จะรู้ว่าเจ้ามาร่วมการประชุมฝ่านภาด้วยก็ตาม แต่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะโชคดีได้พบกับเจ้าโดยตรง”

เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตาปริบๆ “ข้าน่าจะไม่เคยพบเจ้ามาก่อน”

“ข้านามว่าเซวี่ยอู๋หยา” จอมยุทธ์ผมแดงยื่นเส้นยืดสายมือทั้งสองข้างที่สวมนวมเอาไว้ “ไม่ผิดหรอก พวกเราไม่เคยพบกันมาก่อนจริงๆ เจ้าไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลก แต่ขอเพียงแค่ข้ารู้จักเจ้าก็พอ”

“ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักข้า ก็อาจจะไม่รู้จักสิ่งนี้กระมัง?”

ขณะกล่าว เซวี่ยอู๋หยาต่อยหมัดหนึ่งทะยานฟ้าไปข้างหน้า ปราณจิตราเป็นชั้นๆ แปรสภาพเป็นโลกลวงตา

ภายในภาพฉากลวงตานั้น คลื่นยักษ์โหมซัดสาดกระเพื่อมซัดไม่หยุดหย่อน มืดฟ้ามัวดิน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอัปมงคลก็คือ น้ำทะเลภายในโลกลวงตาโผล่พรวดออกมาเป็นสีดำ สร้างความรู้สึกมืดครึ้มและหนาวเหน็บ

เยี่ยนจ้าวเกอตื่นตัวฉับพลัน “วิชาวรยุทธ์แห่งค่ายห้าวิญญาณ สายค่ายวิญญาณทมิฬนั่น เจ้าคือเดนแห่งค่ายห้าวิญญาณนี่หรือ”

ค่ายห้าวิญญาณเป็นขุมกำลังระดับหนึ่ง ที่เมื่อก่อนอาศัยอยู่ที่เขตแดนนภาพิภพและวายุพิภพ วิชาวรยุทธ์สังหารเบิกทางสู่วิถีเต๋า

เนื่องด้วยก่อกรรมสังหารตัดชีวิตหนักหนายิ่งนัก อีกทั้งยังสังหารหมู่ชาวบ้านที่เกาะนภาตะวันตก จึงประสบกับการต่อต้านจากขุมกำลังระดับหนึ่งอีกกลุ่มที่สังกัดเขากว่างเฉิง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ดุเดือด ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย

ประจวบกับพบพานเยี่ยนตี๋บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเดินทางผ่านมาพอดี ผลสุดท้ายคือจอมยุทธ์ค่ายห้าวิญญาณที่อยู่ในสนามทั้งหมดถูกเยี่ยนตี๋ปลิดชีวิต รวมทั้งหัวหน้าใหญ่ค่ายห้าวิญญาณด้วย

ศิษย์ค่ายห้าวิญญาณที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น ด้วยความเคราะห์ดีกระจัดกระจายอยู่ภายนอกหลบหลีกภัยไปได้ ปลีกหนีซ่อนตัวหลบการล้อมปราบไปไกล จากนั้นเป็นต้นมาจึงเกลียดเยี่ยนตี๋เข้ากระดูกดำ แต่กลับไม่มีทางเลือกอีก

ก่อนหน้านี้ที่หุบเหวปราการมังกร ณ ถังตะวันออกแห่งนภาพิภพ ก็มีหัวหน้าค่ายชื่อหลิงที่มุ่งเป้าแก้แค้นไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ

“โชคของข้า ช่างดีเสียจริง” เซวี่ยอู๋หยาผู้นั้นมองเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ้มเย็นใบหน้าดุร้าย

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะพลางส่ายหน้า “ไม่ เป็นข้าต่างหากที่โชคดีนัก”

สายตาของเขาตกไปอยู่บนเส้นโลหิตหลากสายเหล่านั้นบนร่างเซวี่ยอู๋หยา “ค่ายกลใหญ่ก้นบึ้งทะเลสาบ เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมวางค่ายกลสินะ? ใช้ปราณของเหลวและโลหิตเซ่นค่ายกล ทำให้ค่ายกลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว”

“แต่ของเหลวลมปราณและจิตวิญญาณของร่างกายเจ้า ก็เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับค่ายกลใหญ่เช่นกัน ไม่สามารถออกห่างจากศูนย์กลางค่ายกลได้”

“ข้าพบเจ้าที่นี่ก่อน หมายความว่าข้าห่างจากศูนย์กลางค่ายกลไม่ไกลแล้ว ตามเส้นเลือดด้านหลังเจ้าไป ยิ่งหาศูนย์กลางค่ายกลได้เร็วขึ้น”

เซวี่ยอู๋หยาหัวเราะ ‘เฮอะ’ “ต่อให้เจ้าหาพบ เจ้าจะทำอะไรได้?”

“ช่วงนี้ลือกันว่าเจ้ามีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ต่อให้เป็นเศษชิ้นส่วน ก็เป็นพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เจ้าอยู่แค่ระดับปรมาจารย์ จะสามารถขับเคลื่อนพลังในนั้นได้สักกี่ส่วนกัน”

“มงกุฎจันทรา ถึงอย่างไรก็มีเพียงหนึ่ง”

เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง ในแววตาเผยประกายโหดเหี้ยมออกมา “แม้เจ้าจะสามารถขับเคลื่อนพลังของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เจ้าจะขับเคลื่อนได้สักกี่ครั้งเชียว?”

“หากใช้มันจัดการกับตัวข้าแล้ว เจ้าจะนำสิ่งใดไปสั่นคลอนศูนย์กลางค่ายกล?”

“ถึงเวลา ค่ายกลสำแดงอิทธิฤทธิ์ทั้งหมด ประตูใหญ่นพยมโลกเปิดออกถึงที่สุด เจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน!”

เซวี่ยอู๋หยาหัวเราะเสียงดัง “เอาชีวิตข้าแลกกับการที่เยี่ยนตี๋ โจรสุนัขนั่นต้องฝังศพลูกตนเอง ข้าก็คุ้มแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาอย่างน่าขันอยู่บ้าง “หลังจากเจ้าตกเป็นมาร สติปัญญาดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีอยู่บ้าง ใครบอกกันว่าจะสังหารเจ้าต้องใช้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์?”

อีกฝ่ายมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยประกายแสงอันบ้าคลั่งและกระหายโลหิต “คนที่ไม่ได้สติ คือเจ้าต่างหาก”

“ข้าได้ยินมาว่าในการประชุมฝ่านภา เจ้าต่อสู้ชนะหลิวเซิ่งเฟิงแห่งเขาไร้พรมแดน และเสียจื่ออี้แห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง”

“พลังฝึกปรือขั้นเคียงนภาระยะท้ายเช่นเดียวกัน แต่ข้ายอมรับ ว่าข้าสู้เสียจื่ออี้ไม่ได้”

“แต่นั่นมันเป็นก่อนหน้าที่ข้าจะอุทิศตนให้นพยมโลก ข้าในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าเขา!”

เซวี่ยอู๋หยายืดเส้นยืดสายข้อมืออยู่ครู่หนึ่ง เขาเดินไปทางเยี่ยนจ้าวเกอทีละก้าว “แต่ตอนนี้ เจ้ากับข้าอยู่ในแดนมาร พลังความสามารถของข้าแกร่งยิ่งกว่าตอนอยู่ข้างนอก ส่วนเจ้ากลับต้องเบนสมาธิไปต้านทานการบุกจู่โจมของไอมาร”

“สิ่งหนึ่งดับสูญสิ่งหนึ่งก็เกิดขึ้นแทนที่ เจ้าคิดว่าสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ง่ายอย่างนั้นรึ?”

ปราณจิตราโหมกระหน่ำทะยานสูงขึ้น ตามการก้าวเดินของเขา บริเวณเหนือศีรษะเขากลายเป็นดินแดนลวงตา ปราณจิตราและเจตนารมณ์หมัดผสมผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นโลกลวงตา

มหาสมุทรสีดำในโลกลวงตา บังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง ทะเลสีดำกลายเป็นทะเลโลหิต คลื่นสูงเสียดฟ้ารุนแรงน่าหวาดกลัว

กระแสน้ำทะเลสีแดงโลหิตมืดฟ้ามัวดิน ส่งกลิ่นอายเหม็นคาวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา ราวกับนรกบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

ใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอเผยสีหน้าท่าทางที่ราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “พูดถึงจื่ออี้ ดูแล้วเจ้าคงยังไม่รู้”

“เสียจื่ออี้ ก่อนหน้านี้เขาก็เหมือนกับเจ้า ตกเป็นมารแล้วเช่นกัน”

เซวี่ยอู๋หยาตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังต่อ “ผู้สืบทอดสายตรงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกของพวกเจ้า บุตรสวรรค์โอ้อวดตนเองก็มีน้ำยาเพียงเท่านี้เอง”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อไปว่า “อีกอย่าง เขากับเจ้ามีความคิดเหมือนกัน หลังจากรู้สึกว่าตกเป็นมารแล้ว น่าจะสามารถเอาชนะข้าได้”

“แต่จากนั้น เขาก็สิ้นชีพ”

ลูกตาดำของเซวี่ยอู๋หยาที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหดเล็กลงวูบหนึ่ง

ชายหนุ่มจ้องมองเซวี่ยอู๋หยา ยิ้มเล็กน้อย “โดยที่ข้าเป็นคนสังหารเขาเอง”

ครั้นคำพูดเปล่งออกไป ร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอพลันทอแสง เขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็ไปปรากฎตรงหน้าของเซวี่ยอู๋หยาแล้ว!

อีกฝ่ายเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่ในเมื่อตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอเริ่มลงมือ เขาเองก็ไม่กล้าถอยร่นกลับ ทำได้เพียงฝืนใจต่อสู้ซึ่งๆ หน้าเท่านั้น จึงหมัดทั้งสองต่อยออกไปทางชายหนุ่ม!

ถึงอย่างนั้นท่ามกลางเพลิงสีแดงอมม่วงที่คุโชนบ้าคลั่งนั้น ฝาเตากลั่นลวงตาเตาหนึ่งก็เปิดออก หมัดอสูรวานรจอมพลังโจมตีออกมา พลังพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!

ทะเลโลหิตไร้ขอบเขต ถูกฉีกออกเป็นสองส่วนอย่างทื่อๆ

ชั่วขณะถัดมา เบื้องหน้าเซวี่ยอู๋หยา ก็มีดวงดาวเดียรดาษส่องแสงขึ้น ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด เจ็ดดาราห้อยสูง โอบล้อมดาวเหนือ

ท่ามกลางเสียงแผดคำราม เซวี่ยอู๋หยาขับเคลื่อนพลังทั้งหมดออกมาปะทะกับเยี่ยนจ้าวเกอ ทะเลโลหิตที่แตกสลายกลายเป็นฝนโลหิตทั่วท้องฟ้า รวมเข้ากับเงาหมัดนับพันนับหมื่น ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

นวมบนมือเขา ทอประกายรัศมีแสงอันแปลกประหลาด!

ทว่ากระบี่วิญญาณมังกรมรกตในฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอร้องคำราม ดวงดาวนับไม่ถ้วนเคลื่อนย้ายหมุนเวียน ตามการเปลี่ยนแปลงของเจตจำนงกระบี่ ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าจริงๆ ที่กำลังโคจรเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลง

ทางช้างเผือกสีเขียวมรกตหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้า ตัดขาดเงาหมัดและฝนโลหิตออกจากภายนอกทั้งหมด ยากจะเข้าใกล้

ทางช้างเผือกไหลตรงดิ่งมา ทะลุผ่านหน้าอกเซวี่ยอู๋หยา!

เซวี่ยอู๋หยาเบิกตาโพลง จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอสิ้นใจตาไม่หลับ

ก่อนหน้าเขาเพียงแค่ได้ยินว่าเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีหลิวเซิ่งเฟิงและเสียจื่ออี้ แต่ไม่ได้เห็นกับตา จึงไม่รู้ว่ารายละเอียดสภาพการต่อสู้เป็นเช่นไร คิดไม่ถึงเลยว่าพลังความสามารถเยี่ยนจ้าวเกอจะแก่กล้าจนถึงขั้นนี้ ทำให้เขาหมดหนทางมุ่งหวังที่จะไล่ทันโดยสิ้นเชิง!

ความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอ กลับไม่ได้อยู่บนร่างเซวี่ยอู๋หยา

เซวี่ยอู๋หยาตกเป็นฝ่ายมารเรียบร้อยแล้ว หลังจากสิ้นลมหายใจแล้ว ศพก็จะสลายไป

ส่วนเส้นโลหิตที่เชื่อมต่อกับหลังของเขา ยื่นเข้าไปในหมอกดำ ก็ขาดออกจากกันเช่นกัน และกำลังจะหายไป

เยี่ยนจ้าวเกอสะบัดกระบี่ออกไปอีกครั้ง

ประกายกระบี่เจ็ดสายหยุดเส้นโลหิตนั้นที่กำลังจะเก็บกลับเข้าไปในหมอกดำไว้!

…………….